หุ้นไทยปิดกระดานซื้อขายสิ้นปี 62 บวกจากปีก่อนแค่ 1.02% มูลค่า 2.9 หมื่นล้าน

หุ้นไทย ปิดตลาดซื้อขายวันสุดท้ายปี 2562 ปิดที่ระดับ 1,579.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.62 จุด (+0.10%) มูลค่าการซื้อขาย 29,564.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนแค่ 1.02% จากระดับปิด 1,563.88 จุดเมื่อสิ้นปี 2561

นักวิเคราะห์ฯ คาดแม้จะมีแรงซื้อจาก LTF และ RMF เข้ามาบ้างแต่ไม่มีนัยยะสำคัญ เพราะวอลุ่มการซื้อขายค่อนข้างเบาบางในช่วงเข้าสู่วันหยุดเทศกาลปีใหม่

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์วันสุดท้ายของปี 2562 ที่ 1,579.84 จุด หรือคิดเป็น 1.02% หากเทียบกับดัชนีปิดตลาดซื้อขายหุ้นเมื่อปี 2561 ที่ 1,563.88 จุด โดยในปีนี้ดัชนี ปรับตัวขึ้นสูงสุดเมื่อวันที่ 01 ก.ค. โดยขึ้นไปอยู่ที่ 1,740.91 จุด ขณะที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2562 ลงไปอยู่ที่ 1,548.65 จุด

ด้านบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้าซื้อขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO โดยแบ่งเป็นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET จำนวน 13 บริษัท มูลค่าระดมทุน 68,712.57 ล้านบาท และ มูลค่าหลักทรัพย์กว่า 344,269.49 ล้านบาท

ขณะที่ในตลาดหุ้น mai บริษัทจดทะเบียนใหม่เข้าซื้อขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO จำนวน 17 บริษัท มูลค่าระดมทุน 4,981.30 ล้านบาท และ มูลค่าหลักทรัพย์กว่า 18,590.72 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมการซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุน ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 30 ธ.ค. 2562 กลับพบว่าสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิกว่า 52,006.73 ล้านบาท และ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิกว่า 14,873.14 ล้านบาท ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างประเทศกลับขายสุทธิกว่า -45,244.85 ล้านบาท และ นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิกว่า -21,635.02 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 640 หลักทรัพย์ ลดลง 661 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 550 หลักทรัพย์

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

  • CPALL ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 2.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,013.37 ล้านบาท
  • BBL ปิดที่ 160.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,635.97 ล้านบาท
  • PTT ปิดที่ 44.00 บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,494.06 ล้านบาท
  • SCB ปิดที่ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 964.14 ล้านบาท
  • GPSC ปิดที่ 85.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 897.05 ล้านบาท

สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนปี 2563 อาจจะยังต้องเผชิญความเสี่ยงเชิงนโยบายของไทย หรือ policy risk อยู่ แต่อาจทยอยปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ LTV ที่คาดว่าจะผ่อนคลายลง หลังประกาศใช้ครบ 1 ปีในเดือน เม.ย. ขณะเดียวกันมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ จะมีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับกำไร บริษัทจดทะเบียนปี 2562 มองว่ามีความเสี่ยงเติบโตได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ โดยคาดว่า EPS ปี 2562 จะอยู่ที่ 93.00 บาท/หุ้นเท่านั้น จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 110.00 บาท/หุ้น โดยมีสาเหตุมาจากสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อกำไรของกลุ่ม global play เช่น ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น กลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากภาวะการก่อตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการที่ผู้รับเหมาก่อสร้างในต่างประเทศเข้ามาแข่งขันมากขึ้น

นอกจากนี้แนวโน้มกำไร บจ. ปี 2563 ประเมินว่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2562 โดยคาดว่า EPS จะอยู่ที่ 103.60 บาท/หุ้น เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของเศรษฐกิจโลก เช่น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นยืนเหนือ 60 เหรียญ/บาร์เรล และ การจ้างงานของสหรัฐที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรของหุ้นในกลุ่ม global play

ขณะที่นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ยังแกว่งตัวในแดนบวก โดยเฉพาะการซื้อขายในภาคบ่าย ซึ่งมองว่าอาจจะยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามา แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่ามีนัยสำคัญ เพราะมูลค่าการซื้อขายในวันนี้ค่อนข้างเบาบาง จากการที่เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ซึ่งนักลงทุนต่างหยุดพักกันลงทุนไปมากแล้ว ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก

ทั้งนี้ประเมินตลาดหุ้นไทยในช่วงเปิดทำการหลังเทศกาลปีใหม่ มองว่าดัชนีเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว และการซื้อขายยังไม่คึกคักมากนักในช่วง 2 วันที่เปิดทำการหลังเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตามมองว่ายังมีปัจจัยหนุนจากทิศทางของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจะช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และคาดการณ์การลงนามข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเฟสแรก ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงเดือน ม.ค.ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้งติดตามการทยอยประกาศผลการดำเนินงานปี 62 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มทยอยออกมาบ้าง

Source