วิกฤติ เวิร์คพอยท์ เรตติ้งหล่นกระทบหุ้นร่วง

ไม่มีอะไรแน่นอน สำหรับสถานการณ์ของทีวีดิจิทัลที่พลิกผันได้ตลอด เมื่อเวิร์คพอยท์เคยแจ้งเกิดจากรายการ วาไรตี้ เกมโชว์ได้อย่างงดงาม จนขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 3 ของทีวีดิจิทัลที่ถูกจับตามองมากที่สุด แต่เวลานี้กลับต้องเผชิญหน้ากับความพลิกผันอย่างหนัก จากเรตติ้งที่กำลังหล่น จนส่งผลถึงราคาหุ้น

ราคาหุ้นของเวิร์คพอยท์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ลดลงในวันเดียวถึง 8.75 บาท จากราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 77.75 บาท มาปิดที่ 69 บาท เป็นการลงแรงถึง 11.25% ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่เคยมีราคาสูงสุดในวันที่ 7 พ.ย. 2560 ในราคาที่ 104 บาท

ส่วนหนึ่งเป็นผลสะท้อนจากเรตติ้งทั้งช่อง และรายการหลักระดับ “แม่เหล็ก” ของเวิร์คพอยท์อย่าง “The Mask Singer” หรือ “หน้ากากนักร้อง” กำลังดิ่งลงอย่างหนัก

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้จับตามองเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านผลตอบรับความนิยมของทั้งช่องและรายการสำคัญมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้เรตติ้งเริ่มลดลงแพ้ช่องโมโน ที่นำเสนอภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศ แต่โดยรวมทั้งปีก็ยังประคองตัวรักษาอันดับเรตติ้งเป็นช่องอันดับ 3 ได้

ส่งสัญญาณไตรมาส 4 ปี 60 ขาดทุน

ปีที่แล้ว 2560 ถือว่าเป็นช่วงทองของ “เวิร์คพอยท์” แจ้งผลประกอบการปี 2560 ว่าบริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,852.50 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2559 ที่มีรายได้รวม 2,667.05 ล้านบาท คิดเป็น 44% โดยมีกำไรสูงถึง 904.09 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ถึง 355% ซึ่งปี 2559 มีกำไรอยู่ที่ 198.63 ล้านบาท

รายได้หลักมาจากกิจการโทรทัศน์ ซึ่งมีรายได้รวม 3,478.35 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนนี้มาจากรายได้ของช่องเวิร์คพอยท์จำนวน 3,208.76 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 979.72 ล้านบาท หรือ 44% เมื่อเทียบกับปี 2559

ความสำเร็จของเวิร์คพอยท์ในปีที่แล้ว มาจากรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ที่เปิดตัวซีซั่นแรก ก็กระชากเรตติ้งถล่มทลายได้เรตติ้งสูงสุดถึง 13.371 โดยมีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 6.55 แซงหน้าละครหลังข่าวช่วงเวลาไพรม์ไทม์ทั้งของช่อง 7 และช่อง 3 เป็น Talk of the town ไม่มีใครไม่รู้จัก ทุกคนต้องดู

ในขณะที่ซีซั่น 2 ออกอากาศช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคมปีที่แล้ว แม้เรตติ้งจะลดลงไปบ้างแต่ก็ได้เฉลี่ยทั้งซีซั่นอยู่ที่ 7.311 และเคยได้สูงสุดอยู่ที่ 9.383 ส่วนซีซั่น 3 ที่ออกอากาศต่อเนื่องกันมาและจบไปเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2561 ได้เรตติ้งเฉลี่ย 3.579

แม้ว่าภาพรวมทั้งปีกำไรพุ่งสูงสุด แต่ว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2560 มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 22 ล้านบาท

ตัวเลขเรตติ้งช่วงไตรมาส 4 เริ่มถดถอยลงต่อเนื่อง เมื่อรายการใหม่ๆ ที่คาดหวังไว้ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะรายการ The X Factor จบลงไปด้วยเรตติ้งเฉลี่ยเพียง 1.309

เปิดปีใหม่ รายการใหม่ ยังไม่ปัง

เมื่อเปิดศักราชใหม่เวิร์คพอยท์ ยังคงให้น้ำหนักกับรายการ วาไรตี้ “เกมโชว์” ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของช่อง รายการที่เวิร์คพอยท์หวังจะเป็นหมัดเด็ดดึงเรตติ้งก็ไม่เป็นไปตามคาดหมาย

The Show : ศึกชิงเวที ที่เป็นการ battle กันระหว่างนักร้องทีมชายและทีมหญิง จัดลงผังทุกวันอังคาร หลังข่าวในช่วงไพรม์ไทม์ แต่เปิดตัวออกอากาศครั้งแรกได้เรตติ้งไปเพียง 1.73 และค่อยๆ ลดลง จนสัปดาห์ที่แล้วได้เรตติ้งไปเพียง 1.32 เท่านั้น

