เปิดเทรนด์ความงาม 2020 สาวไทย “ไม่ทำสวยเพื่อแฟน แต่อยากดูดีในโซเชียล”

ภาพรวมตลาด ‘หัตถการความงาม’ หรือธุรกิจความงามที่ไม่ต้องผ่าตัดของไทยในปี 2019 มีมูลค่าตลาดแตะ 5,200 ล้านบาท เติบโตประมาณ 9-10% ต่อเนื่องตลอดทุกปี สะท้อนให้เห็นว่า ความสวยความงามกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็สามารถเจียดเงินเพื่อทำสวยได้

เภสัชกรหญิงกิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ไทยแลนด์

“ในทุก ๆ เลเวลก็มีความต้องการ ทั้งคนฐานะปานกลางหรือรวย แต่ในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ เขาก็ไม่ใช่ใช้เงินไม่คิด แต่มีความวิเคราะห์ในการใช้เงินมากขึ้น ไม่ได้แปลว่าไม่ทำ แต่อาจจะดูส่วนลดต่าง ๆ อีกทั้งยังหาข้อมูลประกอบให้มากสุด เพราะต้องการความปลอดภัย” เภสัชกรหญิงกิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ไทยแลนด์ กล่าว

ตลาดหัตถการความงามเริ่มบูมเมื่อ 15 ปีก่อน เพราะเทรนด์เกาหลี แต่เทรนด์การเสริมสวยในปัจจุบันไม่ใช่สวยแบบ ‘พิมพ์นิยม’ หรือสวยแบบดารา แต่ผู้หญิงยุคนี้ต้องการสวยในแบบที่เป็น ‘ตัวเอง’ (Individual Beauty) หรือ The best version of me นอกจากนี้ แนวโน้มการทำสวยก็เริ่มเด็กลง อดีตจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 30 เพราะเริ่มเห็นริ้วรอย แต่ปัจจุบันอายุ 18-20 ปีก็เริ่มเข้ามาปรับรูปหน้า เพื่อให้คงความเด็กตลอดไป

“ผู้หญิงไม่ได้ทำสวยเพื่อแฟน แต่ทำสวยเพื่อตัวเอง เพราะอยากดูดีในโซเชียล ทำเพื่อสร้างความมั่นใจ อย่างกลุ่มอายุ 30-45 ปี ทำสวยแล้วมีโอกาสได้งาน ความรัก รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ส่วนกลุ่มอายุ 45-60 ปี ทำสวยแล้วเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง”

จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งลูกค้าเดิมที่ใช้บริการต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีลูกค้าใหม่ที่เด็กลง ส่งผลให้คลินิกความงามมีมากกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ (ไม่นับจำนวนสาขา) ส่วนตลาดหัตถการความงามมีมูลค่า 5,200 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 9-10% และหากแบ่งประเภทหัตถการต่าง ๆ พบว่าเดอร์มัล ฟิลเลอร์ (การฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์) มีการเติบโต 9% โบทูไลนุม ท็อกซิน หรือการฉีดโบท็อกลดเลือนริ้วรอยโต 7% และเครื่องยกกระชับต่าง ๆ (ยกกระชับหน้า V shape X shape) โต 9%

“คอสส่วนใหญ่อยู่ที่ 5,000-15,000 บาท ทำทุก ๆ 4-6 เดือน แต่ เทรนด์คือ สวยให้ครบ ดังนั้นลูกค้าไม่ได้ทำแค่อย่างเดียว แต่ทำทุกอย่างเลยไปคลินิกทุกเดือน อย่างเทรนด์ตอนนี้ คือ การทำให้รูขุมขนเล็ก หน้าใส ไม่ต้องแต่งหน้า พร้อมฉีดฟิลเลอร์ปรับโครงหน้า แต่ตอนนี้ไม่ใช่วีเชป แต่เป็น X เชป คือไม่ใช่แค่หน้าเรียว แต่ทำให้คอดูยาวสูง”

นอกจากนี้ตลาด ผู้ชาย (ไม่ใช่ LGBTQ) ก็เป็นโอกาสใหม่ที่หลายคนมองข้าม โดยภาพรวมทั่วโลกมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นเป็นบลูโอเชียน โดยเฉพาะผู้ชายวัยทำงาน อายุ 30 ปีขึ้นไปเริ่มใช้บริการเพราะอยากดูเด็ก โดยคาดว่าในปี 3-5 ปี กลุ่มผู้ชายที่ใช้บริการจะเริ่มมีอายุน้อยลงเหมือนกลุ่มผู้หญิง

สำหรับ เมิร์ซฯ เป็นผู้ผลิตสินค้าเวชภัณฑ์สัญชาติเยอรมันเบอร์ 3 ของโลก มียอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท โดยได้เข้ามาทำตลาดในไทยแล้วประมาณ 5 ปี โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ เพราะสร้างยอดขายเติบโตเป็นลำดับที่ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากฟิลิปปินส์ เกาหลี ปีที่ผ่านมาเมิร์ซฯ มีรายได้กว่า 500 ล้านบาท เติบโตกว่า 20-25% ต่อปี ปัจจุบันมีพาร์ตเนอร์คลินิกกว่า 900 แห่ง

ทั้งนี้ เมิร์ซฯ ตั้งเป้าทำรายได้ 1,000 ล้านบาทในอีก 3 ปี รวมทั้งชิงส่วนแบ่งตลาดเป็น 20% เพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดสินค้าหัตถการความงาม จากปัจจุบันอยู่ท็อป 5 ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาด 8-9 แบรนด์ จากสหรัฐฯ สวีเดน เกาหลีใต้ และจีน โดยเมิร์ซฯ ยังคงเน้นเจาะตลาดพรีเมียม

“ตลาดที่เติบโตมากขึ้น ส่งผลต่อการแข่งขันเช่นกัน แต่เราจับตลาดพรีเมียม ด้วยจำนวนคู่แข่งที่น้อย ส่งผลให้การแข่งขันยังไม่สูงมาก อีกทั้งผู้บริโภคก็มีกำลังซื้อ สภาวะเศรษฐกิจไม่มีผล”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาด มองว่าเป็นนวัตกรรมที่เป็นโฮมยูส หรือใช้งานได้เองที่บ้าน แต่ปัจจุบันยังไม่มีนวัตกรรมไหนที่ได้ผลตามที่โฆษณา ดังนั้นตลาดหัตถการความงามยังคงสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง