แซตทีอี หวังเบอร์ 5 ตลาดสมาร์ทโฟน

แซตทีอี จับมือเอไอเอส วางจำหน่าย Blade V7 Lite ทำราคาพิเศษเมื่อสมัครแพกเกจรายเดือนเหลือ 1,990 บาท จากราคาปกติ 4,990 บาท เผยเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเพื่อให้ขึ้นเป็น 1 ใน 5 ผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งราว 5-6% ภายในสิ้นปีนี้

เจเรมี จ้าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร แซตทีอี คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แซตทีอี ตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็นอันดับ 5 ผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดราว 6% หรือคิดเป็นจำนวนเครื่องราว 9 แสนเครื่อง เพิ่มขึ้นจาก 3 แสนเครื่อง หรือ 2% ในปีที่ผ่านมา โดยนับเฉพาะตัวแบรนด์ของแซตทีอี โดย 5 ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนที่แซตทีอี ระบุตอนนี้ประกอบไปด้วย ซัมซุง เอไอเอสลาวา แอปเปิล ออปโป้ และไอโมบาย

‘ถ้านับที่จำนวนการจัดส่งสมาร์ทโฟนในประเทศไทยปัจจุบันแซตทีอีถือเป็นอันดับ 5 ในตลาดแล้ว ด้วยส่วนแบ่งราว 8-9% แต่ด้วยส่วนใหญ่จะเป็นการจำหน่ายร่วมกับโอเปอเรเตอร์ในรูปแบบของการรับจ้างผลิต ทำให้ไม่ได้นับตัวแบรนด์ขึ้นมาเป็นหลัก ดังนั้นกลยุทธ์หลักในปีนี้คือการผลักดันแบรนด์แซตทีอีให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น’

โดยแซตทีอี ถือเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในตลาดโลก และเป็นบริษัทที่มีการวิจัยและพัฒนาด้วยการถือครองสิทธิบัตรมากเป็น 1 ใน 3 รายของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน พร้อมกับเตรียมที่จะวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 7 รุ่น ประกอบไปด้วยซีรีส์ Axon 2 รุ่น Blade V ซีรีส์ 2 รุ่น และ A ซีรีส์ 3 รุ่น

ล่าสุดแซตที ได้ร่วมมือกับเอไอเอสในการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่เป็นแฟลกชิปในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ด้วย Blade V7 Lite ที่เมื่อลูกค้าเปิดเบอร์รายเดือนกับเอไอเอส พร้อมชำระค่าบริการล่วงหน้าจะได้รับส่วนลดเหลือ 1,990 บาท จากราคาปกติ 4,990 บาท นอกจากนี้ในช่วงเดือนสิงหาคมจะเริ่มวางจำหน่าย Blade V7 Max ในราคา 9,990 บาท ซึ่งถือเป็นรุ่นที่เพิ่มสเปกขึ้นมา

สำหรับ Blade V7 Lite จะมากับหน้าจอขนาด 5 นิ้ว บาง 7.9 มิลลิเมตร กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ใช้หน่วยประมวลผล MediaTek MTK6735P ความเร็ว 1GHz RAM 2 GB ส่วน Blade V7 Max ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว บาง 7.2 มิลลิเมตร รองรับการใช้งาน 4G LTE หน่วยประมวลผล MediaTek 1.8 GHz RAM 3 GB ทั้ง 2 รุ่นทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0

ทั้งนี้ แซตทีอี คาดการ์ดว่าในปีนี้ยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยจะอยู่ที่ราว 15 ล้านเครื่อง มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งทางแซตทีอีจะมีการเพิ่มงบการตลาดอย่างต่อเนื่องในทุกๆไตรมาส เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าถึงตัวแบรนด์ ทั้งการเพิ่มช่องทางจำหน่ายเป็น 2,000 ร้านค้า และศูนย์บริการหลังการขาย 220 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000067827