สงครามข่าวเริ่มตั้งแต่เช้า ช่อง 3 ดิ้นหนีเรตติ้งร่วง 

ช่อง 33 หรือ 3 HD กำลังจะตื่นแล้ว ตั้งแต่เช้าวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยพึ่งพลังชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์มาอยู่หน้าจอ ที่ไม่ใช่แค่ระดับดันเรตติ้ง แต่ผู้บริหารช่องหวังถึงขั้นกระชากเรตติ้ง และยังเปลี่ยนตัวพิธีกรชายโดยดึงไก่ ภาษิต อภิญญาวาทมาแทนต๊ะ พิภู พุ่มแก้วมานั่งคู่กับน้องไบร์ท พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒคนเดิม ไม่เพียงเท่านั้นไก่ ภาษิตยังควบจัดรายการถึงข่าวเที่ยงด้วย 

นี่คือความเปลี่ยนแปลงหลัก ของหน่วยรบหน้าจอของช่อง 3 ใหญ่

ขณะที่น้องเล็กของช่อง คือช่อง 28 หรือ 3 SD ก็เตรียมขยับ เพื่อชิงคนดู แม้จะดูเหมือนแข่งกันเอง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ไหลไปช่องอื่น จึงเริ่มทุ่มทุนกับข่าวเช้า โดยส่งทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์มาดันเรตติ้ง ขณะนี้รอเพียงเคาะวันออกอากาศโฉมใหม่กันอีกครั้ง

เวลานี้กลุ่มช่อง 3 จึงเหลือพี่ใหญ่ 3 HD เป็นหลักในการทำสงครามข่าวเช้า หลังจากเรตติ้งรายการตกลงเรื่อย ในช่วงเกือบ 1 ปี 8 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ที่รายการข่าวช่องเรื่องเล่าเช้านี้มีคนดูลดลงเพราะสรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรนักเล่าข่าว ต้องลาจอในฐานะที่เป็นผู้บริหารบริษัทไร่ส้ม ถูกศาลพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน ในคดีความผิดฐานสนับสนุนการทุจริตเงินค่าโฆษณาเมื่อครั้งเคยทำธุรกิจกับช่อง 9   

   

คนดูทิ้งจอเกือบ 50% เมื่อไม่มีสรยุทธ

อะไรเกิดขึ้นหลังจากที่ไม่มีสรยุทธ ภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจสายงานการวางแผนและกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลิเจนซ์ จำกัด บอกว่า จากข้อมูลเรตติ้งพบว่าผู้ชมรายการข่าวเช้าช่อง 3 หายไปเกือบ 50% แต่ไม่ได้หมายความว่าจำนวนทั้งหมดนี้จะไปดูช่องอื่น เพราะพบว่าครึ่งหนึ่งของ 50% ไม่ดูช่องใดเลย และหันไปดูสื่ออื่นแทน ส่วนที่เหลือกระจายไปชมช่องอื่น โดยช่องที่ได้เรตติ้งที่เป็นฐานแฟนเรื่องเล่าเช้านี้มากที่สุดคือ ช่อง 7 ประมาณ 15% ทำให้ช่อง 7 ได้เรตติ้งอันดับ 1 ทิ้งห่างช่อง 3 มากขึ้นในช่วงเช้า จากเดิมช่อง 3 กับช่อง 7 เรตติ้งใกล้เคียงกัน

ผู้บริหารช่อง 3 คนหนึ่งกล่าวว่า ผลกระทบของช่อง 3 นั้น ถ้าย้อนกลับไปดูเรตติ้งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมารายการข่าวช่องใหญ่ ก็มีเรตติ้งลดลงอยู่แล้ว เพราะทีวีดิจิทัลเกือบทุกช่องมีรายการข่าว และทำได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องความเปลี่ยนแปลงปรับทัพรายการข่าวนั้นของช่อง 3 นั้นเป็นการปรับตามปกติของธุรกิจทีวี 

อีกมุมหนึ่งคือผู้ชมทีวีลดลง เพราะใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยช่อง 3 ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่มีสรยุทธหน้าจอ เรตติ้งก็ลดลงเรื่อย จนเหลือประมาณ 1 กว่า ขณะที่ช่อง 7 ยังรักษาระดับ 2 กว่า และเป็นที่ 1 อย่างต่อเนื่อง 

