เช็กสภาพทีวีดิจิทัล 7 ช่อง เตรียม “ลาจอ” ส.ค.นี้ 5 ปี ขาดทุน “หมื่นล้าน”

ในอุตสาหกรรมสื่อ เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดอยู่ที่ “โทรทัศน์” ครองสัดส่วน 60-70% ของภาพรวมโฆษณา “แสนล้าน” หากย้อนไปปี 2556 มูลค่าโฆษณาทีวีที่ขณะนั้นยังเป็น “ฟรีทีวี” แอนะล็อก 6 ช่อง มีเม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ 78,683 ล้านบาท เติบโต 6.63% นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ใครๆ ก็อยากเป็น “เจ้าของ” ฟรีทีวี หวังเป็นเครื่องมือปั๊มเงิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ช่อง 3 – ช่อง 7” เป็นต้นแบบเจ้าของสถานีทีวีที่ใครๆ ก็อยากเดินตามรอย ดูจากรายได้ที่อู้ฟู่ในยุคแอนะล็อก ย้อนไปปี 2556 BEC หรือ ช่อง 3 ทำรายได้สูงสุดที่ 15,127 ล้านบาท เช่นเดียวกับกำไรสูงสุดที่ 5,589 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ (มาร์เก็ตแคป) 101,000 ล้านบาท ส่วน ช่อง 7 รายได้ ปี 2556 รายได้ 10,312 ล้านบาท กำไร 5,231 ล้านบาท   

การจัดประมูลทีวีดิจิทัลของ กสทช. ในเดือน ธ.ค. 2556 ด้วยจำนวน 24 ช่อง มองว่าหากแต่ละช่องมีส่วนแบ่งโฆษณาราว 2% ของอุตสาหกรรมโฆษณา “แสนล้าน” หรือราวช่องละ 2,000 ล้านบาท ก็น่าจะเพียงพอให้อยู่ได้  

จังหวะการประมูลทีวีดิจิทัลในปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่ธุรกิจสื่อในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายราย “ทำกำไร สูงสุด” ส่วนกลุ่มคอนเทนต์โปรวายเดอร์และสถานีทีวีดาวเทียมเอง ก็ต้องการเป็น “เจ้าของ” สื่อทีวี

ส่งผลให้การประมูลทีวีดิจิทัลปลายปี 2556 มีการเคาะราคาประมูลสูงถึง 50,862 ล้านบาท จากราคาขั้นต่ำที่ กสทช.กำหนดไว้ 15,190 ล้านบาท สะท้อนถึงความหวังและความฝันที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการเป็นเจ้าของสื่อทีวี ทั้งฟรีทีวีรายเดิมที่ต้องการมีใบอนุญาตมากกว่า 1 ช่อง ธุรกิจสื่อที่ต้องการขยายอาณาจักรสู่ทีวี ผู้ผลิตรายการและผู้เล่นหน้าใหม่ที่ต้องการแบ่งเค้กโฆษณา 70,000 ล้านบาท

“ไทยทีวี” ขาดทุน 700 ล้าน

เมื่อทีวีดิจิทัลเริ่มออนแอร์ในเดือน เม.ย. 2557 ตลอดเส้นทางเพียงปีแรกของใบอนุญาต 15 ปีที่จะจบในปี 2572 ต้องบอกว่าหลายช่อง “ผิดคาด” ทั้งผู้ชมและรายได้ ปัญหาที่แจกแจงออกมาได้ หลักๆ คือ การเปลี่ยนผ่านทีวีดิจิทัลของ กสทช.ไม่เป็นไปตามแผน โดยเฉพาะการแจกกล่องรับสัญญาณ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ดิสรัปชั่น ผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรมเสพสื่อออนไลน์ แต่ในฝั่งทีวีดิจิทัลเอง ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหลายช่องผลิต “คอนเทนต์” ไม่โดนใจผู้ชม

เพียงจบปีแรกของใบอนุญาตทีวีดิจิทัล “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” หรือ “ติ๋ม ทีวีพูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยทีวี จำกัด เจ้าของทีวีดิจิทัล 2 ช่อง คือ ไทยทีวี ช่องข่าว และ โลก้า ของเด็กและครอบครัว ต้องส่งหนังสือ “เลิกกิจการ” ทั้ง 2 ช่อง กับตัวเลขขาดทุนกว่า 700 ล้านบาท และฟ้องร้อง กสทช. เรียกค่าเสียหาย คดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด   

มาตรา 44 ช่วยครั้งสุดท้าย     

สถานการณ์ทีวีดิจิทัล 22 ช่อง ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา “ส่วนใหญ่” ประสบปัญหา “ขาดทุน” ทำให้ กสทช.ต้องเสนอให้หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งมาตรา 44 มาช่วยเหลือทีวีดิจิทัล ปี 2559 ผ่อนผันจ่ายเงินงวดที่ 4 และช่วยจ่ายค่าโครงข่าย Must Carry 100% ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2559 มีกำหนดสิ้นสุด ธ.ค. 2562 และปี 2560 คำสั่งมาตรา 44 ให้ กสทช.สนับสนุนค่าโครงข่าย Mux 50% ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2561 มีกำหนดสิ้นสุด มิ.ย. 2563

แต่สถานการณ์ทีวีดิจิทัล “ส่วนใหญ่” ยังไปไม่รอด มาตรการช่วยเหลือตามคำสั่ง คสช. มาตรา 44 ที่ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.บอกว่านี่คือครั้งสุดท้าย คือการเปิดให้ทีวีดิจิทัล “คืนใบอนุญาต” โดยได้รับเงินชดเชย 

