ญี่ปุ่นจับมือบ.ยักษ์ใหญ่ ทำแผนที่ 3 มิติสำหรับรถไร้คนขับ

รถยนต์ที่จะออกวิ่งเก็บข้อมูลถนนสำหรับทำแผนที่สามมิติให้รถไร้คนขับ (ภาพจากมิตซูบิชิ อิเล็กทริก)

ญี่ปุ่นผนึกกำลังบริษัทเทคโนโลยี – อุตสาหกรรมยานยนต์ ทำแผนที่ 3 มิติสำหรับรองรับการทำงานของรถอัจฉริยะไร้คนขับ โดยใช้รถที่ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเดินทางเก็บภาพของถนนต่าง ๆ ทั่วประเทศ และข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ดังกล่าวจะถูกนำมาประมวลผล เพื่อสร้างเป็นแผนที่ดิจิตอลสำหรับให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์นำไปประยุกต์ใช้ต่อไป

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท มิตซูบิชิ อิเล็กทริก (Mitsubishi Electric) บริษัทผู้พัฒนาแผนที่ เซนริน (Zenrin) และบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์อีก 9 แห่ง โดยจะเริ่มต้นการทำแผนที่ 3 มิติจากการเก็บภาพของบริเวณทางด่วนเส้นหลักของประเทศที่มีระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรก่อนใคร ซึ่งการพัฒนาแผนที่ถนน 3 มิตินี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ของคณะรัฐมนตรีด้วย

สำหรับข้อมูลที่ได้จากแผนที่ 3 มิตินี้ยังสามารถนำไปใช้ได้อีกหลากหลาย เช่น ในกรณีที่แผนที่ทราบว่า หากวิ่งตามทางนี้อีกไม่นานจะเจอกับสัญญาณไฟจราจร ระบบก็จะแจ้งให้รถยนต์วิ่งช้าลงได้

อย่างไรก็ดี สื่อของญี่ปุ่นอย่างเอเชียน นิคเคย์ ได้มีการรายงานว่า ปัจจุบัน ระบบแผนที่ 3 มิติของญี่ปุ่นนั้นยังขาดความแม่นยำในบางเรื่อง เช่น ในกรณีที่รถวิ่งอยู่ใต้ทางยกระดับ ระบบนำทางของตัวรถจะแสดงผลสถานที่ของตัวรถผิดพลาด

ส่วนการตั้งทีมสำรวจนั้น จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่บริษัทมิตซูบิชิ อิเล็กทริกพัฒนาขึ้นนั้นบนรถยนต์ และใช้ GPS ในการแทร็คสถานที่ของรถยนต์บนแผนที่ รวมถึงมีเซนเซอร์สำหรับตรวจจับความเอียงของรถยนต์เพื่อให้ทราบถึงเกรดหรือคุณภาพของถนนด้วย

นอกจากนั้น ก็ยังมีระบบเลเซอร์สำหรับเก็บข้อมูลต่าง ๆ รอบตัว เช่น ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟจราจร แยกต่าง ๆ ทางม้าลาย เพื่อนำไปประกอบเป็นแผนที่สามมิติต่อไป

ขณะที่ฟากฝั่งอเมริกา ชื่อของกูเกิล (Google) อยู่ในฐานะผู้นำของบริษัทผู้พัฒนาแผนที่ 3 มิติ ญี่ปุ่นเองก็หวังว่าจะไล่ตามให้ทันด้วยการพัฒนาแผนที่ดังกล่าวขึ้นใช้เอง ให้ได้ตามมาตรฐานสากลด้วย

ทั้งนี้ ถนนไฮเวย์ของญี่ปุ่นมีระยะทางประมาณ 1.27 ล้านกิโลเมตร โดยในตัวเลขนี้มีทางด่วนเป็นระยะทางราว 30,000 กิโลเมตร ซึ่งทำให้ต้นทุนของการพัฒนาระบบนี้ค่อนข้างสูง โดยอาจมีมูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

ที่มา: http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000091863