เปิดสถิติ “Black Friday” ชาวอเมริกันเลือกช้อปออนไลน์มากกว่าสโตร์ สะพัด 7,000 ล้านดอลลาร์

เทศกาลช้อปปิ้ง Black Friday ของสหรัฐฯ ในปีนี้พบว่า นักจับจ่ายชาวอเมริกันเลือกที่จะใช้เงินกับการซื้อสินค้าที่มีราคาลดสูงสุดประจำปีผ่านทางออนไลน์มากกว่าที่จะเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปรอต่อคิวเข้าแถวซื้อตามร้าน ส่งผลทำให้เงินสะพัดทางออนไลน์พุ่งกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์

รอยเตอร์รายงานว่า ถือเป็นปีแรกในรอบไม่กี่ปีมานี้ที่ประชาชนต่างออกไปจับจ่ายเทศกาลแบล็กฟรายเดย์เร็วขึ้นเนื่องมาจากบรรดาห้างร้านยักษ์ใหญ่ เป็นต้นว่า วอลมาร์ท ต่างพากันเปิดประตูให้ขาช้อปแห่เข้าห้างเพื่อจับจ่ายเร็วขึ้น โดยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งยังถือเป็นวันขอบคุณพระเจ้ากันเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ชี้ว่า ไม่จำเป็นอีกต่อไปที่บรรดาขาช้อปต้องอดหลับอดนอรอปักเต็นท์เข้าคิวเพื่อได้โอกาสซื้อสิ้นค้าในราคาเปิดประตู เพราะมีทางเลือกสามารถจับจ่ายผ่านทางออนไลน์ในราคาลดจุใจได้

ในช่วงเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ในปีนี้ที่จะยังคงลากยาวตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ต่อไปถึงวันไซเบอร์มันเดย์ (Cyber Monday)ในวันที่ 2 ธันวาคม พบว่า การจับจ่ายในเทศกาลแบล็กฟรายเดย์มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 19.6% หรือ 17,400 ล้านดอลลาร์สำหรับวันที่ 29 พฤศจิกายน ห่างจากจำนวน 736 พันล้านดอลลาร์ไปเล็กน้อย อ้างอิงตัวเลขจาก Adobe Analytics ที่ได้ติดตามธุรกรรมการเงินของธุรกิจค้าปลีกอมริกัน 80 จากทั้งหมด 100 แห่งของจากลิสต์

สำหรับเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า พบว่ามีการประมาณการตัวเลขการขายเพิ่มขึ้น 14.5% มาอยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจำนวนนักช้อปที่เดินเข้ามาซื้อภายในร้านรวมกันทั้งวันขอบคุณพระเจ้าและวันแบล็กฟรายเดย์ พบว่าตกลงไป 3% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2018 อ้างอิงตัวเลขจาก Sensormatic Solutions

และจำนวนนักช้อปช่วงค่ำวันขอบคุณพระเจ้า พบว่าเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีต่อปีแต่ถูกทำให้ลดลงเนื่องด้วยเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ที่ตกลงไป 6.2% จากปีก่อน

ไบรอัน ฟิลด์ (Brian Field) ผู้อำนวยการอาวุโสประจำ ShopperTrak ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการค้าปลีกทั่วโลกได้แสดงความเห็นว่า ลักษณะการเดินทางไปต่อคิวเข้าแถวเพื่อรอเวลาการเปิดประตูสำหรับเข้าซื้อสินค้าวันแบล็กฟรายเดย์เหมือนแต่เดิมมานั้น นอกจากที่จะมีคู่แข่งจากการจับจ่ายทางออนไลน์แล้ว พบว่าในปัจจุบันนี้ ยังมีข้อเสนอมาล่อใจขาช้อปที่ว่า สั่งซื้ออนไลน์แต่สามารถไปรับสินค้าที่ร้านได้อีกด้วย ทำให้ดูเหมือนตัวเลขผู้ที่เข้ามาจับจ่ายสินค้าภายในร้านในวันแบล็กฟรายเดย์ดูตกลงไป

เขากล่าวต่อว่า ความสำคัญในเวลานี้คือ นักช้อปต้องทำการจับจ่ายจริงและยังคงซื่อสัตย์อยู่กับแบรนด์มากกว่าว่า การซื้อของจะเกิดขึ้นที่ไหน

ข้อมูลเบื้องต้นออกมาจากบริษัทวิเคราะห์ RetailNext แสดงให้เห็นว่า การจับจ่ายที่ร้านค้าซึ่งมีที่ตั้งในวันแบล็กฟรายเดย์ตกลงไป 1.6% แต่ตัวเลขการจับจ่ายที่แท้จริงยังไม่สามารถระบุได้ในเวลานี้

สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ (The National Retail Federation) ได้คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของ 2 เดือนสุดท้ายประจำปี 2019 จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.8% – 4.2% จากปีก่อนหน้า สำหรับทั้งหมดของ 727,900 ล้านดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 730,700 ล้านดอลลาร์ เปรียบเทียบกับตัวเลขการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประจำปี 3.7% ตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

Source