Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 May 2024 12:06:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ดิสนีย์’ ทำกำไรจากธุรกิจ ‘Disney+’ เป็นครั้งแรก แต่ ‘ธุรกิจหลัก’ รายได้ลดลงถึง 40% https://positioningmag.com/1472693 Wed, 08 May 2024 12:05:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472693 หลังจากที่ขาดทุนสะสมมาตลอด 5 ปี ในที่สุดธุรกิจสตรีมมิ่ง ของ ดิสนีย์ (Disney) ก็สามารถทำกำไรได้เป็นครั้งแรก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นราคาของบริการ

หลังจากลุยตลาดสตรีมมิ่งเป็นเวลา 5 ปี ไม่ว่าจะเป็น Disney+, Hulu และ ESPN+ ในที่สุด ดิสนีย์ ก็สามารถทำกำไรจากธุรกิจสตรีมมิ่งได้เป็นครั้งแรกหากนับเฉพาะ Disney+ และ Hulu โดยมีรายได้ที่ 5,642 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +14% มีกำไรจากการดำเนินงาน 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“เราเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลานี้มานานหลายปี การสตรีมจะกลายเป็นผลกำไรในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ และบริการสตรีมมิ่ง จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่มีความหมายในอนาคตสำหรับบริษัท พร้อมด้วยความสามารถในการทำกำไรเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2025” ดิสนีย์ ระบุ

ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้บริการสตรีมมิ่งทำกำไรมาจาก Disney+ ที่จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 6 ล้านราย เป็น 117.6 ล้านบัญชีทั่วโลก รวมถึง รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ก็สูงขึ้นด้วย ขณะที่ Hulu เพิ่มขึ้น 1% เป็น 50.2 ล้านบัญชี อย่างไรก็ตาม หากนับรวมบริการ ESPN+ บริการสตรีมมิ่งของบริษัทจะขาดทุนที่ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาขาดทุนสูงถึง 659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ว่าธุรกิจสตรีมมิ่งจะดูสดใส แต่ธุรกิจดั้งเดิมของดิสนีย์กลับน่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายคอนเทนต์, ลิขสิทธิ์ และรายได้อื่น ๆ เช่นการฉายภาพยนตร์ ลดลง 40% เหลือ 1.39 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ในไตรมาสที่ผ่านมา ดิสนีย์ไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉาย ขณะที่ส่วนของธุรกิจเคเบิลทีวี ก็มีรายได้ ลดลง 8% เพราะจากจำนวนผู้ชมและรายได้จากโฆษณาที่ลดลง

ด้านรายได้ในฝั่งของ สวนสนุก ในสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 7% ในขณะที่สวนสนุกในต่างประเทศเติบโตสูงถึง 29% เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเดินทางท่องเที่ยวชดเชยช่วงที่โควิดระบาด อย่างไรก็ตาม แม้รายได้จะเติบโตขึ้น แต่ดิสนีย์ก็ยอมรับว่าธุรกิจสวนสนุกนั้นมี ต้นทุนที่สูงขึ้น ด้วยเนื่องจากปัญหา เงินเฟ้อ

โดยรวมแล้ว รายได้ของดิสนีย์ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีรายได้ 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ก็ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทตก 10%

Source

]]>
1472693
‘เลย์’ แจกรอยยิ้มทั่ว กทม. คลายร้อนให้ชื่นใจ เพื่อขอบคุณทุกความทุ่มเทของพนักงานเก็บขยะ สานต่อแคมเปญ ‘ยิ้มเลย์ในเวย์คุณ’ https://positioningmag.com/1472681 Wed, 08 May 2024 11:24:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472681 เลย์ มันฝรั่งทอดกรอบยอดนิยมอันดับหนึ่งของเมืองไทย โดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) ส่งมอบผลิตภัณฑ์มันฝรั่งทอดกรอบในซองรูป “เลย์สมายล์” จำนวน 100 ลัง มูลค่ารวม 100,000 บาท เพื่อขอขอบคุณและเป็นกำลังใจทุกความทุ่มเทของพนักงานเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร ที่ทำงานท่ามกลางเปลวแดดร้อนเพื่อให้ถนนสะอาดและไร้ขยะ

ในโอกาสนี้ นางสุริวัสสา สัตตะรุจาวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เป็นตัวแทนมอบผลิตภัณฑ์เลย์ให้กับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งต่อรอยยิ้มให้กับพนักงานเก็บขยะทั่วกรุงเทพมหานคร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวขอบคุณบริษัทเป๊ปซี่โค ประเทศไทย ที่ได้มอบผลิตภัณฑ์เลย์เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับพนักงานเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 10,000 คน ที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งทำให้ถนนในกรุงเทพมหานครมีความสะอาดมากขึ้น พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือชาวกรุงเทพมหานครคัดแยกและทิ้งขยะ เพื่อไปสู่ปลายทางของขยะอย่างเหมาะสม รวมทั้งให้คำนึงถึงการนำสิ่งของกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และรีไซเคิล (Recycle) ให้มากที่สุด

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์มันฝรั่งทอดกรอบเลย์  หนึ่งในแบรนด์เครือบริษัทเป๊ปซี่โคประเทศไทย เชื่อมั่นว่าทุกรอยยิ้มมีความหมายและสามารถส่งพลังบวกให้กันและกันได้ จึงได้จัดทำแคมเปญ ‘ยิ้มเลย์ในเวย์คุณ’ ซึ่งทุกคนสามารถที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญและส่งต่อรอยยิ้มของตนเองออกไปง่ายๆ เพียงแค่สแกน QR Code บนหน้าซองเลย์ ในทุกไลน์ผลิตภัณฑ์กว่า 32 แบบ พร้อมถ่ายรูปและเลือก AI ฟิลเตอร์ เพียงเท่านี้ก็จะได้รอยยิ้มเก๋ๆ เพื่อส่งต่อความสุขและรอยยิ้มของตนเองออกไปง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว โดยทางแบรนด์เลย์มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นตัวกลางช่วยสร้างและกระจายรอยยิ้มของคนไทย พร้อมส่งต่อความสุขไปให้ทั่วทุกพื้นที่ และแน่นอนว่า ทาง “เลย์” ก็มีความตั้งใจมอบผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นกำลังใจและสร้างรอยยิ้มให้กับเหล่าฮีโร่ที่คอยดูแลความสะอาดและจัดการขยะแต่ละประเภทเพื่อไปสู่ปลายทางที่เหมาะสม

ด้านนางสุริวัสสา สัตตะรุจาวงษ์ ระบุว่า เป๊ปซี่โคประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรต้นแบบของการจัดการปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ซึ่งปัญหาขยะของกรุงเทพมหานครนับเป็นปัญหาสำคัญ ที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดังนั้นเป๊ปซี่โค ประเทศไทย จึงได้ร่วมสนับสนุนกรุงเทพมหานครผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือให้กับประชาชนในการจัดการขยะในรูปแบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

“ความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ มีความสำคัญอย่างมาก ในการจัดการปัญหาขยะ รวมถึงขยะจากพลาสติกที่สามารถจะนำกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะแล้ว ยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ และฟันเฟือนหนึ่งที่มีความสำคัญในการจัดการปัญหาขยะ คือ พนักงานเก็บขยะที่ทุ่มเททำงานเพื่อให้ทั่วทั้งกรุงเทพมหานครมีความสะอาด และก้าวสู่การเป็นเมืองหลวงไร้ขยะตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร เราจึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะมอบรอยยิ้มและเป็นกำลังใจให้พนักงานเก็บขยะของกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต และพร้อมสนับ สนุนภารกิจของกรุงเทพมหานครในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวสุริวัสสา กล่าว

การจัดการขยะจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งของ เป๊ปซี่โคประเทศไทย โดยได้ริเริ่มโครงการ “Journey to Zero Waste” ตั้งแต่ปี 2564 เพื่อจัดการขยะประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติกอ่อนหลายชั้น (Multilayer Plastic – MLP) อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนในการลดและคัดแยกขยะที่ต้นทาง พร้อมทั้งวางเป้าหมายเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วประเภท MLP ให้ได้มากที่สุด และนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างประโยชน์ผ่านการอัพไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมมุ่งหวังให้ขยะเหลือศูนย์

โครงการ “Journey to Zero Waste” เกิดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ pep+ (PepsiCo Positive) ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครบวงจรอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญในกำหนดวิธีการที่บริษัทจะสร้างความเติบโตและคุณค่าจากการดำเนินงานภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรโลก และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่โลกรวมถึงประชากรทั่วโลก

]]>
1472681
เอ็ม บี เค ประกาศผลประกอบการ มีกำไรสุทธิปี 2566 เป็นจำนวน 1,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372% รายได้รวม 12,101 ล้านบาท ย้ำเดินหน้าพัฒนาศักยภาพทุกธุรกิจ หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่ม https://positioningmag.com/1472672 Wed, 08 May 2024 10:56:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472672 บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK เผยผลประกอบการปี 2566 รายได้รวมอยู่ที่ 12,101 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372% จากปีก่อนหน้า มีการฟื้นตัวของธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พร้อมเดินตามแผนกลยุทธ์ปลดล็อคศักยภาพทุกธุรกิจของ เอ็ม บี เค ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินธุรกิจ 7 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจกอล์ฟ ธุรกิจอสังหาริมทรัพทย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการเงิน และธุรกิจการประมูล

นายวิจักษณ์ ประดิษฐ์วณิช  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ธุรกิจภาพรวมเชิงรายได้ปี 2566 รายได้รวมอยู่ที่ 12,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2,649 ล้านบาท คิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของบริษัท ฯ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี จึงส่งผลให้ภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิของ เอ็ม บี เค ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรมและสนามกอล์ฟ”

ทั้งนี้ ธุรกิจศูนย์การค้า มีรายได้รวมประมาณ 3,300 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อน เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นและมีผู้เช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นตามแผน ที่วางไว้

ส่วนธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว รายได้รวมประมาณ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 57% ปัจจัยหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้มีอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเพิ่มสูงขึ้น

ธุรกิจกอล์ฟ มีรายได้รวมประมาณ 530 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 32% ปัจจัยหลักมาจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสนามกอล์ฟ เรด เมาท์เทิน กอล์ฟ คลับ และสนามกอล์ฟ ล็อค ปาล์ม คลับ ในจังหวัดภูเก็ต

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รายได้ลดลงจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจาก เอ็ม บี เค คงมาตรการระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการในที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของและขายโครงการในที่ดินของเอ็ม บี เค อย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจอาหาร รายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายข้าวในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกลดลงมาจากการชะลอคำสั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา  อย่างไรก็ตามธุรกิจศูนย์อาหารของบริษัททั้ง 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากจำนวนคนที่มาใช้บริการมากขึ้น

ธุรกิจการเงิน มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้นทุนธนชาติ (TCAP) จนมีสัดส่วนการลงทุนเข้าเกณฑ์การเป็นบริษัทร่วมทำให้มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามา ทำให้ธุรกิจการเงินมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา พาราไดซ์ พาร์ค ศูนย์การค้าในเครือเอ็ม บี เค มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 84,000 ตารางเมตร พร้อมปรับโฉมใหม่เปลี่ยนทั้งไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ใหม่ของพาราไดซ์ พาร์ค ให้กลายเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งรักษา บำบัด ส่งเสริมและป้องกัน แบบครบวงจรในย่านศรีนครินทร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ กินดี อยู่ดี สุขภาพดี Living in Harmony ตลอดจนการเพิ่มเติมร้านค้าและบริการที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงามครบวงจร อาทิ ร้านอาหารและร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ศูนย์รวมจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ และคลินิกเฉพาะทาง เป็นต้น

กลุ่มบริษัท เอ็ม บี เค ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดให้บริการศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจร ในเดือนธันวาคม 2566 เป็นคลินิกพรีเมี่ยมรามาธิบดีเฮลธ์สเปช แอท พาราไดซ์ พาร์ค บนพื้นที่ขนาด 1,818 ตารางเมตร โดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา อาทิ อายุรกรรม กุมารเวช กระดูกและข้อ สูติ-นรีเวช เวชศาสตร์ฟื้นฟู แพทย์แผนทางเลือก เป็นต้น

นอกจากนี้เดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาบริษัท เอ็ม บี เค เปิดดำเนินการโรงแรมทินิดี เทรนดี้ กรุงเทพ ข้าวสาร    ตั้งอยู่บนถนนรามบุตรี ติดกับถนนข้าวสาร เป็นอาคารสูง 9 ชั้น มีห้องพักจำนวน 215 ห้อง พร้อมสระว่ายน้ำและที่จอดรถ ถึง 150 คัน

นอกจากความสำเร็จจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 บริษัท เอ็ม บี เค ยังได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจ จากหลายหน่วยงาน อาทิ รางวัล GI Best Support Award จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา รางวัล Thailand Tourism Awards ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รางวัล The International Clean Marina จากMIA รางวัล Product of the Year Awards 2023 ด้านการท่องเที่ยวและสันทนาการ จากนิตยสาร BUSINESS+ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล รางวัลการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ระดับดีเลิศ 5 ดาว ของสมาคม  ส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2566 ของสถาบันไทยพัฒน์ รางวัลสถานประกอบการดีเด่น ด้านแรงงาน สัมพันธ์และสวัสดิการ ประจำปี 2566 ของจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และรางวัล The  Bronze Flag Resort & Members Club  โดย 59 Club

นายวิจักษณ์ ย้ำว่า “หลังปลดล็อกจากสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจของเอ็ม บี เค มีผลประกอบการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ พร้อมเดินหน้าตาแผนกลยุทธ ทั้งการบริหารข้อมูลลูกค้า การบริหารข้อมูลด้านการตลาด และใช้กลยุทธ์ด้านการตลาดอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะธุรกิจที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ ริเวอร์เดล ดิสทริค ซึ่งเป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่ของเอ็ม บี เค กรุ๊ป มีพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ เป็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) คือนำธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ทั้ง 6 กลุ่มธุรกิจเข้าไปจัดสรรในพื้นที่ ยกเว้นธุรกิจการเงิน พร้อมวางระบบความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม  ส่วนโครงการที่พักอาศัยระดับหรูอย่าง พาร์ค ริเวอร์เดล และเดอะ ริเวอร์เดล เรสซิเด้นท์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อดำเนินการต่อยอด โครงการพาร์ค ริเวอร์เดล 2 ทั้งนี้เป้าหมายของการขับเคลื่อนธุรกิจที่อยู่ในบริเวณพื้นที่  ริเวอร์เดล ดิสทริค เราคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาว และมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติม รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายวิจักษณ์ กล่าวปิดท้าย

