คุยกับ “เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์” จากนักลงทุนสู่ Disruptor กับความฝันที่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์


ใครที่อยู่ในแวดวงของการลงทุน ต้องรู้จักชื่อ “วิชัย วชิรพงศ์” หรือ “เสี่ยยักษ์” เป็นอย่างดีแน่นอน เพราะเป็นหนึ่งในเซียนหุ้น หรือนักลงทุนชั้นแนวหน้าของเมืองไทย โดยที่ตอนนี้มาพร้อมกับอีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือการเป็นประธานกรรมการบริหาร ของบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ที่กำลังอยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทาง Positioning Online ได้มีโอกาสพูดคุยกับเสี่ยยักษ์แบบ Exclusive ถึงแนวคิดการลงทุนของเสี่ยยักษ์ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบันที่เป็น “ผู้บริหาร” ของสบาย เทคโนโลยี

เงินล้านแรกหายาก แต่ล้านต่อๆ ไปยิ่งง่าย

“เงินล้านแรกหายากมากล้านที่ 2 เริ่มหาง่ายล้านที่ 4 ง่ายกว่าอีกล้านที่ 8 ยิ่งง่ายขึ้นไปใหญ่ไปจนถึง 1,000-2,000 ล้าน จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก” เสี่ยยักษ์เริ่มเปิดบทสนทนาเหมือนเป็นปริศนาธรรม

จากนั้นเสี่ยยักษ์เริ่มเล่าถึงชีวิตในการหาเงิน “ล้านแรก” ที่ได้มาลำบากยากเข็ญ ใช้เวลากว่า 10 ปีถึงจะเก็บเงินได้ 1 ล้านแรกเป็นของตัวเอง แต่เมื่อมีล้านแรกแล้ว ล้านต่อๆ ไปก็เริ่มง่าย

“เงินล้านแรกใช้เวลา 10 กว่าปีในการสะสมเป็นช่วงที่ทำงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นพนักงานบริษัททั่วไปได้เงินเดือน 2,700 บาทตอนทำงาน 20 กว่าวันก็รู้ว่าไม่ใช่ทางของตัวเองจึงลาออกมาแบบไม่รับเงินเดือนซึ่งตอนนั้นก็ตั้งคำถามถามในใจว่า ถ้าทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะมีรถเก๋งขับ”

หลังจากออกจากงานเสี่ยยักษ์ได้กลับมากลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวที่เปิดโรงงานทำเส้นบะหมี่

เสี่ยยักษ์เริ่มเล่าถึงการได้ล้านที่ 2 บอกว่าง่ายกว่าล้านแรก เพราะพ่อให้เป็นสินสมรส จากนั้นก็ได้แต่งงานมีครอบครัว ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และได้เริ่มเส้นทางการลงทุน

 

“ช่วง 10 ปีที่ได้ล้านแรกมา ถือเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ต้องลองชิมความสำเร็จสักครั้งก่อนว่ามันไม่ได้ยากอะไร พอเริ่มลงทุนครั้งแรกก็ขาดทุน แต่ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ได้ สุดท้ายแล้วจะพบว่าถ้าเวลามีปัญหาให้แหงนหน้ามองฟ้า แล้วบอกว่าแน่จริงก็ส่งปัญหาลงมาอีก ต้องลองทำอะไรยากๆ สักครั้งแล้วจะไม่กลัวปัญหาอะไร แล้วจะภูมิใจในความสำเร็จนั้นๆ”

เริ่มศึกษาเรื่องการลงทุน เพราะชอบงานยากๆ

เสี่ยยักษ์บอกว่าก่อนหน้าที่จะมาถึงจุดนี้ได้เคยทำมาเป็น 10 อาชีพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงกุ้งกุลาดำผู้รับเหมาซื้อขายที่ดินและประมูลงานราชการ จุดเริ่มต้นที่หันมาลงทุน เริ่มจากศึกษาการลงทุนก่อน เพราะชอบทำงานที่ยากๆ งานที่ท้าทาย เสี่ยยักษ์บอกว่า หลายคนจะมองว่า “ล้านแรกกลัวหมดมากกว่ากลัวรวย” จึงไม่กล้าลงทุน แต่เสี่ยยักษ์ขอลองอะไรยากๆ ด้วยการลงทุน

“ก่อนหน้านี้ไม่มีพื้นฐานการลงทุนเลย จุดเริ่มต้นที่สนใจเรื่องการลงทุน สมัยก่อนไม่มีหนังสือพิมพ์ธุรกิจใดๆ จะมีแต่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์มีคอลัมน์เล็กๆ ที่บอกว่าหุ้นขึ้นเท่าไหร่ ปริมาณขายเท่าไหร่ เป็นตัวจุดประกายว่าโลกนี้มีแบบนี้ด้วยหรอ อยากทำงานสบายแต่มีชั้นเชิง จึงไปซื้อหนังสือมากองหนึ่ง เช่น หลักการลงทุน จิตวิทยาการลงทุน ได้ศึกษาไว้ก่อน”

หลังจากที่ศึกษาเรื่องการลงทุนได้ 3 ปี เสี่ยยักษ์ได้เริ่มลงทุนเป็นครั้งแรก ตอนนั้นใช้หลักการที่ว่า “ต้องให้หุ้นเกิดวิกฤตแล้วค่อยเข้ามาลงทุน” พอดีกับช่วงนั้นในปี 2530 เป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ Black Monday พอดี เงินก้อนแรกจำนวน 2.5 ล้านบาท ก็ได้นำไปลงทุนหลังจากหุ้นลง แต่จากที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ทำให้ขาดทุนไป 5 แสนบาท

