แบรนด์ไม่ต้องเสี่ยง! เปิดตัวโมเดลเอเยนซีใหม่ “Revenue Sharing” คิดค่าบริการตามยอดขาย

กระแส Digital Transformation ที่องค์กรต้องรับมือกับการถูกเทคโนโลยี Disrupt มีมาอย่างต่อเนื่องในทุกอุตสาหกรรม แต่การใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ ในแต่ละองค์กรอาจยังทำได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะด้าน “การตลาด” ที่อาจติดยึดกรอบการทำงานแบบเดิม ถือเป็นสิ่งที่ “ดิจิทัล เอเยนซี” ต้องทำหน้าที่ปรับมุมคิด เสนอโซลูชั่นการทำงานใหม่ ให้เป็นทางเลือก แบบที่ win win ทั้งคู่

ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แบรนด์และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน บางรายยังติดกับรูปแบบและวิธีการทำการตลาดแบบเดิมๆ และไม่ได้มีการนำ Digital Technology และ Digital Tools ต่างๆ มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

กระบวนการทำการตลาดและคิดแคมเปญการตลาดของแบรนด์ต่างๆ ในวันนี้ โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ ยังเป็นแบบเดิม คือต้องทำร่วมกับแผนกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เรียกเอเยนซี รับบรีฟโจทย์ เสนอแผน แก้แผน เสนองานครีเอทีฟ แก้งาน กว่าจะสรุปออกมาเป็นแคมเปญการตลาดถึงมือผู้บริโภคกินเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน แต่ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ Speed การทำงานแบบเดิมอาจทำให้เสียโอกาสทางการขาย วันนี้การเคาะแคมเปญการตลาดไม่ควรเกิน 3 สัปดาห์ เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

“แม้องค์กรต่างๆ ได้เริ่มกระบวนการดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มกันมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ก็ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งยังขาดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการทำ Digital Marketing หลายแบรนด์เกิดความกังวลว่าเมื่อใช้แล้วผลที่ได้ จะสู้วิธีการทำการตลาดในรูปแบบเดิมที่เคยทำได้หรือไม่” 

เปิดโมเดล Revenue Sharing

มาดูในฝั่งการทำงานของเอเยนซีโฆษณา ที่ปกติจะคิดค่าบริการจากการทำแผนกลยุทธ์ ค่าครีเอทีฟและค่าธรรมเนียมจากการลงมีเดียต่างๆ ซึ่ง KPI ของแต่ละงานหรือแต่ละแคมเปญจะไม่มีการการันตีเป็นยอดขาย ซึ่งหลังจากแคมเปญจบไปแล้ว แบรนด์สามารถขายของได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องรับความเสี่ยงเอง ก็ต้องถือเป็นข้อจำกัดและอุปสรรคสำคัญ ทำให้แบรนด์ต่างๆ ลังเลที่จะลองทำการตลาดด้วยวิธีการใหม่ๆ

จาก pain point ดังกล่าว YDM Thailand จึงนำเสนอ “โมเดลใหม่” เป็นการคิดค่าบริการแบบใหม่ Revenue Sharing” เปลี่ยนจากการจ่ายค่าบริการต่างๆ เป็นการจ่าย “ส่วนแบ่งจากยอดขาย” ที่เกิดขึ้นจริงตามการตกลงในแต่ละแคมเปญ

“โมเดล Revenue Sharing ในฝั่งของลูกค้าหรือแบรนด์ต่างๆ ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการใช้งบทำการตลาด เพราะจ่ายจริงตามสัดส่วน ยอดขายน้อยจ่ายน้อย ยอดขายมากจ่ายมาก ถือเป็นโมเดลที่ Win- Win ทุกฝ่าย” 

อาวุธ “ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง” มีเพียบ

การนำเสนอ โมเดล Revenue Sharing ให้เป็นทางเลือกใช้บริการของแบรนด์ต่างๆ เพราะ YDM Thailand เครื่องมือการทำตลาดดิจิทัลครบวงจรอยู่แล้ว ผ่านบริษัทในเครือทั้ง 9 บริษัท