 

]]>
1472672
ฮ่องกงแลนด์จับมือโนเบิล เปิดตัวคอนโดมิเนียม ‘The Embassy Wireless’ โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 10,990 ล้านบาท บนถนนวิทยุทำเลเหนือระดับใจกลางกรุงเทพฯ https://positioningmag.com/1472663 Wed, 08 May 2024 10:43:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472663 ฮ่องกงแลนด์ (Hongkong Land) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก และโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เผยความร่วมมือในโครงการร่วมทุนโครงการ “ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส (The Embassy Wireless)” คอนโดมิเนียม พร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold แห่งใหม่ใจกลางถนนวิทยุ ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่แห่งการพักอาศัย ออกแบบด้วยแนวคิดที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตก (East Meets West) ได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บนทำเลทรงคุณค่าที่สุดในกรุงเทพฯ ที่การันตีมูลค่าการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โครงการ The Embassy Wireless เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างฮ่องกงแลนด์ และโนเบิล มูลค่าโครงการ  กว่า 10,990 ล้านบาท ด้วยวิสัยทัศน์จากผู้นำในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน พัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของฮ่องกงแลนด์ ผนวกกับโนเบิล ผู้มีประสบการณ์กว่า 30 ปีด้านการพัฒนา        อสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นนำในประเทศไทย ส่งผลให้การร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นการพัฒนาโครงการที่มีมาตรฐานสูงสุดบนทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ

วิลเลียม ไบรท์ ผู้อำนวยการ บริษัท ฮ่องกงแลนด์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ได้ความเชี่ยวชาญของโนเบิลในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย และฮ่องกงแลนด์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างยาวนานในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ในเมืองสำคัญต่าง ๆ ในเอเชีย ที่จะผนึกกำลังให้เกิดความสำเร็จในการส่งมอบโครงการระดับพรีเมี่ยม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่    ผู้ครอบครอง พร้อมส่งต่อสินทรัพย์จากรุ่นสู่รุ่น

“การลงทุนในทำเลถนนวิทยุ เปรียบได้กับการลงทุนบนทำเลอันทรงคุณค่าในเมืองใหญ่ รายล้อมด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า โดดเด่นด้านสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ใจกลางศูนย์กลางการค้าระดับโลก รวมถึงมีมูลค่าและการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบ Freehold บนถนนวิทยุนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทำเลนี้เป็นที่ต้องการสูงในกลุ่มนักลงทุน และในอนาคตพื้นที่ตรงข้ามโครงการมีแผนการพัฒนาห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซีส่วนต่อขยาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุนในย่านนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกด้วย”

The Embassy Wireless มีมูลค่าโครงการกว่า 10,990 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลที่มีสถิติราคาที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยยูนิตพักอาศัยพร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold จำนวน 757 ยูนิต ความสูง 41 ชั้น ที่โดดเด่นด้วยทัศนียภาพอันงดงามของพื้นที่สีเขียวโดยรอบโครงการ พร้อมการออกแบบที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตก (East-Meets-West) ได้อย่างประณีต ให้ผู้พักอาศัยหลบหลีกจากความพลุกพล่านในเมืองเข้าสู่ความสงบที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมที่สง่างามในทุกองค์ประกอบของโครงการ

พื้นที่ส่วนกลางของโครงการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่      สีเขียวกว่า 2,900 ตารางเมตร เสมือนเป็นโอเอซิสส่วนตัวใจกลางเมือง เริ่มตั้งแต่ The Embassy Garden โซนพักผ่อนอันเงียบสงบบริเวณชั้นล่างของโครงการ Playscape พื้นที่สำหรับเด็กที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยรอบ และ Sky Garden พื้นที่สีเขียวสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งที่จะช่วยสร้างความเพลิดเพลินให้แก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว

อีกหนึ่งไฮไลท์ของส่วนกลางคือ The Embassy Club พื้นที่สังสรรค์ที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ให้ผู้พักอาศัยได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าที่งดงามในกรุงเทพฯ ในด้าน Wellness โครงการนี้ยังตอบโจทย์ด้วย The Energy Club ที่มีทั้งโซนออกกำลังกายแบบครบครัน, Hydrotherapy Room, Treatment Room และ Salon ที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตแบบองค์รวมในทุกมิติ ยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับให้ผู้พักอาศัยได้อย่างเต็มที่

ศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์  กล่าวว่า “โนเบิล    มีความคุ้นเคยกับย่านเพลินจิต-วิทยุเป็นอย่างดี ย่านนี้รายล้อมไปด้วยศูนย์กลางการค้าระดับเวิลด์คลาส อาคารสำนักงานชั้นนำ รวมถึงอีกหลากหลายธุรกิจที่จะพัฒนาขึ้นตามแผนในอนาคต ส่งผลให้ถนนย่านนี้เป็นทำเลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การพัฒนาโครงการ The Embassy Wireless พร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold บนถนนวิทยุที่หาได้ยากนั้น ถือเป็นความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับ พร้อมส่งต่อมูลค่าเพิ่มในสินทรัพย์ที่ล้ำค่าต่อไปในอนาคตให้แก่ผู้ครอบครอง”

โครงการ The Embassy Wireless พร้อมเผยโฉมครั้งแรกที่ Sales Gallery บนทำเลทรงคุณค่าที่สุดของกรุงเทพฯ แล้ววันนี้ ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท* สำหรับห้อง Family Suite ผู้สนใจสามารถนัดหมายเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ที่ 02-251-9955, www.embassy-wireless.com หรือ LINE @embassy-wireless

ข้อตกลงและเงื่อนไข:

  • โปรโมชั่นเฉพาะยูนิตที่กำหนดเท่านั้น
  • โปรโมชั่นนี้ใช้ได้เฉพาะลูกค้าที่จองทำสัญญาภายในระยะเวลาโปรโมชั่นที่กำหนดเท่านั้น
  • โปรโมชั่นนี้สำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติทุกคนที่ถือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเท่านั้น
  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด และบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • ภาพข้างต้นใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น

ฮ่องกงแลนด์ (Hongkong Land)

ฮ่องกงแลนด์ เป็นกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจด้านการลงทุน พัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าระดับหรูกว่า 850,000 ตารางเมตรในเมืองใหญ่ทั่วเอเชีย รวมทั้ง ฮ่องกง สิงคโปร์ ปักกิ่งและจาการ์ตา อาคารภายใต้การจัดการของบริษัทล้วนได้รับใบรับรองอาคารสีเขียวทำให้เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมและดึงดูดบริษัทชั้นนำและแบรนด์หรูทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า และโครงการแบบ mixed-use ระดับคุณภาพที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมีสัดส่วนหุ้น 43% อยู่ในอาคารแบบ mixed-use ขนาด 1.1 ล้านตารางเมตรในเขต West Bund ของเซี่ยงไฮ้ สำหรับบริษัท MCL Land นั้น ก็เป็นบริษัทในเครือที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสิงคโปร์