ในขณะที่ซีรีส์อินเดียศึกสองราชันย์ โปรุส VS อเล็กซานเดอร์” ซีรีส์ประวัติศาสตร์อินเดีย สงครามครั้งสุดท้ายของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช เวิรค์พอยท์จัดลงทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ หลังรายการวาไรตี้ช่วงไพรม์ไทม์ ที่หวังว่าจะเปรี้ยง แต่เรตติ้งก็ไม่มาตามคาด สัปดาห์ที่ผ่านมา เรตติ้งอยู่ในระดับ 0.4 – 0.6 เท่านั้น

รายการใหม่อย่าง My Mom Cook หรือเชพไม่ทิ้งแถว ในวันเสาร์ ได้เรตติ้งในเสาร์ที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาเพียง 0.799

นอกจากนี้ช่วงละครไทย “สาวน้อยร้อยหม้อ” ที่ลงผังไพรม์ไทม์วันหยุด ตอนจบในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้เรตติ้งอยู่ที่ 1.51 โดยจะมีละครใหม่ “คู่ซี้ผีมือปราบ” ได้สองนักแสดงใหญ่ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ และ ชาคริต แย้มนาม ออนแอร์ต่อ

ส่งผลให้เรตติ้งของเวิร์คพอยท์ที่เคยอยู่อันดับ 3 ในปี 2560 ต้องหล่นมาอยู่อันดับ 4 ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2561 โดยช่องโมโนเบียดขึ้นมาเป็นอันดับ 3

“บุพเพสันนิวาส” เอฟเฟกต์ กระทบ 2 รายการหลัก

ที่ผ่านมา รายการ I can see your voice หรือ นักร้องซ่อนแอบ และ The Mask Singer แม้ว่าจะมีเรตติ้งลดลงไป แต่ทั้งสองรายการยังคงเป็น “รายการหลัก” ให้กับช่องเวิร์คพอยท๋ สร้างเรตติ้งสม่ำเสมอในผังวันพุธ และพฤหัส ทุกสัปดาห์ สามารถสู้กับละครช่องของช่อง 3 และช่องวัน ซึ่งเป็นช่องที่มีฐานผู้ชมเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกันอย่างคนกรุงเทพฯ และคนหัวเมืองหลักได้อย่างสูสีบ้าง

แต่เมื่อละครไทยเริ่มมาแรง ตั้งแต่ ”เรือนเบญจพิษ” ของช่องวัน ทำให้เรตติ้งทั้งสองรายการเริ่มได้รับผลกระทบ

อีกทั้งยังมาเจอ “บุพเพสันนิวาส” ฟีเวอร์ ที่ช่อง 3 จัดลงผังวันพุธและพฤหัส ทั้งสองรายการหลักของเวิร์คพอยท์ก็ต้องรับผลกระทบเข้าอย่างจังๆ

“บุพเพสันนิวาส” ออกอากาศตอนแรก ก็ชนะทั้งสองรายการ แต่เรตติ้งยังไม่ทิ้งห่างมากนัก ได้เรตติ้ง 3.417 และ 4.769 โดยที่ I can see your voice ได้เรตติ้ง 2.791 ในขณะที่ The Mask Singer 4 อยู่ที่ 3.186

พอมาสัปดาห์ต่อมาตอนที่ 3 และ 4 ของบุพเพสันนิวาส เริ่มกวาดเรตติ้งไปที่ 7.311 และ 8.197 ทำให้ทั้งสองราย การเรตติ้งลงลงอีก โดย I can see your voice ได้เรตติ้งอยู่ที่ 2.136 และ The Mask Singer 4 ได้ 1.888 เท่านั้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ “บุพเพสันนิวาส” เรตติ้งถล่มทลาย 11.354 และ 12.645 I can see your voice เหลือเพียง 1.992 ในขณะที่ The Mask Singer 4 รูดลงหนักมาอยู่ที่ 1.609 เท่านั้น

สถานการณ์ในทุกวันพุธ และพฤหัสทุกสัปดาห์ ก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกระยะของกระแส “บุพเพสันนิวาส” จนกว่าจะจบลง และหวังว่าจะไม่มีละครชุดใหม่มาปังต่อเนื่องอีก จึงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างหนักในช่วงนี้

น่าจับตามองว่าในวิกฤติเช่นนี้ เวิร์คพอยท์ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นบริษัทที่มีครีเอทีฟสูง สร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ พร้อมปรับเปลี่ยนจัดรายการใหม่ลงผังได้อย่างรวดเร็ว จะใช้กลยุทธ์อะไรในการสร้างรายการใหม่ ฟื้นความนิยมกลับคืนมา เพื่อพร้อมที่จะสู้ชิงทั้งเรตติ้ง และสร้างกระแสขึ้นมาได้อีกครั้ง

เพราะบทเรียนการต่อสู้ในสังเวียนทีวีดิจิทัลที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า ไม่มีใครชนะได้ตลอดกาล อยู่ที่ว่าใครมีคอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชมได้มากที่สุด กระแสก็พร้อมเหวี่ยงกลับไปมาได้ตลอดเวลา.