สงครามข่าวจุดพลุไพรม์ไทม์เช้าชิงโฆษณา 25-30%

แม้จะเหลือผู้ชมครึ่งของครึ่งหนึ่งจากเรื่องเล่าเช้านี้ แต่ทุกสายตาผู้ชม ก็มีความหมายสำหรับทุกช่องทีวีดิจิทัลที่เกิดใหม่ เพราะปัจจุบันเม็ดเงินซื้อเวลาโฆษณาช่วงรายการข่าวคิดเป็นประมาณ 25-30% ซึ่งส่วนใหญ่เม็ดเงินอยู่กับช่วงข่าวเช้า แม้อัตราขายต่อนาทีจะถูกกว่าช่วงเย็น หรือค่ำ แต่เพราะหลายช่องแข่งกันเต็มที่ และให้เวลาออนแอร์นาน ทำให้ข่าวเช้าได้เม็ดเงินค่อนข้างสูง จนทำให้รายการข่าวโดยรวม ได้เม็ดเงินโฆษณามากใกล้เคียงกับรายการบันเทิงวาไรตี้ ขณะที่อีก 40-50% ซื้อโฆษณารายการละคร ที่ส่วนใหญ่ช่อง 3 และ 7 ได้ไป

ภวัต เรืองเดชวรชัย

ภวัตกล่าวว่า ช่วงเช้าจัดเป็นช่วงเวลาหากิน เวลาทำเงินของช่อง นับเป็นไพรม์ไทม์ช่วงเช้า นอกจากช่วงไพรม์ไทม์ค่ำถึงดึกเวลา 18.00-22.45 .

เวลาสู้รบชิงเรตติ้ง หลายช่องจึงเปิดศึกกันตั้งแต่ตีห้า เพื่อดึงผู้ชมแช่ช่องไว้แม้ว่าเวลาทำรายได้จริง จะเริ่มช่วง 06.00-07.00 .ก็ตาม

การเขย่าหน้าจอเรื่องเล่าเช้านี้ ช่องโดยดึงชูวิทย์ มามีโอกาสดึงผู้ชมได้หลังจากชูวิทย์ไปทดสอบอยู่หน้าจอช่องไทยรัฐมาแล้ว และพบว่าคนดูยอมรับได้แม้ว่าจะเคยต้องโทษเข้าคุกมาก่อน อย่างไรก็ตาม แค่นี้ไม่พอต้องมีไก่ ภาษิตมาเป็นหลักคู่กับน้องไบร์ทที่เชื่อมโยงภาพจำกับสรยุทธ” 

เวลาข่าวเช้าเป็นช่วงเวลาปราบเซียนสำหรับคนทำงานทีวีนี่คือความเห็นของ เขมทัตต์ พลเดช ที่เคยผ่านทั้งเอเจนซี่โฆษณา ผู้บริหารทีวีดิจิทัลพีพีทีวี และล่าสุด นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

แม้จะยากแต่ทุกช่องต้องทำ เพื่อดึงผู้ชมให้ได้ เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ดูทีวีแต่ฟังเล่าข่าว ต้องรีบไปทำงาน หรือไปทำสวนทำไร่ สำหรับ อสมท เลือกพิธีกรข่าวที่คนคุ้นเคย เพื่อช่วยดึงผู้ชม อย่างที่หลายๆ ช่องก็เชื่อว่าแบบเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ช่อง 3 เลือกเปิดเกมอีกรอบด้วยชูวิทย์” 

นี่คือปัจจัยหนุนที่จะทำให้คนดูเปิดช่องและดูต่อ เพราะมีคนดัง หรือคนคุ้นเคยมาอยู่หน้าจอ นอกเหนือจากเนื้อหาที่รายการข่าวซึ่งในปัจจุบันพบว่า รายการข่าวแต่ละช่องนำเสนอไม่ต่างกัน จนรายการข่าวช่วงเช้าที่ช่องทีวีดิจิทัลได้ผู้ชมมากขึ้นอย่างน่าจับตาคือ ช่อง 27 หรือ ช่อง 8 อาร์เอส ที่ไล่จี้ช่อง 3 มาติด ตามมาด้วยช่อง 23 เวิร์คพอยท์ และช่อง 31 วัน 

ช่อง 8 จัดเต็ม (อยู่แล้ว) ชิงฐานช่อง 3

การขยับของช่อง 3HD ล่าสุดนี้ แน่นอนว่าคือการส่งความท้าทายไปที่ช่อง 8 เพื่อชิงคนดูกลุ่มคนเมือง และตามหัวเมืองกลับมา หลังจากที่ช่อง 8 พยายามเบียดช่อง 7 เพื่อดึงคนดูกลุ่มแมส แต่ไม่ใช่ง่าย จึงได้เบนเข็มเข้าหากลุ่มคนเมือง หัวเมืองมากขึ้น ซึ่งเป็นฐานของช่องท่ามกลางความอ่อนแอของช่อง 3

ดร.องอาจ สิงห์ลำพอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 บอกว่า รายการข่าวช่อง 8 มีฐานผู้ชมประจำที่มีคนเมือง หัวเมืองใหญ่มากขึ้น ผู้ชาย และผู้หญิงมีจำนวนพอ กัน ได้กลุ่มผู้ชมหลากหลาย บางคนตื่นเช้าดูตอนตีห้า นับเป็นรายการข่าวที่ยาวที่สุดตั้งแต่ตีห้าจนถึง 9 โมงเช้า จนได้กลุ่มผู้ชมทั้งแม่บ้าน และคนไปทำงาน 