ฮ่องกงแลนด์ โฮลดิ้งส์เป็นหนึ่งในเครือบริษัทเบอร์มิวดา (Bermuda) และจดทะเบียนหลักอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน และจดทะเบียนรองอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เบอร์มิวดาและสิงคโปร์  สินทรัพย์และการลงทุนทั้งหมดของกลุ่มบริษัทบริหารจัดการโดยบริษัทฮ่องกงแลนด์ จำกัด ในฮ่องกง และฮ่องกงแลนด์เป็นหนึ่งในบริษัทภายใต้ Jardine Matheson Group

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (Noble Development)

จุดเริ่มต้นของโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เกิดจากแนวคิดที่มุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ต้องการ “สร้างบ้าน ให้เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย” โดยในปี 2534 บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการแรก โนเบิล พาร์ค (Noble Park) คอนโดมิเนียมแนวราบ ซึ่งโนเบิลเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่สร้างคอนโดมิเนียมแนวราบ ออกสู่ตลาดและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี จากความสำเร็จในครั้งนี้ ได้กลายเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่แนวคิด และวิถีในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในแบบของโนเบิลอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2540 โนเบิล ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ Stock Quote ว่า NOBLE ในปี 2567 โนเบิล ยังคงเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพ ของกรุงเทพมหานคร รวมแล้วกว่า 66 โครงการ ซึ่งนับเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 132,000 ล้านบาท

]]>
1472663
กรุงศรี เปิดโครงการ Krungsri ESG Awards ต่อเนื่องปีที่ 2 และ Krungsri ESG Academy หนุน SME ไทย สร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่ทำได้จริง https://positioningmag.com/1472657 Wed, 08 May 2024 10:34:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472657 กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เปิดโครงการ “Krungsri ESG Awards” ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG เพื่อยกย่องและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SME ที่ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social)  และ ธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG พร้อมต่อยอดด้วยการเปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ “Krungsri ESG Academy 2024”  โดยผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการ ในการสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนตามกรอบ ESG และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะส่วนหนึ่งของภาคการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ กรุงศรีตระหนักถึงความเร่งด่วนและความจำเป็นในการสนับสนุนลูกค้าธุรกิจให้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงสู่เส้นทางของความยั่งยืน โดยเราพร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ผ่านการสนับสนุนทางการเงินและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจด้าน ESG ด้วยเป้าหมายสำคัญสามประการ คือ 1. ส่งเสริมความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงความสำคัญของ ESG และเห็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวกว่าที่คิด  2. ให้การช่วยเหลือธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อพัฒนาแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่นำไปใช้ได้จริง  3. ขยายโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างพันธมิตรในการต่อยอดด้าน ESG ได้ครบทุกมิติ”

“อย่างไรก็ตาม การลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านให้เกิดขึ้นจริง นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ SME ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การมีความรู้ ความเข้าใจที่ครบถ้วนในทุกมิติ การพัฒนาแผนธุรกิจที่นำไปสู่การวัดผลได้จริง รวมไปถึงการเข้าถึงเครือข่ายที่จะช่วยต่อยอดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ในปีนี้ กรุงศรีจึงได้สานต่อโครงการ  Krungsri ESG Awards เป็นปีที่สอง เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการเชิดชูเกียรติธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการทำงานด้าน ESG และนำแนวทางไปปรับใช้กับธุรกิจจนเกิดผลสำเร็จ ซึ่งเรามุ่งหวังให้รางวัลนี้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ลงมือทำ ESG อยู่แล้ว ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เห็นว่า ESG สามารถทำได้จริงและจำเป็นต้องทำ พร้อมกันนี้ กรุงศรีได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 โดยจะเน้นการถ่ายทอดความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจที่นำไปใช้ได้จริง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว” นางสาวดวงกมล กล่าวเสริม

สำหรับโครงการ Krungsri ESG Awards 2024 ได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG มากมาย ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมแนะนำแนวทางในการปรับตัวให้กับธุรกิจ และเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาและตัดสินรางวัล ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่

  • รางวัลที่มอบให้กิจการที่มีความเป็นเลิศ ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Excellence) และ
  • รางวัลเพื่อเชิดชูกิจการที่ริเริ่มและดำเนินการตามแนวปฎิบัติที่ดีทั้งสามด้าน (Highly commended)

โดยในปีนี้ มีกิจการที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 60 องค์กร ประกอบไปด้วย ลูกค้าธุรกิจ SME ลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่น สมาชิกของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม (SE Thailand) รวมถึงผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของกรุงศรี ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดจะได้เข้าร่วมหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG อย่างครบทุกมิติจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ตลอดระยะเวลาสี่เดือน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วิธีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ การบริหารความเสี่ยงและภาวะวิกฤต รวมถึงแนวทางการดำเนินการธุรกิจหรือกิจกรรมสีเขียวตามนิยาม Thailand Taxonomy และได้ลงมือพัฒนาแผนในการปรับเปลี่ยนธุรกิจตามกรอบ ESG (Transition Plan) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากพันธมิตรและกรุงศรี ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสการเข้าถึงเครือข่าย ESG ที่น่าเชื่อถือจากเครือข่ายพันธมิตรของกรุงศรี เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

“นับเป็นความน่ายินดีที่กรุงศรีได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในวงการ ESG มาร่วมสานต่อในการผลักดันธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนอกจากการสนับสนุนผ่านโครงการดี ๆ อย่าง  Krungsri ESG Awards และ Krungsri ESG Academy แล้ว กรุงศรียังได้ตั้งเป้าให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainable Finance) สำหรับกลุ่มลูกค้า SME ไว้ที่จำนวนกว่า 4,500 ล้านบาท และด้วยการสนับสนุนของกรุงศรีที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การพัฒนาธุรกิจ และเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต และช่วยให้ทุกธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้  โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย

 

