สิงห์ เอสเตท โชว์รายได้ปี 2562 กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน 63%

บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการปี 2562 เติบโตสูงต่อเนื่อง ทำรายได้รวม 12,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปี 2561 จากการขายบ้านและคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้น 104% และรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น 27% ในขณะที่สร้างกำไรสุทธิราว 1.2 พันล้านบาท

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 12,275 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยบ้านทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมรวม 7,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% รายได้จากการให้เช่าและบริการ 4,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และรายได้จากการขายสินค้า 85 ล้านบาท ลดลง 32%

โดยรายได้จากการให้เช่าและบริการ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงแรม 3,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงแรมภายใต้แบรนด์ Outrigger จำนวน 6 แห่ง ที่บริษัทฯ ซื้อกิจการเข้ามาเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และการเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS (ครอสโร้ดส์) ที่มัลดีฟส์ขณะเดียวกัน รายได้จากการเช่าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 13% เป็น 759 ล้านบาท จากการเปิดอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ช่วงปลายปี 2561

บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน 5,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากปี 2561 และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับปี 2562 เท่ากับ 41% ลดลงจาก 43% ในปี 2561 เป็นผลจากธุรกิจโรงแรมที่อัตรากำไรในช่วงแรกของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ยังไม่สูงนักเนื่องจากการเปิดธุรกิจโรงแรมใหม่ซึ่งปกติอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆสูงขึ้นตามลำดับ และใช้เวลาในการดำเนินธุรกิจประมาณ 2-3 ปี จึงจะเห็นอัตรากำไรสำหรับการดำเนินกิจการในระยะยาว

ในขณะที่ กำไรสุทธิในปี 2562 เท่ากับ 1,209 ล้านบาท ลดลง 16% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกิจการและภาษีสูงขึ้นจากการโอนโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ได้คืนเงินกู้เพื่อซื้อกิจการโรงแรม Outrigger จำนวน 5,357.8 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนได้สำเร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทฯลดลง

“ปี 2562 เป็นปีที่ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของสิงห์ เอสเตท เติบโตมากกว่าเท่าตัว ถึงแม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมยังคงเผชิญความท้าทายในหลายๆด้าน บริษัทฯเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และโอนโครงการ ดิ เอส อโศก และบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครืออย่าง เนอวานา ไดอิ ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วยนอกจากนี้เรายังมี Backlog ที่จะโอนในปี 2563 มากกว่า 6,000 ล้านบาท” นายนริศ กล่าว

ส่วนธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัทฯอยู่ภายใต้การบริหารงานของ SHR ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสิงห์ เอสเตท สามารถระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial public offering) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2562

SHR ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีการลงทุนในโรงแรม 39 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย มัลดีฟส์ ฟิจิ มอริเชียส และสหราชอาณาจักร โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 72% กลุ่มโรงแรม Outrigger 78% โรงแรมในสหราชอาณาจักร 70% และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 34% และรายได้ต่อห้องพักต่อคืน (Revenue per available rooms) ของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 5,591 บาท กลุ่มโรงแรม Outrigger 4,691 บาท โรงแรมในสหราชอาณาจักร 1,851 บาท และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 4,262 บาท

เมื่อปลายปี 2562 SHR ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Wai Eco World DeveloperPte Ltd (WEWD) กลุ่มธุรกิจใหญ่จากประเทศเมียนมาร์ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาหารและเครื่องดื่ม และเหมืองแร่ เพื่อพัฒนาไลฟสไตล์รีสอร์ทระดับไฮเอนด์ (High-end Lifestyle Resort) บนเกาะ3 ในโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์โดยรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะมีห้องพักในรูปแบบวิลล่า 80 ห้องระดับราคา 900-1,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 และเปิดดำเนินการในปี 2565 ทั้งนี้การจำหน่ายหุ้น 50% ของบริษัท Prime Location Management 3 Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนได้แล้วเสร็จไปเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2563

“การได้พันธมิตรที่ดีอย่าง WEWD มาเสริมความแข็งแกร่งทั้งในด้านธุรกิจและด้านการเงินในครั้งนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์เกาะ 3 จะประสบความสำเร็จและเปิดดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน” นายนริศ กล่าวย้ำ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและเข้าซื้ออาคารสำนักงานเมโทรโพลิสบริเวณใกล้กับสถานี BTS พร้อมพงษ์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 26,157 ตารางเมตร มูลค่า 1,725 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา และมีความประสงค์จะขายสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารดังกล่าวให้กองทรัสต์ S Prime Growth Leasehold Real Estate Trust (SPRIME) ในลำดับถัดไป

“ปี 2563 ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เอสเตท ที่จะต่อยอดการเติบโตจากฐานธุรกิจในรูปแบบ Global Holding Company อย่างสมบรูณ์แบบ นอกเหนือจากการลงทุนขยายธุรกิจในทุกมิติอย่างยั่งยืนแล้ว (Sustainable Growth) บริษัทฯ จะเริ่มพัฒนาธุรกิจใหม่อย่างพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม” นายนริศ กล่าวเพิ่มเติม

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์รวม 67,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,751 ล้านบาทจากสิ้นปี 2561 แบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน 24,087 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 43,594 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินรวม มีมูลค่า 40,085 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินทีมีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่เพียง 0.77 เท่า ด้วยอัตราหนี้สินที่ต่ำเช่นนี้ถือได้ว่าบริษัทฯมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2562 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 อนุมัติการนำเสนอการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.045 บาทต่อหุ้น จากกำไรสุทธิของผลประกอบการระหว่างวันที่1 มกราคม-31 ธันวาคม 2562 โดยมีกำหนดRecord Dateวันที่ 7พฤษภาคม2563 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมติการจ่ายเงินปันผลนี้ จะต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2563