วันที่ 10 พ.ค. 2562 ซึ่งกำหนดให้ทีวีดิจิทัล ส่งหนังสือแจ้งคืนใบอนุญาต สรุปมีผู้ประกอบการขอคืน

7 ช่อง ประกอบด้วย 1.สปริงส์นิว 19  2.วอยซ์ทีวี 3.สปริง 26 (NOW 26) 4. MCOT Family (อสมท) 5. ไบรท์ทีวี 6. ช่อง 3 SD (ช่อง 28) และ 7. ช่อง 3 Family (ช่อง13)

การคืนช่องของทีวีดิจิทัลครั้งนี้ เป็นกลุ่มช่องที่มีเรตติ้งอยู่ในอันดับต่ำกว่า 10 นั่นเท่ากับว่า “โอกาส” หารายได้จากโฆษณาถือว่าน้อยมาก อีกทั้งเม็ดเงินในอุตสาหกรรมทีวีตลอดช่วง 5 ปีนี้แทบไม่ขยับ ยังเป็น “เค้กก้อนเดิม”  

นับจากปี 2556  ถึงปี 2561 นีลเส็นรายงานงบโฆษณาทีวีผ่านสื่อมูลค่าอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท ไม่ได้เพิ่มขึ้น งบโฆษณาทีวียังกระจุกตัวอยู่ที่ช่องเรตติ้งสูงสุด กลุ่มแรกที่เม็ดเงินไปครอง คือ ช่อง 7 และช่อง 3 ตามมาด้วย เรตติ้งรองลงมาอีก 5 อันดับเท่านั้น หากเรตติ้งต่ำกว่า 7 อันดับแรกเรียกว่าแทบไม่ได้งบโฆษณา ทำให้ต้องหารายได้จาก ทีวีโฮม ช้อปปิ้ง

7 ช่องคืนไลเซ่นส์ลงทุน “หมื่นล้าน” ขาดทุนอ่วม

การใช้มาตรา 44 เปิดทางให้ “คืนใบอนุญาต” ครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าจำนวนช่องทีวีดิจิทัลมีมากเกินไป การเปิดโอกาสให้ออกจากตลาดเพื่อนำคลื่นความถี่ 700 MHz ที่ใช้งานในฝั่งกิจการโทรทัศน์ไปประมูลคลื่น700 MHz ในฝั่งกิจการโทรคมนาคม เพื่อใช้ประโยชน์ 5G กสทช. คาดว่าจะได้เงินราว 75,000-80,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ต้องนำไปจ่ายค่าชดเชย “คืนช่อง” พร้อมสนับสนุนค่าโครงข่าย Mux และใบอนุญาตงวดที่ 5 และ 6 ราว 32,000 ล้านบาท

ทีวีดิจิทัลทั้ง 7 ช่องที่ “คืนใบอนุญาต” การยุติออกอากาศ “จอดำ” จะอยู่ในราวเดือน ส.ค.นี้ ประเมินจำนวนเงินที่ต้องชดเชยรวมกันอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท

การดำเนินธุรกิจของทั้ง 7 ช่อง ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เผชิญปัญหา “ขาดทุน” มาต่อเนื่อง หากวิเคราะห์จากเม็ดเงินลงทุนของทั้ง 7 ช่อง ที่ใส่เงินไปแล้วประมาณ “หมื่นล้านบาท”

  1. ค่า operation เช่น บุคลากร 100-200 คนต่อสถานี, อุปกรณ์ 150 -200 ล้านบาทต่อสถานี รวมเป็นเงิน 2,000-3,000 ล้านบาท
  2. ค่าโครงข่ายช่อง SD และเด็กเดือนละ 3.5-3.8 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท
  3. ค่าใบอนุญาต 2  ช่อง SD, 3 ช่องข่าว และ 2 ช่องเด็ก ในกลุ่ม 7 ช่องที่คืนใบอนุญาต รวม 4 งวด ประมาณ 5,700  ล้านบาท

โดยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 7 ช่อง ต่างรายงานผลประกอบการ “ขาดทุน” ตลอดช่วง 5 ปี ขณะที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลอีก 15 ช่องที่ขอไปต่อ ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” เช่นกัน โดยเลขาธิการ กสทช.เองก็ย้ำว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล “ขาดทุน” ไปแล้วกว่า “หมื่นล้านบาท” 

ฐากร ตัณฑสิทธิ์

สถานการณ์ทีวีดิจิทัลปัจจุบัน ผู้ที่ตัดสินใจไปต่อ 15 ช่อง สัดส่วนกว่าครึ่งที่ยังอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” และยังจะต้องเผชิญการแข่งขันดุเดือด ทั้งกลุ่มทีวีดิจิทัลด้วยกันเองและสื่อออนไลน์

มาตรการช่วยเหลือจาก มาตรา 44 ช่วยลดต้นทุนค่าประมูลงวดที่เหลือและค่าเช่าโครงข่าย Mux แต่ยังต้องลงทุน “คอนเทนต์” ที่ถือเป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ หากต้องการชนะในการแข่งขันทีวีดิจิทัล และหลังจากนี้ จะไม่มีมาตรการใดออกมาช่วยเหลืออีกแล้ว สำหรับผู้ที่เลือกไปต่อ.


ข่าวเกี่ยวเนื่อง