ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2562 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,214 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 40% และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 27%   ทั้งนี้บริษัทคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี ส่งผลให้ในไตรมาสสามนี้ บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ที่ 239 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 60% และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 38%   ในส่วนของยอดรับรู้รายได้ในช่วงของ 9 เดือนแรกปี 2562 นี้ อยู่ที่ 3,393 ล้านบาท กำไรสุทธิ 642 ล้านบาท ขยายตัว 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้  ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำผลงานในปีนี้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2562 นี้ เป็นปีที่ท้าทายการดำเนินการธุรกิจ มีความเสี่ยงเข้ามากระทบหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงไม่คลี่คลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงต่างๆ จากกลุ่มยูโรโซน ในแง่ของเศรษฐกิจไทย เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน  ตัวเลขการส่งออก 9 เดือนแรก หดตัวราว 2%  ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนมีการชะลอตัว ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ตลาดโดยรวมมีการหดตัวลงเช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 3,393 ล้านบาท ซึ่งยังคงเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน12% และเชื่อมั่นว่าภาพรวมของทั้งปีนี้จะสามารถทำผลงานขยายตัวได้ดีกว่าภาพรวมของตลาด และเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
ทั้งนี้บริษัทยังคงรักษามาตรฐานการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง  โดยในช่วง 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.1% ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) อยู่ที่ 11.3% ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ส่งผลให้ใน 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 642 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการขยายตัวที่ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,600 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ขายหมดและใกล้ปิดโครงการ  ตลอดจนเปิดเพื่อขยายธุรกิจในทำเลใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนให้บริษัทมีการขยายตัวที่มั่นคง  ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างมาก แต่บริษัทยังคงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.83 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า