]]>
1472657
Garmin พิสูจน์ความนิยม รายได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมรีเฟรชแบรนด์ใหม่ผ่านแคมเปญ“Garmin มีดีมากกว่าที่คิด หาข้อที่ใช่…แล้วไปต่อ”ปักธง “สมาร์ทวอทช์ที่เข้าใจคุณและเป็นสมาร์ทวอทช์สำหรับทุกคน” https://positioningmag.com/1472646 Wed, 08 May 2024 09:56:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472646
  • อีกขั้นของความสำเร็จกับรายได้นิวไฮในไตรมาสแรกของปีกว่า 1,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 49,680 ล้านบาท โตกว่า 20% และขณะที่รายได้ในไทยเติบโตกว่า 25%
  • สะท้อนกำลังซื้อและความมั่นใจในสินค้า Garmin ด้วยกระแสเปิดตัวสินค้าใหม่สร้างยอด Activity กระฉูดกว่า 39%
  • จัดทัพสินค้าแบบมิกซ์โปรดักส์หลากหลายดีไซน์ ตอบรับทุกความต้องการ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มมือใหม่ (Beginner) กลุ่มรักสุขภาพ (Health Concern) กลุ่มนักกีฬา (Athlete) ราคาเริ่มต้น 5,290 – 57,990 บาท
  • พร้อมดึงแขกรับเชิญคนพิเศษ แป้น – Japan and friends ตัวแทนกลุ่มมือใหม่ มิ้นท์ – I Roam Alone ตัวแทนกลุ่มรักสุขภาพ และ เต้ย – พงศกร ตัวแทนกลุ่มนักกีฬาที่จะมาร่วมค้นหาข้อที่ใช่ไปกับ Garmin
  • Garmin ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์จีพีเอสสมาร์ทวอทช์ระดับโลกพิสูจน์ความนิยม เผยยอดรับรู้รายได้เติบโตทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้ 1,380ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 49,680 ล้านบาท โต กว่า 20% ขณะที่รายได้ในไทยเติบโตกว่า 25% Garminสะท้อนกำลังซื้อในตลาดและผู้บริโภคที่ให้ความมั่นใจในสินค้าจากกระแสการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่สร้างยอดผู้ใช้งานกิจกรรมบน Garmin Connect เติบโตกว่า 39%โดยเดินหน้าเร่งเครื่องไม่ผ่อน ชูตัวเลือกสินค้าหลากหลายดีไซน์ พร้อมจุดเด่นด้านความแม่นยำ ฟีเจอร์ที่ครอบคลุม และอายุแบตเตอรี่ที่อยู่ได้ยาวนาน จนสมาร์ทวอทช์ Garmin เป็น “สมาร์ทวอทช์ที่เข้าใจคุณและเป็นสมาร์ทวอทช์สำหรับทุกคน” (Garmin is what you want)พร้อมฉลองครบรอบ 35 ปี เดินหน้ารีเฟรชแบรนด์ผ่านการปฏิวัติรูปแบบการสื่อสารเพื่อให้ใกล้ชิดผู้ใช้งานคนไทยมากขึ้น ด้วยแคมเปญ “Garmin มีดีมากกว่าที่คิด หาข้อที่ใช่…แล้วไปต่อ” ปรับมุมมองกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเตรียมกิจกรรมอัดแน่นให้แฟน Garmin ทุกเพศทุกวัยได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับ Garmin สมาร์ทวอทช์ได้ตลอดทั้งปี

    คุณมิสซี่ ยาง ผู้อำนวยการประจำ การ์มิน ประเทศไทยกล่าวว่า “หลังจากที่ Garmin เข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2564 เราได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยมาโดยตลอด และในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ทุบสถิติการเติบโตทางรายได้ครั้งใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยยอดรับรู้รายได้สูงถึง 1,380ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 49,680ล้านบาท เติบโตกว่า 20%ในขณะที่รายได้ในไทยเติบโตกว่า 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้Garmin ยังพบว่าสถิติการทำกิจกรรม (Activity)จาก Garmin Connect เฉลี่ยต่อเดือนเติบโตขึ้นกว่า 39% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และยังพบว่าจะมีการทำ Activity สูงขึ้นเป็นพิเศษในช่วงที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กระแสการออกกำลังกายในไทยยังคงเติบโต เพียงแต่ต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้น อีกทั้งคนไทยยังมีกำลังซื้อ และให้ความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของ Garmin โดยความสำเร็จในครั้งนี้ มีแนวคิด Beat Yesterday เป็นหลักยึดสำคัญในการเดินหน้าขององค์กร ผลักดันให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้สวมใส่ทั้งในด้านดีไซน์และการส่งมอบข้อมูลสุขภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตทั้งระหว่างการซ้อม และในชีวิตประจำวันได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

    “นอกจากนั้นแล้วเรายังมีกลยุทธ์การขยายธุรกิจแนวดิ่ง (Vertical Integration)ซึ่งหมายถึงการที่ Garmin เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การพัฒนาด้านวิศวกรรม การผลิต การตลาด ตลอดจนการให้บริการ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรของเรา ทำให้เราสามารถควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิต และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เท่าทันอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการมอบสินค้าที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานของGarmin ให้กับลูกค้า เราจึงมั่นใจที่จะส่งมอบบริการหลังการขายที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราผ่านการขยายเวลารับประกันสินค้านาน2 ปีสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าเราตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานอกจากนี้ยังได้พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องและล่าสุด Garmin สมาร์ทวอทช์ได้รับใบอนุญาตการใช้งานเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในเรื่องการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยแอปพลิเคชั่น (ECG App)เป็นที่เรียบร้อย” คุณมิสซี่ กล่าวเพิ่มเติม

    คุณหรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า “จากความเชื่อมั่นที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้กับ Garmin ตลอดมา วันนี้เราพร้อมที่จะไปต่อ ด้วยการทำการบ้านอย่างหนักในการทำความเข้าใจอินไซด์ของผู้บริโภคชาวไทย เพื่อขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ของเราเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยใช้ประสบการณ์และองค์ความรู้ที่เรามีกว่า 35 ปี ในการท้าทายตัวเอง ต่อยอดสร้างคุณค่าใหม่และส่งมอบสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าของเรา รวมถึงปักธงให้ผลิตภัณฑ์ของ Garmin เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคนไทยให้ได้”

    “จากพอร์ทสินค้าอันหลากหลายที่ Garmin มีอยู่ ทั้งกลุ่มเวลเนส (Wellness) เอาท์ดอร์ (Outdoor) และกีฬาเฉพาะด้าน (Specialty) พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มเอาท์ดอร์เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มผู้ใช้ชาวไทยคิดเป็น 48% รองลงมาเป็นสินค้ากลุ่มกีฬาเฉพาะด้านคิดเป็น 32%ส่วนสินค้ากลุ่มเวลเนสคิดเป็น 20% ในปีนี้กลุ่มสินค้าเวลเนสจึงเป็นโจทย์ของเราในการทำลายภาพจำเดิมที่ผู้บริโภคมีต่อGarmin ในฐานะสมาร์ทวอทช์สำหรับนักกีฬาและมืออาชีพ ด้วยการสื่อสารการตลาดที่เข้าใกล้ผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น และทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่า Garmin คือสมาร์ทวอทช์ที่เข้าใจคุณและเป็นสมาร์ทวอทช์สำหรับทุกคน (Garmin is what you want)”

    Garmin จึงรีเฟรชแบรนด์ ด้วยการสื่อสารผ่านเมสเสจ Be More, Beat Yesterday ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการเชิญชวนให้ทุกคนออกไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกวัน แต่เปลี่ยนวิธีคิด และปรับมุมมองกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อทำการสื่อสารการตลาดให้ตรงกับแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็น (1) กลุ่มมือใหม่ (Beginner) คือกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มหันมาสนใจดูแลสุขภาพและเริ่มต้นออกกำลังกาย (2) กลุ่มรักสุขภาพ (Health Concern) คือกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ (3) กลุ่มนักกีฬา (Athlete) หรือกลุ่มที่มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพเพื่อพิชิตสถิติหรือเป้าหมายใหม่ๆ โดย Garmin จะปฏิวัติแผนการสื่อสารเพื่อทำการสื่อสารเข้าใกล้กลุ่มคนทั้ง 3 กลุ่ม ภายใต้แนวคิด “Garmin มีดีมากกว่าที่คิด หาข้อที่ใช่…แล้วไปต่อ”เพื่อขยายประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า ฉายภาพให้ทุกคนเห็นว่า Garmin ไม่ใช่สมาร์ทวอทช์สำหรับนักกีฬาเท่านั้น แต่สามารถเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศไหน อายุเท่าไหร่ หรือทำอาชีพอะไรก็สามารถได้รับประโยชน์จากการใช้งานสมาร์ทวอทช์ของ Garmin ได้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สร้างให้ Garmin แตกต่างและจะนำมาสู่ความสำเร็จในปีนี้

