BAM มั่นใจหลังเข้าตลาดฯ ศักยภาพการแข่งขันเพิ่มขึ้น ตอบสนองภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ยืนยันถึงความพร้อมในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยนักลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 20 ปี ได้รับการตอบรับดีเยี่ยมจากประชาชนและนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยได้กำหนดราคาขายสุดท้ายที่ 17.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดจากช่วงราคาเสนอขายที่ 15.50-17.50 บาท ผู้บริหารเตรียมยกทีมเดินหน้านำหุ้นเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก หรือ 1st Trading Day ในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมนี้

นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความมั่นใจในการระดมทุนผ่านหุ้น BAM ในครั้งนี้ว่า การเข้าจดทะเบียนพร้อมทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (1st Trading Day) ในวันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ เป็นก้าวแห่งความสำเร็จที่บุคคลากรของ BAM ทุกคนภาคภูมิใจ เพราะจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานให้เทียบเท่าบริษัทเอกชน เพิ่มแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต และลดภาระหนี้ของบริษัทฯ ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน”

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นโอกาสสำหรับประชาชนและนักลงทุนที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีเครือข่ายสาขาและสำนักงานมากที่สุดครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค พร้อมศักยภาพในการสร้างโอกาสในทุกภาวะเศรษฐกิจ และการเติบโตจาก NPLs และ NPAs ในระบบธนาคารที่เติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับผลการดําเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2562 BAM มีรายได้รวม 9,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4% จากงวดเดียวกันของปี 2561 และมีกำไรสุทธิ 4,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5 % จากงวดเดียวกันของปี 2561 

นางทองอุไร กล่าวถึงความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนของ BAM ว่า “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ BAM เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานให้เทียบเท่าบริษัทเอกชน ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตอบสนองต่อสถานการณ์และสภาพแวดล้อมธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการศึกษาถึงผลกระทบทางภาษี และมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ (TFRS 9) และได้เตรียมความพร้อมในการรับมือถึงปัจจัยดังกล่าว โดยยังมั่นใจถึงผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้จากกระแสเงินสดของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและมั่นคง เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ BAM ยังคงเป็นกลไกที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการแก้ปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และทรัพย์สินรอการขายจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อช่วยสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้กลับมาเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดย  นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ จนถึง 30 กันยายน 2562  BAM สามารถปิดบัญชีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ NPLs ซึ่งคำนวณจากมูลค่าต้นทุนการซื้อไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 90,000 ล้านบาท” นางทองอุไรกล่าว

นักลงทุนที่สนใจ โปรดติดตามการเข้าจดทะเบียนพร้อมทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (1st Trading Day) ในวันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนในการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทที่เว็ปไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต ที่ www.sec.or.th  และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.bam.co.th  และที่  www.set.or.th หรือติดต่อโทรศัพท์หมายเลข 02 630 0700

โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

หมายเหตุ :

“เอกสารฉบับนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศอื่น โดยหลักทรัพย์ดังกล่าวจะไม่ถูกเสนอขายหรือขายในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยปราศจากการจดทะเบียนหรือการได้รับยกเว้นการจดทะเบียน ทั้งนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทฯ มิได้ประสงค์จะจดทะเบียนการเสนอขายครั้งนี้ หรือเสนอขายหลักทรัพย์ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดแก่ประชาชนเป็นการทั่วไปในประเทศสหรัฐอเมริกา การเสนอขายหลักทรัพย์ใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำได้ผ่านหนังสือชี้ชวน (prospectus) ที่อาจขอได้รับจากบริษัทฯ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯ ผู้บริหาร และงบการเงินของบริษัทฯ

เอกสารฉบับนี้จะต้องไม่ถูกนำไปใช้อ้างอิงเพื่อการจัดทำบทความเพื่อเผยแพร่ในประเทศสหรัฐอเมริกาการเผยแพร่เอกสารฉบับนี้อาจถือเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในบางประเทศ ห้ามมิให้เผยแพร่เอกสารนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย หรือประเทศญี่ปุ่น ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย หรือประเทศญี่ปุ่น”