เศรษฐีรวยสุดในโลก Jeff Bezos บริจาค 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งกองทุนสู้ปัญหาสภาพอากาศ

Photo : AFP

มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก Jeff Bezos ประกาศบริจาคเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 แสนล้านบาท) จัดตั้งกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ชื่อว่า Bezos Earth Fund เพื่อช่วยศึกษาปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเเละภาวะโลกร้อน

Jeff Bezos ซีอีโอของบริษัทค้าปลีก Amazon และเจ้าของสื่อใหญ่อย่าง Washington Post เปิดเผยผ่าน
อินสตาเเกรมว่า “การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อโลกใบนี้”

โดยเขาพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน บริษัทขนาดใหญ่หรือเล็ก หรือหน่วยงานระดับสากลเพื่อศึกษาหนทางที่มีอยู่และหาหนทางใหม่เพื่อต่อสู้กับผลกระทบอันรุนแรงของปัญหานี้

สำหรับเงินทุนกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ก้อนนี้ จะนำไปใช้เพื่อช่วยสนับสนุนงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์
นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และกลุ่ม NGO ซึ่งจะเริ่มอนุมัติเงินได้ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีนี้เป็นต้นไป

ปัจจุบัน Jeff Bezos มีทรัพย์สินรวมกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 4.06 ล้านล้านบาท) การบริจาคครั้งนี้ นับเป็นเงินราว 7.7% ของเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีที่ติดอันดับโลกหลายคนอย่าง Warren Buffett , Bill Gate เเละ Michael Bloomberg การบริจาคของ Bezos ที่ผ่านมายังถือว่าน้อย โดยการบริจาคครั้งที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้คือการช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้เเละโรงเรียน ราว 2 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือน ก.ย. ปี 2018

Bezos ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังเขาปฎิเสธไม่เข้าร่วมโครงการ The Giving Pledge หรือพันธสัญญาที่จะมอบเงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม

เมื่อปีที่เเล้ว Bezos ประกาศว่าบริษัท Amazon พร้อมจะสนับสนุนเป้าหมายของข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ให้เร็วขึ้นกว่าแผนที่วางไว้ 10 ปี รวมทั้งเพื่อบรรลุแผนทำให้โลกปลอดคาร์บอนภายในปี 2040 ใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% ภายในปี 2030 และใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขนส่งสินค้า 100,000 คันภายในปี 2030

อ่านเพิ่มเติม : Amazon เริ่มใช้ “รถสามล้อไฟฟ้า” ส่งสินค้าในอินเดีย ตั้งเป้าถึงหมื่นคันในปี 2025

ก่อนหน้านี้ พนักงานของ Amazon หลายคนเรียกร้องให้บริษัทมีส่วนร่วมเชิงรุกมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ พร้อมขู่จะประท้วงหยุดงานเเละจะให้ความเห็นต่อสื่อสาธารณะด้วย

 

ที่มา : BBC , businessinsider