ความสำเร็จในการทำเรตติ้ง เพราะพัฒนารายการข่าวที่เน้นการคุยข่าวแบบให้ผู้ชมเข้าใจง่าย ที่สำคัญเน้นเลือกข่าวที่ผู้ชมสนใจ ข่าวที่รับชมแล้วได้ข้อมูลสาระ เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ผู้ชมตกข่าว

วิธีการทำงาน ต้องวัดผลเป็นรายนาที ทำให้พบได้ว่าข่าวแบบไหนโดนใจหรือไม่โดนใจผู้ชม ส่วนการปรับเปลี่ยนของช่อง 3 นั้น ไม่ได้มีผลทำให้ช่องต้องปรับอะไร เพราะปกติปรับตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะทำเนื้อหาให้ดีขึ้น โดยผู้ประกาศยังคงเป็นชุดเดิมในปัจจุบัน แต่คู่แข่งทำอะไรก็ต้องศึกษาเป็นเรื่องปกติ

อาร์เอส สร้างความจดจำได้แล้วระดับหนึ่งว่าหากนึกถึงช่อง  8 ก็นึกถึงรายการข่าว ซึ่งปัจจุบันมีรายการข่าวในผังประมาณ 30% ซึ่งข่าวเช้าเป็นช่วงข่าวที่เรตติ้งสูงสุดเมื่อเทียบกับข่าวช่วงเวลาอื่นของช่อง ขายโฆษณาได้ราคาสูงสุด จากเดิมเริ่มต้นหลักหมื่น และเป็นหลักแสนในปัจจุบัน และมีแผนจะปรับราคาขึ้นอีก ตามเรตติ้งที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาพรวมของช่อง

นี่คือเหตุผลที่ทีมข่าวช่อง 8 มีกว่า 200 ชีวิต มีทีมข่าวประมาณ 16-17 ทีม และปัจจุบันทำรายได้น่าพอใจ คุ้มกับการลงทุน โดยเชื่อมั่นว่าคนจะดูข่าวมากขึ้นเรื่อย เพราะพิสูจน์แล้วว่ารายการข่าวสามารถทำรายได้ และเป็นหัวหอกสำคัญของช่อง 8

ช่องวาไรตี้ยึดฐานช่องข่าวตัวจริง

ในมุมของผู้ชมบางคน และผู้บริหารช่องวาไรตี้แล้ว เห็นภาพชัดว่า ในสถานการณ์ปกติ รายการข่าวก็ดูที่ช่องวาไรตี้ได้ ไม่จำเป็นต้องกดรีโมตไล่หาช่องทีวีดิจิทัลกลุ่มข่าว เพราะรายการข่าวก็คือรายการข่าว

เหตุผลหนึ่งคือคนข่าวตัวจริง ได้กระจายไปทำงานอยู่ในช่องวาไรตี้จำนวนมาก และหากดูจากเรตติ้งแล้ว ช่องข่าวเองก็อยู่ในลำดับท้ายของทีวีดิจิทัล เพราะผังรายการในช่องวาไรตี้ที่หลากหลายทำให้ส่งต่อมาถึงรายการข่าวอย่างชัดเจน 

ดร.องอาจ อธิบายว่า เมื่อ กสทชกำหนดให้ช่องวาไรตี้มีรายการข่าวสาระ 25% ของผังรายการ ทุกช่องต้องทำ และทำอย่างเต็มที่ และทำได้ไม่ต่างจากช่องข่าว ขณะที่ผังรายการมีความหลากหลาย โดยเฉพาะรายการบันเทิง เพราะโดยพฤติกรรมผู้ชมเอง ไม่มีใครที่อยากเสพข่าวตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นทางเลือกสร้างแฟนประจำช่องมากกว่า 

ขณะเดียวกันการทำรายการข่าวเองก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความบันเทิง ไม่ได้หมายถึงข่าวเป็นเรื่องสนุก แต่หมายถึงวิธีการนำเสนอข่าวสาร สาระที่ให้ประโยชน์ ที่คนดูรับชมและชอบ จึงทำให้สภาพธุรกิจทีวีดิจิทัลที่เกิดขึ้น รายการข่าวในช่องวาไรตี้จึงได้เรตติ้งมากกว่าช่องข่าวตัวจริง

ปรากฏการณ์การแข่งขันในธุรกิจทีวีดิจิทัลผ่านมาแล้วประมาณ 3 ปี หลังเริ่มมาตั้งแต่ปี 2557 จากอายุใบอนุญาตทั้งหมด 15 ปี หลายคนอ่อนล้า แต่หลายคนก็สตรองขึ้นเรื่อย เพราะสมรภูมิธุรกิจหลายหมื่นล้านนี้ ทุกนาทีคือเม็ดเงิน หากใครตามผู้ชมไม่ทัน บางคนเคยชนะ วันหนึ่งก็อาจแพ้ก็เป็นได้.