ฮาว ทู กัก 5 คำแนะนำวิธีกักตัว “ทำงานอยู่บ้าน” อย่างไรให้ชีวิตยังสมดุล

ทำงานอยู่บ้าน
ช่วงนี้หลายคนอาจจะเริ่ม Work from Home กักตัวเอง “ทำงานอยู่บ้าน” เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อทำงานอยู่ที่บ้าน หลายคนอาจจะเริ่มตารางชีวิตรวน ไม่รู้จะจัดสมดุลระหว่างการงานกับช่วงพักผ่อนอย่างไร เหล่านี้คือคำแนะนำจากคนที่เคย Work from Home มาก่อนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ช่วงแรกๆ ที่พนักงานเริ่ม Work from Home หรือจินตนาการถึงการทำงานที่บ้าน อาจจะฟังดูเหมือนเป็นโลกการทำงานในฝันเพราะไม่ต้องฝ่าฟันรถติดหรือผู้คนแออัดในรถไฟฟ้า ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่มายืนเม้าท์กันข้างๆ ให้เสียสมาธิ แถมยังอาจจะได้แวบไปทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

แต่ข้อเสียของการทำงานอยู่บ้านก็มีเช่นกัน เพราะเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง พนักงานมักจะรู้สึกเบื่อหน่าย และเมื่อไม่มีการตอกบัตรเข้าออกงานตามเวลา งานก็ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นเสียที

“ผมคิดว่าข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของการทำงานอยู่บ้าน แต่มักจะถูกประเมินผลกระทบต่ำเกินไปคือ ผลกระทบเรื่องความเหงาทางจิตใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว” David Hassell ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ 15Five กล่าว โดย 15Five เป็นบริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับประเมินผลการทำงาน และตัวบริษัทเองยังมีพนักงานถึง 40% ที่ทำงานระยะไกลจากที่บ้าน

ต่อไปนี้คือ 5 คำแนะนำสำหรับคนทำงานอยู่บ้าน จากผู้บริหารหลากหลายบริษัท เพื่อสร้างสมดุลชีวิตไม่ให้ทำงานมากไปหรือน้อยไป และที่สำคัญ…ไม่เหงาเกินไปด้วย

 

1.หาเวลาพักเบรก

จริงๆ แล้วคนเราไม่ได้ทำงานติดต่อกัน 8 ชั่วโมงเวลาอยู่ในออฟฟิศ เราจะต้องมีเวลาพักเบรกทานกาแฟ เดินหาร้านอาหารตอนพักเที่ยง และเวลานั่งเม้าท์กับเพื่อนร่วมงานระหว่างวันบ้าง ดังนั้นการทำงานอยู่บ้านไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถพักเบรกแบบนั้นได้

“มีแนวโน้มที่พนักงานจะโหมทำงานตลอดวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตราหน้าว่าไม่ได้ทำงานเพราะไม่อยู่ออฟฟิศ” David Rabin รองประธานฝ่ายการตลาดสากลจาก Lenovo กล่าว

แต่คนที่ทำงานอยู่บ้านก็ควรจะได้พักระหว่างวันบ้างเช่นกัน และการพักยังจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีกว่าด้วย

“การพักเบรกไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคุณน้อยลง” Julie Morgenstern ที่ปรึกษาด้านการจัดการองค์กรกล่าว “การพักเบรกเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสิทธิภาพ ที่จริงแล้วมันช่วยให้คุณฉลาดขึ้น และทำให้คุณค้นพบมุมมองหรือคำตอบได้ด้วย”

 

2.สร้างโครงสร้างแบบ “ที่ทำงาน” ในบ้าน

สำหรับคนที่เคยชินกับสิ่งแวดล้อมในออฟฟิศอาจจะปรับตัวยากหน่อยเมื่อต้องทำงานอยู่บ้าน ถ้าในหนึ่งวันของคุณต้องเดินไปเดินมาระหว่างโต๊ะของตัวเอง ไปห้องประชุมใหญ่ กลับมาห้องประชุมย่อย Rabin ให้คำแนะนำว่า เมื่อมาทำงานอยู่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องฝังตัวเองอยู่กับโต๊ะทำงานตัวเดียวเช่นกัน

