สงครามแห่งการนำส่งความอร่อย

โอยร้อนเหลือเกินขี้เกียจออกข้างนอกไปหาอะไรกินจัง หาของกินผ่านแอป แล้วให้มาส่งที่บ้านดีกว่า

ว่าแล้วก็คว้ามือถือคู่ใจ เปิดแอปกวาดสายตามองหาของอร่อย ก่อนจะกด Check Out เหลือบไปราคาค่าจัดส่ง ถึงกับต้องขยี้ตา ค่าส่ง 10 บาท! 

โอ้! แม่เจ้า นี่ถ้าผมจะนั่งสามล้อไปนั่งทานที่ร้านเอง ยังไงๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงกว่านี้แน่ๆ 

ทำไมราคาค่าส่งมันถูกขนาดนี้หว่า? เรื่องนี้สืบไม่ยาก ถามไถ่จากพี่มอเตอร์ไซค์ที่มาส่งอาหารก็สิ้นเรื่อง ในเวลาไม่นานนัก พี่วินหน้าชะแล่ม ก็นำก๋วยเตี๋ยวมาส่งให้ถึงหน้าบ้าน 

พี่ๆ ค่าส่งมันแค่ 10 บาทเอง แบบนี้มันจะคุ้มค่าน้ำมันพี่หรือครับ??”

จริงๆ ผมได้ 80 บาท ทางบริษัทเจ้าของแอปเค้าออกให้ … พี่วินตอบกลับมา

สืบสาวราวเรื่อง ตามประสาคนช่างเผือก พอจะรู้ว่าพี่วินแกวิ่งส่งอาหารทั้งวัน วันนึงได้ประมาณ 1,500-2,500 บาท บางทีก็มีทิปงามๆ แถมด้วย ถือว่ารายได้ไม่เลวเลยทีเดียว ทำเอา โซวบักท้ง” ถึงกับไขว้เขว

หรือเราจะหาเงินค่าขนมเพิ่มเติมจากที่เมียให้รายวัน โดยการขับมอเตอไซค์วิ่งส่งอาหารดีหว่า??”

ภาพจากเฟซบุ๊ก Get

ผมลองนั่งกดแอปเจ้าอื่นๆ ที่อยู่ในสังเวียน “Food Delivery” หลายๆ เจ้าดู  เพื่อเช็กราคาค่าส่ง

โดยรวมแล้ว คงต้องสรุปว่าตลาด “Food Delivery” ในไทยในขณะนี้ อยู่ในสเตจที่เรียกว่าเลือดเดือด” 

เข้าสู่สงครามด้านราคาอย่างแท้จริง! แข่งกันขาดทุนอย่างบ้าระห่ำ!

อารมณ์เหมือนเอามีดเสียบกัน แล้วแข่งกันว่าใครเลือดจะหมดก่อนกัน ใครเลือดหมดก่อนแพ้!

จริงๆ เรื่องสงครามราคานี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับวงการ E-commerce บ้านเราครับ ที่ต่างคนต่างพากันขายของขาดทุน

ครั้งหนึ่ง ผมเคยซื้อโคมไฟราคา 800 บาท โดยที่ป้ายราคายังติดอยู่เลยว่า 1,100 บาท! ประทับใจโซวบักท้งมากๆ 

หลายคนคงจะงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจแนวนี้หว่า? มันบ้ารึเปล่าถึงแข่งกันขาดทุนเยี่ยงนี้

สำหรับวงการ E-commerce  มันมีเหตุผลของมันอยู่ครับ โดยเฉพาะเฟสเริ่มต้น ตอนที่ตั้ง system กันใหม่ๆ เพราะค่าใช้จ่ายหลักๆ ของบริษัท E-commerce ใหญ่ๆ คือ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งครับ ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นอุปสรรคในการทำ E-commerce มากๆ 

พวกเราเองก็น่าจะเคยมีประสบการณ์ คืออยากจะซื้อของออนไลน์แต่พอเจอค่าส่งแพงก็เลยเปลี่ยนใจไม่ซื้อซะงั้น

บรรดาเจ้าของธุรกิจ E-commerce ก็เลยต้องพยายามสร้างลดต้นทุนของการขนส่งลง โดยการยอมลดราคาสินค้าลง เพื่อให้เกิดจำนวนการสั่งซื้อที่มากขึ้น พอมีจำนวนสั่งซื้อมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็จะถูกลงโดยอัตโนมัติ

พูดแบบนี้อาจจะงงๆ อธิบายง่ายๆ ถ้าผมต้องวิ่งรถส่งของจากประตูน้ำไปลาดพร้าว โดยมีของที่ต้องส่งทั้งหมด 10 ชิ้น เทียบกับการวิ่งรถในเส้นทางเดียวกันจากประตูน้ำไปลาดพร้าว แต่มีของต้องส่ง 100 ชิ้น 

แน่นอนครับ พอหารค่าขนส่งลงบนจำนวนสินค้า รถที่วิ่งส่งของ 100 ชิ้น  ย่อมจะมีค่าขนส่งถูกกว่ารถที่ขนของ 10 ชิ้นในเส้นทางเดียวกัน

นั่นก็เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลครับ ที่บรรดาบริษัท E-commerce ยักษ์ใหญ่พยายามขายสินค้าราคาถูกๆ ถึงขั้นขายขาดทุน

ไม่นับเหตุผลอื่นๆ อย่างเช่น ต้องการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้ซื้อ, ต้องการดาต้า เพื่อใช้ในการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ฯลฯ

ภาพจาก : facebook.com/linemanth/

แต่พอหันกลับมามองธุรกิจ Food Delivery แล้ว ถ้าจะบอกว่าที่ธุรกิจเหล่านี้ยอมขาดทุน ก็เพราะว่า ต้องการจะลดค่าขนส่งลง ก็คงจะไม่ใช่ เพราะดูๆ แล้ว บรรดา Food Delivery ทั้งหลาย ไม่ได้พยายามที่สร้างระบบขนส่งของตัวเอง แต่ทำระบบขนส่งผ่านพี่วินมอเตอร์ไซค์เสียเป็นส่วนใหญ่ แถมลักษณะของการวิ่งส่งของกินนั้น ดูจะเป็นการวิ่งเป็นรอบๆ เที่ยวต่อเที่ยวมากกว่า (ไม่ใช่วิ่งเส้นทางเดียว ส่งของกินได้หลายบ้าน )

ดังนั้นกลยุทธ์ในการขายขาดทุนนั้น สาเหตุเบื้องหลัง น่าจะมาการต้องการขยายเน็ตเวิร์กของบรรดาพี่วินมอเตอร์ไซค์มากกว่า   

แน่นอนครับ หนึ่งใน Key Success ของธุรกิจ Food Delivery น่าจะเป็น ความเร็ว ในการส่ง

ถ้าอยากจะส่งของกินให้ถึงผู้ส่งเร็วๆ ก็จะต้องมีเน็ตเวิร์กของพี่วินมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก ซึ่งถ้าต้องการจะมีเน็ตเวิร์กของพี่วินมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก ก็ต้องมีออเดอร์จำนวนมาก ก็เลยยอมขายขาดทุนกันไป เพื่อเพิ่มจำนวนออเดอร์ให้เยอะที่สุด

ภาพจากเฟซบุ๊ก Line man

ผมลองกดดูแอป “Line Man” ที่ดูเหมือนเป็นเจ้าตลาด Food Delivery อันดับหนึ่งในขณะนี้ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีโปรโมชั่นค่าส่ง 10 บาท เหมือนกับแอปอื่นๆ 

เป็นไปได้ว่า “Line Man” อาจจะมองว่า ตัวเองมีเน็ตเวิร์กของพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่แข็งแรงอยู่แล้ว 

หรือไม่ก็อาจจะมองว่าความเร็วในการส่ง ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสูงสุดในธุรกิจนี้ แต่หากว่าเป็น ตัวเลือก ของร้านอาหาร ซึ่ง Line Man ที่เป็น Partner กับทางแอปรีวิวร้านอาหาร วงใน ทำให้มีตัวเลือกของร้านอาหารในแอปจำนวนมากที่สุด 

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมเชื่อว่างานนี้ “Line Man” คงจะยืนอยู่บนแท่นอันดับหนึ่งชนิดขาสั่นแน่นอน

สงครามยังคงดำเนินต่อไป ใครจะเป็นผู้ชนะคงต้องจับตาดูกันต่อไป  พร้อมๆ กับพุงที่ค่อยๆ ยื่นเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ของพวกเราแห่งการนำส่งความอร่อย.