Facebook แสดงความรับผิดชอบ ยอมปรับนโยบายซื้อสื่อ “โฆษณาการเมือง” บนแพลตฟอร์ม

  • Facebook ปรับจำนวนเป้าหมายขั้นต่ำจาก 100 คนเป็นหลักพันคน สำหรับโฆษณาทางการเมือง
  • ผลพวงจากกรณี Cambridge Analytica ซึ่งใช้ดาต้าและเทคนิคโฆษณาวงแคบส่ง “ข่าวปลอม” ให้ผู้มีสิทธิโหวต
  • Google จำกัดการซื้อสื่อโฆษณาในทำนองเดียวกัน ส่วน Twitter แบนโฆษณาการเมืองโดยสิ้นเชิง

Facebook ประกาศแผนกำกับควบคุมไม่ให้มีการโฆษณาทางการเมืองไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่จำกัดวงแคบจนเกินไป โดยแต่เดิมนั้นโฆษณาทางการเมืองสามารถเจาะกลุ่มลงไปได้ลึกถึงระดับเล็กสุดที่ 100 คน ปัจจุบัน โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่รายนี้จะขยายจำนวนเป้าหมายการ “ยิงโฆษณา” ขั้นต่ำที่หลักพันคน และไม่สามารถเจาะเป้าหมายจากดาต้า “ความสนใจ” ของผู้ใช้ ซึ่งบริษัทเก็บข้อมูลจากประวัติการค้นหาและการอ่านเรื่องราวต่างๆ บนแพลตฟอร์มของผู้ใช้รายนั้นๆ

การปรับนโยบายของ Facebook ครั้งนี้เป็นการตอบสนองของบริษัทหลังถูกสอบสวนหนักในสหรัฐอเมริกา จากกรณีที่บริษัทที่ปรึกษา Cambridge Analytica นำดาต้าผู้ใช้ของ Facebook ไปออกแบบโฆษณาทางการเมืองแยกย่อยเพื่อซื้อสื่อเจาะกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ ในระดับ “Microtarget” และโฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดเช่นนี้มักจะมีการระบุข้อมูลปลอมหรือบิดเบือนมากกว่าแคมเปญโฆษณาที่กระจายในวงกว้าง ดังนั้น การปรับระบบให้ไม่สามารถยิงโฆษณาในวงที่แคบจนเกินไปคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

สำนักข่าว Wall Street Journal ยังรายงานข้อมูลจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ซื้อสื่อโฆษณาด้วยว่า ระบบ Microtarget ที่ Facebook มีมักจะถูกใช้ในสหรัฐฯ เพื่อส่งโฆษณาเจาะกลุ่มชาติพันธุ์ สีผิว ไปจนถึงเจาะกลุ่มอาชีพ เช่น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมาย และใช้ในระดับการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย

Mark Zuckerberg ขึ้นให้การต่อสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา กรณี Cambridge Analytica นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ไปใช้ประโยชน์ในโฆษณาทางการเมือง (photo: MARTINEZ MONSIVAIS / wired.com)

ไม่เฉพาะ Facebook ที่ต้องปรับตัว ก่อนหน้านี้ Google เพิ่งประกาศแผนทำนองเดียวกันเพื่อจำกัดไม่ให้โฆษณาทางการเมืองสามารถเจาะกลุ่มผู้คนที่แคบเกินไปได้ โดยหลังจากนี้ แคมเปญโฆษณาการเมืองจะใช้เครื่องมือเจาะกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเรื่องอายุ, เพศ และโลเคชันโดยกว้าง

รวมถึง Twitter ซึ่งประกาศแบนการซื้อโฆษณาทางการเมืองบนแพลตฟอร์มนี้โดยสิ้นเชิง เริ่มต้นบังคับใช้วันที่ 22 พฤศจิกายน 2019 โดยโฆษณาที่จะถือว่าเกี่ยวข้องได้แก่ โฆษณาตัวบุคคลผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง และโฆษณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายหรือประเด็นระดับชาติ เช่น ระบบสาธารณสุข ภาษี สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โฆษณาเพื่อรณรงค์มาใช้สิทธิเลือกตั้งจะยังสามารถซื้อสื่อใน Twitter ได้

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนนโยบายเข้มงวดกับการซื้อสื่อโฆษณาของพรรคการเมืองมากขึ้น แต่ Borrell Associates Inc. บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐฯ เชื่อว่าเม็ดเงินโฆษณาทางการเมืองผ่านสื่อดิจิทัลจะยังเพิ่มสูงขึ้น จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 มีการซื้อสื่อดิจิทัลมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 ที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้ง คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ

Source: The Guardian, Wall Street Journal, Techcrunch