JKN วางเป้าผู้นำคอนเทนต์ “อาเซียน” เร่งเครื่องส่งออกละครช่อง 3 “โค-โปรดักชั่น” ซีรีส์ต่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลง “มีเดีย แลนด์สเคป” สู่ยุคดิจิทัล ทำให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ เข้ามาเป็น “ตัวเลือก” ในการเสพสื่อของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใด ล้วนต้องการ “คอนเทนต์” เพื่อดึงดูดผู้ชม นโยบายของ JKN จึงชัดเจนมาตั้งแต่ต้น โฟกัสที่ธุรกิจจัดจำหน่ายและผลิตคอนเทนต์ป้อนทุกแฟลตฟอร์ม

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล กล่าวว่า การธุรกิจของ JKN มุ่งไปที่การเป็นผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์และการทำตลาดคอนเทนต์ที่เหมาะกับผู้ซื้อในแต่ละประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของแพลตฟอร์มในยุคนี้

ปี 2020 JKN วางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำคอนเทนต์อาเซียน นอกจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายซีรีส์อินเดีย ฟิลิปปินส์ สารคดี การ์ตูน ซีรีส์ฮอลลีวู้ดแล้ว จะมีการลงทุนผลิตคอนเทนต์รูปแบบ “โค-โปรดักชั่น” กับต่างประเทศเพิ่มขึ้น

โปรเจกต์ที่ลงทุนไปแล้ว คือ “สยามรามเกียรติ์” ซีรีส์พันล้านเรื่องแรกของไทย ที่ JKN จับมือกับผู้สร้างสีดาราม ศึกรักมหาลงกา และศิวะมหาเทพ จากอินเดีย วางแผนผลิตซีรีส์ขายลิขสิทธิ์ทั่วโลก โดยมีดาราไทย-อินเดียร่วมแสดง ปีหน้าจะมีโปรเจกต์ผลิตซีรีส์ 30 – 40 ตอน ร่วมกับผู้ผลิตคอนเทนต์จากฟิลิปปินส์

นอกจากนี้จะเร่งขยายตลาดขายลิขสิทธิ์ละคร “ช่อง 3” ซึ่ง JKN ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายทั่วโลก (ยกเว้น จีน และบางประเทศในอาเซียนที่ ช่อง 3 ทำตลาดอยู่ก่อนแล้ว) ปัจจุบันมีละครกว่า 130 เรื่อง ตลาดหลักอยู่ใน อาเซียน ล่าสุดเพิ่งขายลิขสิทธิ์ให้สถานีทีวีและเคเบิลทีวีในเกาหลีใต้ 8 เรื่อง กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับสถานีทีวี ญี่ปุ่น ประเทศในฝั่งตะวันตกก็ให้ความสนใจละครไทยเช่นกัน และมีโอกาสขายลิขสิทธิ์ได้หลายตลาด

ปัจจุบันละครไทยเริ่มได้รับความนิยมในตลาดเอเชีย ดารานักแสดงเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนคลับ การทำตลาดในแต่ละประเทศ JKN จึงใช้กลยุทธ์ “ซูเปอร์สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง” นำดาราศิลปินจากช่อง 3 ไปโรดโชว์ทำกิจกรรมในต่างประเทศ เพื่อร่วมกันทำตลาดละครให้เป็นที่รู้จัก

รุกตลาด OTT

ส่วนการจำหน่ายลิขสิทธ์คอนเทนต์ซีรีส์อินเดียและฟิลิปปินส์ ในประเทศไทย หลังจาก “ทีวีดิจิทัล” คืนใบอนุญาต 7 ช่อง เหลือ 15 ช่องทีวีธุรกิจ ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าที่ซื้อคอนเทนต์จาก JKN โดยช่องที่เป็นลูกค้าและคืนใบอนุญาตมี 1 ช่อง คือ ไบรท์ทีวี