  • เอฟซีบี แบงคอก (FCB Bangkok) และ นวิน คอนซัลแทนต์ (Nawin Consultant) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ การทำแบรนด์คอมมูนิเคชั่น การวางแผนสื่อโฆษณา รวมถึงการออกแบบสร้างสรรค์และการผลิตสื่อต่างๆ
  • แอดยิ้ม (Adyim) ให้บริการด้าน Digital Marketing Solutions แบบครบวงจร
  • ก็อตติไมซ์ (Gottimize) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนและการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์
  • อัลเทอร์เนท 65 (Alternate65) เจ้าของแพลตฟอร์ม REVU เชี่ยวชาญด้านการรีวิวสินค้าโดยใช้ Micro influencers ซึ่งมีอยู่ในแพลตฟอร์มกว่า 10,000 คน
  • แอดพ็อกเกต (ADPOCKET) ผู้ให้บริการด้านการทำ Mobile Advertising
  • แจ่มจรัส (Jamjaras) ผู้ให้บริการด้านการทำการตลาดภูธรแบบครบวงจร มีอินฟลูเอนเซอร์ เซเลบ และนักร้องลูกทุ่ง กว่า 200 คน
  • เอวีจีไทยแลนด์ (AVG Thailand) ให้บริการด้านการทำ Digital Marketing เจาะตลาดจีนโดยเฉพาะ มีเครือข่าย อินฟลูเอนเซอร์จีนกว่า 1 ล้านคน
  • ดูเออร์ (Doer) แพลตฟอร์มสำหรับฟรีแลนซ์ที่ให้บริการด้านการทำ Website, Mobile Application ฯลฯ

โดยทั้ง 9 บริษัทในเครือจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา Marketing Solutions ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการผ่านโมเดล Revenue Sharing

เปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

ปกติแบรนด์ส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าในหลากหลายช่องทาง และทำการตลาดหลายรูปแบบ จึงลำบากในการแจกแจงว่ายอดขายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากผลการทำงานของ YDM Thailand หรือไม่ ดังนั้นโมเดลบริการเอเยนซี แบบ Revenue Sharing จึงได้เปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไปพร้อมกัน คือ BuyZabuy.com & SellZabuy.com เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถ “ปิดการขาย”

โดย BuyZabuy.com เป็นช่องทางให้แบรนด์นำสินค้ามาวางจำหน่าย และสามารถ Track ดูยอดขายที่เป็นผลจากการทำการตลาดของ YDM Thailand ได้ ซึ่งแบรนด์จะทำหน้าที่แค่จัดส่งสินค้าเท่านั้น ส่วนทาง YDM Thailand จะทำตลาดและโฆษณาให้ทั้งหมด ผ่านการทำงานของ 9 บริษัทในเครือ และเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณสื่อสาร การตลาดและโฆษณาทั้งหมด โดยแบรนด์จ่ายเฉพาะส่วนแบ่งที่เกิดจากยอดขายเท่านั้น

นอกจากนี้ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม SellZabuy.com ให้ Digital Marketers และ Influencers ที่อยู่ในเครือข่ายของ YDM Thailand กว่า 10,000 คน ช่วยกันโปรโมตสินค้าให้กับลูกค้า โดย Digital Marketers หรือ Influencer จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายที่เกิดขึ้นจริงด้วย

โมเดลใหม่เอเยนซี “เลือกลูกค้า”

เมื่อเป็นโมเดลใหม่ วิธีการหาลูกค้าก็ต้องแตกต่างจากเดิม สำหรับโมเดล “Revenue Sharing” ที่คิดค่าบริการตามยอดขายนี้ ธนพล บอกว่าฝั่งเอเยนซี YDM Thailand ในฐานะที่แบกรับความเสี่ยงไว้พอสมควร เพราะต้องลงทุน “งบการตลาดและโฆษณา” ซึ่งมีต้นทุนทั้งบุคลากรและค่ามีเดีย ดังนั้น YDM Thailand จะเป็นผู้เลือกลูกค้าเอง ต่างจากโมเดลปกติที่เอเยนซีต้องไปแข่งขัน pitch งาน เพื่อให้ลูกค้าเลือก

“หลักการเลือกลูกค้าของเราต้องการสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และพาร์ตเนอร์ที่ต้องการเห็นการทำงานโมเดลใหม่ๆ”

ปัจจุบันมีพันธมิตรที่กำลังทำงานในโมเดล “Revenue Sharing” กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาลและกลุ่มสื่อ ซึ่งแต่ละธุรกิจมีรูปแบบการทำงานและการกำหนดส่วนแบ่งจากยอดขายแตกต่างกัน โดยรูปแบบ “Revenue Sharing” เป็นบริการทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการแบกรับงบการตลาดและโฆษณา ซึ่งโมเดลนี้ในต่างประเทศมีการใช้งานแล้วหลายประเทศ ส่วนในไทยก็มีเช่นกัน แต่ให้บริการเฉพาะบางส่วนเท่านั้น ขณะที่ YDM Thailand ให้บริการได้ครบทุกโซลูชั่นการทำตลาดและโฆษณาจาก 9 บริษัทในเครือ

ปัจจุบัน YDM Thailand เป็นกลุ่มบริษัท Marketing Group ครอบคลุมการให้บริการทั้ง “ออฟไลน์และออนไลน์” ปีที่ผ่านมาทำรายได้ 565 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 850 ล้านบาท เติบโต 50% และพร้อมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2564