    Garmin ยังต่อยอดจุดยืน ของการตั้งเป้าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เข้าใจคุณและสมาร์ทวอทช์สำหรับทุกคน (Garmin is what you want) ไปสู่การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการใช้ชีวิตเพื่อส่งมอบสินค้าภายใต้มาตรฐานความแม่นยำของ Garmin โดยมุ่งเน้น 3 มิติสำคัญ ได้แก่

    • 24/7 MONITORING – ระบบที่มอนิเตอร์ข้อมูลได้ต่อเนื่อง ความอึดของอายุแบตเตอรี่ใน Garmin ทุกรุ่นที่อยู่ได้ไม่ต่ำกว่า 5 วัน ทำให้สามารถมอนิเตอร์ข้อมูลสุขภาพได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างนอน ระหว่างทำกิจกรรม หรือระหว่างวัน ทำให้การเก็บข้อมูลไม่สะดุด แม้ขณะพักผ่อน แต่ Garmin สมาร์ทวอทช์ไม่เคยพัก
    • COMFORT – ระบบเพื่อการดูข้อมูลอย่างสะดวกสบายกับ Garmin Connect ที่เป็นตัวช่วยเก็บข้อมูลด้านสุขภาพหรือการฝึกซ้อมของผู้ใช้งานซึ่งอยู่ในแอปพลิเคชั่นเดียวถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบสามารถเรียกใช้งานและดูข้อมูลได้ทันทีที่ต้องการ
    • RELIABLE TECHNOLOGY – เทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ FIRSTBEAT ผู้ให้ผลวิเคราะห์ด้านความเครียด การฟื้นตัว และการออกกำลังกาย มีการวิจัยความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV) มากกว่า 2 ทศวรรษโดยเทคโนโลยีของ FIRSTBEAT จะแปลงข้อมูลการเต้นของหัวใจจากเซ็นเซอร์ในอุปกรณ์ของ Garmin และเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาใช้งานต่อได้จริงในรูปแบบ Stress Score และ Body Battery บนสมาร์ทวอทช์ของ Garmin ซึ่งทำให้ทุกการฝึกซ้อมและการพักผ่อนบาลานซ์ ไม่ต้องคาดเดา

    แคมเปญ “Garmin มีดีมากกว่าที่คิด หาข้อที่ใช่…แล้วไปต่อ” ประเดิมกิจกรรมแรกด้วย การตามหา Animal Spirit จิตวิญญาณที่ช่วยคุณ Beat Yesterday กับ Garmin ข้อที่ใช่ เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้นตอนได้แก่ 1) สแกน QR เพื่อตามหา Animal Spirit จิตวิญญาณที่ช่วยคุณ Beat Yesterday ไปกับ Garmin 2)แชร์ผลลัพธ์ ติด Hashtag #GarminThailand #BeatYesterdaySpirit #Garminมีดีมากกว่าที่คิด #หาข้อที่ใช่แล้วไปต่อ 3) กดรับรางวัล กรอกข้อมูล และรอรับรางวัลได้ ณ ที่อยู่จัดส่งที่ลงทะเบียนไว้สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.2567 – 28พ.ค.2567 หรือจนกว่ารางวัลจะหมดโดยเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด[1]

    ผลิตภัณฑ์หลากหลายของ Garmin พร้อมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของทุกคน มาร่วมค้นหาข้อที่ใช่… แล้วไปต่อกับ Garmin ได้แล้ววันนี้ ที่ https://gar.mn/dMEzPKK,เฟซบุ๊กแฟนเพจ Garmin Thailand และ อินสตาแกรม Garmin Thailand

    [1]เงื่อนไขในการร่วมกิจกรรมผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ที่ทำตามกติกาถูกต้อง ครบถ้วนตามที่กำหนด โดยคำตัดสินจากกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุดผู้ที่ได้รับรางวัลตกลงยินยอมให้ข้อมูลเพื่อดำเนินการมอบของรางวัล (ชื่อ นามสกุล อีเมล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์) สามารถตรวจสอบรายชื่อรางวัลได้บนหน้าเว็บ https://gar.mn/1dYOQeP

    ]]>
    1472646
    ช้อปปิ้งแบบล้ำๆ “เซ็นทรัลพัฒนา” แท็กทีม Samsung Galaxy AI บริการแปลภาษาแก่นักท่องเที่ยวกว่า 16 ภาษา ยกระดับประสบการณ์แบบไร้ขีดจำกัด https://positioningmag.com/1472500 Wed, 08 May 2024 09:47:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472500

    เซ็นทรัลพัฒนา ผู้ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการพัฒนาโครงการรวมถึงบริการ ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้เพิ่มบริการแปลภาษาแบบล้ำๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว ช่วยให้การช้อปปิ้งฟินมากขึ้นไปอีก

    บริการนี้ได้จับมือร่วมกับ “ซัมซุง” และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ AI Interpreter For Tourist Service Enhancement and Seamless Shopping Experience ให้บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ดึงฟีเจอร์สุดล้ำ Samsung Galaxy AI ที่สามารถแปลภาษาสุดอัจฉริยะได้กว่า 16 ภาษา ประกอบด้วย อังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮินดี, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, เวียดนาม, ไทย, ภาษาอาหรับ, บาฮาซา อินโดนีเซีย และรัสเซีย

    เปิดจุดให้บริการร่วมกับร้านค้าภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และจุด Touch Point ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่าง Comma And, Good Goods, Hug Craft และ Klook Lounge รวมถึงภายในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็น Tourist Destination ทั้ง 15 สาขาทั่วประเทศ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ เซ็นทรัลภูเก็ต เซ็นทรัลพัทยา เซ็นทรัลเชียงใหม่ และเซ็นทรัลสมุย เป็นต้น

    ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างมาเช็คอิน และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่มีครบทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และการช้อปปิ้ง โดยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยล่าสุด เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 มีนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่มกราคมรวมกว่า 11.2 ล้านคน ซึ่งในต้นเดือนพฤษภาคมนี้จะมีช่วงการเดินทางท่องเที่ยว Long Holiday ที่สำคัญของกลุ่มนักท่องเที่ยว Short Haul อย่างช่วงวัน Labor Day ของชาวจีนหยุดรวม 5 วัน และ Golden Week ของชาวญี่ปุ่นหยุดยาวรวมกว่า 10 วัน ทำให้เป็นช่วงที่เหมาะสมในการยกระดับการบริการในศูนย์การค้า เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้นในเดือนนี้

    ปัจจุบันศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนาได้มีโอกาสต้อนรับและให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาจากหลายหลายเชื้อชาติและภาษา ผ่านแคมเปญการตลาดของศูนย์การค้าฯ และแคมเปญที่ร่วมจัดทำกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ซึ่งบริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ฟีเจอร์แปลภาษาอัจฉริยะเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับให้บริการที่สำคัญสำหรับธุรกิจศูนย์การค้า

    บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ภายใต้แคมเปญ AI Interpreter For Tourist Service Enhancement and Seamless Shopping Experience ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรับบริการได้อย่างง่ายดาย เพียงพูดภาษาของตนเองผ่าน Samsung Galaxy AI จากนั้น AI จะทำหน้าที่แปลภาษาเป็นภาษาที่เลือกไว้ได้ทันที

    ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยทลายกำแพงภาษาและอุปสรรคในการสื่อสารกับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการแปลถึง 16 ภาษา