หลังจากขาดทุนครั้งใหญ่ทำให้เสี่ยยักษ์ได้กลับมาตั้งหลัก แต่ก็คิดที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ และทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตอนแรกเสี่ยยักษ์เหมือนจะยอมแพ้แล้วหันหลังให้กับความล้มเหลวครั้งนี้ แต่ก็ได้ลองแฟงนมองฟ้า พร้อมกับบอกว่าแน่จริงส่งปัญหาลงมาอีก ทำให้เสี่ยยักษ์กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง และก็ได้พัฒนาจากเงิน 2.5 ล้านไปสู่ระดับพันล้านในที่สุด

ต้องตั้งเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา

กว่าจะก้าวมาเป็นนักลงทุนระดับแนวหน้าของประเทศ ไม่ใช่ใครจะก้าวขึ้นมา และประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ต้องแลกมาด้วยความอดทน ความขยัน ความเก่ง และ Passion ต่อสิ่งนั้น รวมทั้งความไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา สิ่งหนึ่งที่ทำให้เสี่ยยักษ์ประสบความสำเร็จ และก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้นคือ “เป้าหมาย” เสี่ยยักษ์บอกว่า “ผมเป็นคนตั้งเป้าหมายตลอดเวลา แล้วต้องทำให้ทำเร็ว ต้องทำให้ได้”

“ผมตั้งเป้าหมายให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น จะมีรถเบนซ์คันแรกต้องมีเงินสด 100 ล้าน แล้วก็บอกกับภรรยาว่าจะทำให้ได้ จนผมมีเงินสด 300 ล้านแล้วซื้อรถเบนซ์ S-Class จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายอีกว่าถ้ามี 600 ล้านจะซื้อรถเฟอรารี่ F430 ไม่กี่ปีก็ทำได้สำเร็จ ตั้งเป้าให้ตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ผมขับรถ Rolls-Royce”ถ้าถามว่าเป้าหมายในปัจจุบันของเสี่ยยักษ์คืออะไร ซึ่งมีด้วยกัน 2 อย่าง นั่นคือการใช้ชีวิตแบบธรรมดา มีความสุข และการไปสั่นกระดิ่งในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้!

พาสบาย เทคโนโลยี เข้าสั่นกระดิ่งในตลาดฯ

อีกหนึ่งบทบาทของเสี่ยยักษ์นอกจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น คือการเป็น Venture Capital เข้าลงทุนร่วมหุ้นในบริษัทนอกตลาด เพื่อนำบริษัทให้เข้าเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป ได้ลงทุน 3 บริษัทมาแล้ว บริษัทที่สำคัญที่สุดก็คือ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)

บริษัทสบายเทคโนโลยีจำกัด (มหาชน)มีบริษัทย่อยทั้งหมด 3 บริษัทคือ บริษัท เวนดิ้ง พลัส จำกัด, บริษัท สบาย ซิสเต็มส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท สบายมันนี่ จำกัด ประกอบธุรกิจ 4 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจตู้เติมเงินอัตโนมัติ “เติมสบายพลัส”

2. กลุ่มธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ “เวนดิ้งพลัส”

3. กลุ่มธุรกิจระบบศูนย์อาหาร “SSM”

4. กลุ่มธุรกิจให้บริการการชำระเงิน “สบาย มันนี่”

 

เสี่ยยักษ์ได้เริ่มเข้าลงทุนในสบายเทคโนโลยี ตั้งแต่เมื่อกันยายน 2558มองว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตได้ดี เริ่มต้นจากพนักงานเพียงแค่ 10 กว่าคน ใช้เวลาแค่ 3 ปีตอนนี้มีพนักงาน 500 กว่าคน เสี่ยยักษ์บอกว่าบทบาทครั้งนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เป็นแค่นักลงทุน แต่สำหรับสบาย เทคโนโลยี วันนี้เสี่ยยักษ์เป็นทั้งผู้ถือหุ้น ประธานกรรมการบริหาร และคนปฏิบัติงาน คอยช่วยวางแผนกำหนดกลยุทธ์ด้วย สบาย เทคโนโลยี เพราะก่อนหน้านี้เคยมีบทเรียนว่าลงเงินอย่างเดียว แล้วไม่ใช่บอร์ดบริหาร เมื่อถึงวิกฤตการเงินก็มีปัญหาเกิดขึ้น

“30 ปีที่ผ่านมาเคยเป็นนักลงทุนอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้ได้ลงมาช่วยดูช่วยกำหนดกลยุทธ์ ช่วยวางแผนธุรกิจภาพใหญ่ ผมใส่ใจบริษัทนี้มากเป็นพิเศษ สบาย เทคโนโลยี คือลูก ที่ต้องใช้ความทุ่มเท เอาใจใส่และมุ่งหวังที่จะเห็นความเติบโตต่อไปความใฝ่ฝันคืออยากไปสั่นกระดิ่งในตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่เปิดตลาดฯ อยากทำให้ดีที่สุดเพราะวันนี้ไม่ได้เพื่อตัวเองแล้วแต่อยากให้เป็นความสำเร็จของลูกหลานต่อไป”

พร้อมกับทิ้งท้ายถึงทุกๆ คนว่า “สิ่งที่คุณทำทุกวันนี้มันคู่ควรกับความฝันของคุณแล้วหรือยัง” เพราะตอนนี้ความฝันของเสี่ยยักษ์ใกล้เป็นจริงแล้ว เป็นรางวัลของคนช่างฝันที่มีเป้าหมายให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วต้องทำให้สำเร็จ