แต่ตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงคือแพลตฟอร์ม OTT ที่ผ่านมาได้จำหน่ายลิขสิทธิ์เป็นเรื่องๆ ให้กับหลายแพลตฟอร์ม ปลายปีนี้ถึงปีหน้าจะมีลูกค้า OTT ในกลุ่มผู้ให้บริการแอป วิดีโอ ออนดีมานด์ เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์อีก 3 ราย รวมทั้งจะเปิดช่อง JKN Official Channel ทางไลน์ทีวี

ปกติแต่ละปีจะเงินลงทุนซื้อคอนเทนต์ใหม่และผลิตคอนเทนต์อยู่ที่ราว 800 – 1,000 ล้านบาท สัดส่วน 80% เป็นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศ และ 20% เป็นงบผลิตคอนเทนต์และโค-โปรดักชั่น

JKN-CNBC ป้อน 7 ช่องทีวีดิจิทัล

ส่วนแผนการผลิตคอนเทนต์รายการข่าวแบรนด์ JKN-CNBC ปัจจุบันผลิตให้กับทีวีดิจิทัล 5 ช่อง ที่ออกอากาศไปแล้วคือ ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ส่วนที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไปทาง ช่องอมรินทร์ทีวี รายการ JKN-CNBC Around The World ออกอากาศทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 05.30 – 06.00 น. ช่อง 5 รายการ HALFTIME REPORT ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30 – 12.00 น.

รายการที่กำลังรอการออกอากาศ ได้แก่ The CNBC Conversation ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.30 – 21.30 น. ช่อง TNN ดำเนินรายการโดย สุทธิชัย หยุ่น เริ่มเทปแรกวันที่ 22 ก.ย. นี้ และอีกรายการ คือ Managing Thailand กำลังเตรียมออกอากาศทางช่อง TNN เช่นกัน นอกจากนี้เตรียมทำรายการทางช่อง True4U อีก 1 ช่องในปีนี้ และปีหน้าเตรียมผลิตเพิ่มอีก 2 ช่อง

ปีที่ผ่านมา JKN มีรายได้ 1,400 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 1,600 ล้านบาท เติบโต 15 – 20% ทุกปีและปี 2563 ยังคงเติบโตในอัตราดังกล่าว โดยรายได้มาทำตลาดขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในประเทศ 60 – 65% ส่งออกคอนเทนต์ 30 – 35% และรายได้โฆษณา 5 – 10%

ลงทุนอสังหาฯ-สินค้าเฮลท์แอนด์บิวตี้

นอกจากธุรกิจบริษัท เจเคเอ็น โกลบอลมีเดีย (มหาชน) ซึ่งอยู่ในตลาด MAI แล้ว ครอบครัวจักราจุฑาธิบดิ์ ได้มีการลงทุนธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ ภายใต้บริษัท “เจเคเอ็น แลนด์มาร์ค” พัฒนาโครงการ The River King รูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ มูลค่าลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เนื้อที่ 15 ไร่ ติดกับอาคารสำนักงานเจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย ศาลายา ในโครงการจะมีสตูดิโอเช่าผลิตรายการ แหล่งบันเทิง และร้านอาหารกว่า 10 ร้านเปิด 24 ชั่วโมง เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว

จักรพงษ์ บอกว่าปีนี้ได้ลงทุนส่วนตัวในบริษัท เจเคเอ็น ลิฟวิ่ง เน็ตเวิร์ค” ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเฮลท์แอนด์บิวตี้ ผ่านทีวีช้อปปิ้ง โดยมีผู้ประกอบการ 15 รายที่ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายร่วมกับ “เจเคเอ็น ลิฟวิ่ง เน็ตเวิร์ค” เริ่มทำตลาดไตรมาส 4 ปีนี้ และไตรมาสแรกปีหน้า จะเปิดตัวโปรดักต์ของตนเองในชื่อแบรนด์ Instinct” เริ่มที่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ บอดี้โลชั่นและน้ำหอม.