    จุดให้บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ภายในศูนย์การค้าจะมีให้บริการ ณ จุดเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์, เคาน์เตอร์ Tourist Information, และ Exclusive Lounge ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ได้ที่ศูนย์การค้ากลุ่ม Tourist Mall ในเครือเซ็นทรัลพัฒนาทั้ง 15 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล วิลเลจ, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล อยุธยา, เซ็นทรัล ศรีราชา, เซ็นทรัล มารีนา, เซ็นทรัล พัทยา, เซ็นทรัล จันทบุรี, เซ็นทรัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล เชียงราย, เซ็นทรัล อุดรธานี, เซ็นทรัล ภูเก็ต, เซ็นทรัล สมุย, เซ็นทรัล หาดใหญ่, Comma And และ Klook Lounge เซ็นทรัลเวิลด์, Good Goods และ Hug Craft ทุกสาขา

    ]]>
    1472500
    JFIN Chain ขยายการใช้งานบล็อกเชน ยกระดับความปลอดภัย จับมือ Kryptodian ผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ในแบบ Digital Asset Custodian รายแรกของประเทศไทย https://positioningmag.com/1472635 Wed, 08 May 2024 09:27:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472635 เจ เวนเจอร์ส ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีด้าน Digital Transformation และบล็อกเชนสัญชาติไทย ‘JFIN Chain’ ในกลุ่มเจมาร์ทกรุ๊ป (Jaymart Group) มุ่งขยายการใช้งานบล็อกเชนให้เติบโตขึ้นช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายกว่าที่เคยและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานด้วยความร่วมมือกับผู้ให้บริการกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Custodial Wallet Provider) รายแรกของประเทศไทย “Kryptodian

    ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด กล่าวถึงความร่วมมือเพื่อต่อยอดความเติบโตของการใช้งาน JFIN Chain “เรามุ่งมั่นที่จะนำ JFIN Chain ให้เป็น Infrastructure Blockchain สำหรับองค์กรธุรกิจเสมอมาด้วยการพัฒนาเครื่องมือพร้อมใช้ (Ready to use tools) ไม่ว่าจะเป็น Blockhain Mobile Application หรือ Business NFT เพื่อให้ทุกองค์กรเข้าสู่โลกบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องการที่จะช่วยให้การเข้าถึงและเชื่อมต่อ JFIN Chain ของเราให้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน การร่วมมือกับ “Kryptodian” ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ Digital Asset Custodial Wallet Provider ที่ได้รับใบอนุญาต TCSP  (Trust or Company Service Provider) จากฮ่องกงจะเข้ามาช่วยเสริมความปลอดภัยในการเชื่อมต่อการใช้งานของเรา ให้ผู้ใช้งานมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก และยังจะช่วยเปิดโอกาสให้การใช้งาน JFIN Chain เติบโตเพิ่มขึ้นผ่าน Ecosystem ของทั้ง JFIN และ Kryptodian”

    ชวัล รัตนกิจตระกูล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตเดียน จำกัด ผู้ให้บริการ “Kryptodian” บริการกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Custodial Wallet Provider) กล่าวว่า “Kryptodian เป็นผู้ให้บริการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Third-Party Custodian) ที่เป็นทั้งสกุลเงินดิจิทัลหลักและโทเค็นดิจิทัลต่างๆ ในรูปแบบการจัดเก็บ Hot wallet และ Cold wallet รายแรกของประเทศ ไทย โดยให้บริการกับสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้แก่ Bitazza, Sirihub, Xspring, Whaleground และ 1109x เป็นต้น ปัจจุบันเรามีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาทซึ่งเราใบอนุญาต TCSP จากฮ่องกง อีกทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการปกป้องความเป็นส่วนตัวระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลที่เป็นระดับสากล ISO27001 และ SOC 2 Type 2

    โดย Kryptodian ทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ปกป้องทรัพย์สินของลูกค้าเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินจะไม่สูญหาย ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือถูกขโมย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินกับผู้ประกอบการ

    “สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย Kryptodian ได้รวมโปรโตคอลการเข้ารหัสขั้นสูงและการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (Multi-factor Authentication) มีเทคโนโลยีรูปแบบไบโอเมทริกซ์ พิสูจน์ตัวตนใช้คู่กุญแจเข้ารหัส (Multi-party Computation) ที่ถูกสร้างระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้และแอปพลิเคชัน เพิ่มความมั่นใจว่าเป็นผู้ใช้จริงเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินดิจิทัลเหล่านั้นได้รับการปกป้องจากการเข้าถึง อีกทั้งยังบริหารจัดการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเคร่งครัด

    นอกจากนี้ยังให้ความคุ้มครองประกันภัยที่ครอบคลุมเพื่อเป็นการยืนยันว่า Kryptodian มอบการรักษาความปลอดภัยและความอุ่นใจเพิ่มเติมให้อีกขั้น ในอนาคต Kryptodian ยังเตรียมที่จะเพิ่มบริการที่เกี่ยวข้องสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงเพื่อเพิ่มโอกาส และตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุดในการลงทุนให้กับลูกค้าสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การดูแล
    จากหน่วยงานกำกับดูแล”

    ]]>
    1472635
    ‘ออโต้ ไดรฟ์ อีวี’ ผนึก ‘แกร็บ’ หนุนคนขับแท็กซี่ใช้รถ EV ตั้งเป้าดันแท็กซี่ไฟฟ้า 2,000 คันให้บริการภายในปี 2568 https://positioningmag.com/1472629 Wed, 08 May 2024 09:18:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472629 ออโต้ ไดร์ฟ อีวี (Auto Drive EV) จับมือ แกร็บ ประเทศไทย สนองนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด พร้อมร่วมสนับสนุนโครงการ Grab EV ผลักดันให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านโปรแกรม “เช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้า” ที่เปิดโอกาสให้คนขับแท็กซี่ รวมถึงคนขับที่ให้บริการรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอปฯ สามารถเช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้าเพื่อให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน Grab ได้ในราคาเริ่มต้นเพียงวันละ 820 บาท โดยตั้งเป้าส่งมอบรถแท็กซี่ไฟฟ้า 2,000 คันเพื่อให้บริการในเมืองท่องเที่ยวทั่วไทยภายในปี 2568

    ดร.อัครนันท์ อริยศรีพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท ออโต้ ไดร์ฟ อีวี จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ออโต้ ไดร์ฟ อีวี  ดำเนินธุรกิจให้เช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2566 โดยได้ให้บริการรถแท็กซี่ไฟฟ้า รุ่น MG EP Plus ปัจจุบันบริษัทฯ มีรถแท็กซี่ไฟฟ้าให้บริการผู้โดยสารกว่า 200 คัน ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และ ภูเก็ต โดยที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือกับ แกร็บ ประเทศไทย ในการส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งทำให้คนขับมีรายได้ที่แน่นอนและช่วยลดรายจ่ายในด้านเชื้อเพลิงจากการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ล่าสุดในปีนี้ ออโต้ ไดร์ฟ อีวี ได้ลงนามความร่วมมือระยะเวลา 2 ปี (2567 – 2568)  กับ แกร็บ ประเทศไทย ในการจัดหารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าส่งมอบรถจำนวน 2,000 คันให้ได้ภายในปี 2568 พร้อมขยายพื้นที่การให้บริการไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ”

    นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การส่งเสริมและผลักดันให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ถือเป็นภารกิจหลักในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมของแกร็บ โดยที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ได้ริเริ่มและดำเนินโครงการ Grab EV เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ ทั้งที่ให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร และบริการเดลิเวอรี ซึ่งเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ ทั้งกลุ่มผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายและให้เช่า EV ผู้ให้บริการสถานีชาร์จ รวมไปถึงสถาบันการเงิน เพื่อทลายข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้พาร์ทเนอร์คนขับไม่สามารถเข้าถึงการใช้ EV ได้ การประกาศความร่วมมือกับ ออโต้ ไดร์ฟ อีวี ในการพัฒนาโปรแกรม ‘เช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้า’ ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ  แกร็บในการสนับสนุนการใช้ EV ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บที่ใส่ใจในด้านสิ่งแวดล้อม ให้สามารถสร้างรายได้จากการให้บริการรับส่งผู้โดยสารด้วยรถแท็กซี่ไฟฟ้า โดยมีอัตราค่าเช่าเริ่มต้นเพียงวันละ 820 บาท ซึ่งจะหักจากรายได้ของการให้บริการเรียกรถ Grab  ในแต่ละวัน โดยปัจจุบันได้เริ่มให้บริการแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต  ขณะที่ผู้ใช้บริการสามารถเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ไฟฟ้าได้ผ่านบริการ GrabTaxi VIP และ JustGrab โดยสามารถเพิ่มโอกาสได้รถ EV เมื่อผู้ใช้บริการเปิดฟีเจอร์เรียกรถพลังงานไฟฟ้า (Grab EV)”

    “ขอขอบคุณ แกร็บ ประเทศไทย สำหรับการผนึกความร่วมมือครั้งนี้ ออโต้ ไดร์ฟ อีวี เชื่อมั่นว่าโปรแกรม ‘เช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้า’ ผ่าน Grab จะเป็นประโยชน์ต่อคนขับแท็กซี่และคนขับแกร็บเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ใช้รถแท็กซี่ที่มีสมรรถนะสูง เครื่องยนต์เงียบ ถูกใจผู้โดยสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนในด้านพลังงาน ทำให้คนขับมีรายได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับทุกคน  ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจ  ของบริษัทฯ ด้วย” ดร.อัครนันท์ ปิดท้าย

    ]]>
    1472629
    FPT เปิดผลประกอบการครึ่งปีแรก กวาดรายได้กว่า 6,500 ล้านบาท โรงงาน-คลังสินค้าบูมต่อเนื่อง อาคารสำนักงาน-รีเทลผู้เช่าแน่น ธุรกิจที่อยู่อาศัยเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ แบงก์ปล่อยกู้ยาก กระทบยอดโอน https://positioningmag.com/1472623 Wed, 08 May 2024 09:06:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472623 บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายแรกของประเทศไทย ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2567 (ต.ค.2566 – มี.ค. 2567) สร้างรายได้รวม 6,591 ล้านบาท กำไรสุทธิ 487 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส ของปีงบการเงิน 2567 (ม.ค.มี.ค. 67) มีรายได้รวม 3,524 ล้านบาท กำไรสุทธิ 165 ล้านบาท ธุรกิจที่อยู่อาศัยแม้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าตามแผน พร้อมเปิด 4 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง ควบคู่กับการปรับกลยุทธ์ ด้านพอร์ตอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมพาณิชยกรรมปั๊มรายได้เติบโตต่อเนื่อง อัตราการเช่าในระดับสูงที่ 86% และ 92% ตามลำดับ

    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพ  เพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากจุดแข็งของธุรกิจซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างมั่นคง มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และจากค่าเช่าที่เติบโตต่อเนื่องผ่านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้า รวมถึงอาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่รีเทล และโรงแรม โดยบริษัทฯ ได้อัปเกรดสินค้าและบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายลูกค้ากลุ่มใหม่ พร้อมด้วยการเดินหน้าการดำเนินงานให้สอดรับกับสภาพตลาด ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ

    สำหรับผลประกอบการ เดือนแรกของปีงบการเงิน 2567 (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) มีรายได้ 6,591 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 4,102 ล้านบาท ลดลง 881 ล้านบาท หรือ 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ค่าเช่าและบริการ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155 ล้านบาท หรือ 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้อื่น ๆ 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187 ล้านบาท หรือ 23.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 487 ล้านบาท

    ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส ปีงบการเงิน 2567 (มกราคม – มีนาคม 2567) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการ อยู่อาศัยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้มียอดขายสูงกว่า 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยสูงและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อยอดการปฏิเสธการขอสินเชื่อจากธนาคาร ทำให้สามารถสร้างรายได้  2,371 ล้านบาท โดยได้เปิดโครงการใหม่คือเดอะแกรนด์  แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มูลค่า 2,100 ล้านบาท ภายใต้การปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในการระบาย สต๊อกสินค้าควบคู่กับการจัดแคมเปญทางการตลาด นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดอีก 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท ครอบคลุมสินค้าทั้งบ้านคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์เดอะ แกรนด์แกรนดิโอ และนีโอโฮมบนทำเลกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมทั้งคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์    แบรนด์โคลส รัชดา 7 (KLOS Ratchada 7)

    กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ทำรายได้รวม 772 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายและขยายฐานการผลิตจากประเทศจีน ส่งผลให้ดีมานด์โรงงานและคลังสินค้าขยายตัว บริษัทฯ มีอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงถึง 86% โดยไตรมาสนี้ได้ส่งมอบคลังสินค้าทั้งแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) รวมพื้นที่ประมาณ 40,000 ตร.ม. อีกทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนา โครงการในไทยและเวียดนามด้วยพื้นที่กว่า 86,000 ตร.ม. ซึ่งจะทำการส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกัน เตรียมขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซีย หลังมีผู้เช่าหนาแน่น และมีอัตราการเช่าเกือบ 100%  

    ด้านอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่รีเทลสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออยู่ที่92% มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นของรายได้ตามสัญญา ซึ่งบริษัทฯ มีการยกระดับอาคารอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์และครอบคลุมความต้องการของผู้เช่าได้มากขึ้น ส่วนธุรกิจโรงแรมมีแรงหนุนจากมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีน และการท่องเที่ยวคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

    ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้งในระดับ “A” แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจและความมั่นคงของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย

    ตารางเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้านการเงิน รอบระยะเวลา 6 เดือน (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567)

    ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ไตรมาส 2/2567 (มกราคม – มีนาคม)
    (ล้านบาท)
    รายได้รวมสุทธิ 3,524
    – รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,371
    – รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 772
    – รายได้อื่น ๆ 381
    กำไรสุทธิ 165

     

    ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ไตรมาส 2 (มกราคม – มีนาคม 2567)

    ผลการดำเนินงานด้านการเงิน

    รอบระยะเวลา 6 เดือน
    (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567)

    2567
    (ล้านบาท)
    2566
    (ล้านบาท)
    เปลี่ยนแปลง
    (ล้านบาท)
    เปลี่ยนแปลง
    (ร้อยละ) Y-o-Y
    รายได้รวมสุทธิ 6,591 7,130 -539 -7.6
    – รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 4,102 4,983 -881 -17.7
    – รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 1,506 1,351 155 11.5
    – รายได้อื่น ๆ 983 796 187 23.5

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ]]>
    1472623