Morgenstern เสริมว่า เราสามารถจัดพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับฟังก์ชันการทำงานแต่ละอย่างได้ เช่น มุมเงียบๆ ในบ้านใช้สำหรับเวลาทำงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ ขณะที่การย้ายมารับแดดที่ชานบ้านอาจจะเหมาะกับการทำงานรูทีนต่างๆ อย่างการตอบอีเมลหรือจัดการเอกสารยิบย่อย

เธอยังกล่าวด้วยว่า ต้องไม่ลืมจัด “โซนปลอดงาน” ในบ้าน โดยโซนนี้จะไม่มีการนำงานเข้าไปทำเด็ดขาดโดยเฉพาะห้องนอน “คุณจะพักผ่อนช่วงกลางคืนได้ยากมากหากคุณเริ่มนำงานเข้าไปทำในบริเวณที่ใช้พักผ่อน”

 

3.เวลาเดินทางไป-กลับออฟฟิศ นำมาใช้ทำอย่างอื่นแทน

เหตุผลข้อใหญ่ที่ทำให้การทำงานอยู่บ้านมีประโยชน์มากคือ “ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเริ่มงานเร็วขึ้นกว่าเดิม

“เปลี่ยนเวลาที่ใช้เดินทางไปที่ทำงานตอนเช้ามาเป็นช่วงเวลาสำหรับตัวเองหรือครอบครัว ไม่ใช่ทำงานเพิ่ม” Morgenstern กล่าว

 

4.จัดตารางชีวิตให้ชัด

“การทำงานอยู่บ้านไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องทำงานนานขึ้นกว่าเดิม” คุณควรจะระบุกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้ชัดเจนว่าตารางชีวิตคุณจะทำอะไรบ้าง

และเมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานตามตารางแต่ละวัน ควรจะเก็บอุปกรณ์การทำงานทันที เปลี่ยนชุดเป็นชุดอยู่บ้านหรือชุดนอนเพื่อเปลี่ยนโหมดตนเองว่าตอนนี้เข้าสู่เวลาส่วนตัวแล้ว

นอกจากการคุยกับที่ทำงานแล้ว คุณควรจะคุยกับสมาชิกในบ้านด้วยว่าตารางการทำงานคุณเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้มีการรบกวนกันระหว่างวัน ทั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับมนุษย์พ่อหรือมนุษย์แม่ในช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม

“คุณควรจัดตารางแบ่งเวลางานกับเวลาเล่นกับลูก และจัดสถานที่ให้แบ่งแยกกันด้วย รวมถึงต้องออกคำสั่งที่ชัดเจน” Morgenstern แนะนำ

 

5.แชทและวิดีโอคอลแก้เหงา

ทำงานอยู่บ้าน

เพื่อหลีกเลี่ยงความเหงาและเดียวดายเหมือนเราทำงานอยู่คนเดียว ที่ทำงานควรจะมีการนัดประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอลบ้าง ยกตัวอย่างบริษัท 15Five จะมีการนัดประชุม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นหน้ากัน ไม่ว่าจะทำงานอยู่มุมไหนของโลก

นอกจากความเหงาแล้ว การที่พนักงานไม่ได้เจอกันในออฟฟิศ จะทำให้ปฏิสัมพันธ์และพลังงานจากการพบเจอผู้คนขาดหายไป จากบรรยากาศออฟฟิศปกติที่พนักงานอาจจะเดินไปเม้าท์ที่โต๊ะเพื่อนบ้าง ได้คุยเรื่องวันหยุดกับเพื่อนที่บังเอิญเจอระหว่างเดินไปห้องน้ำบ้าง สิ่งเหล่านี้อาจจะหายไปจากการทำงานอยู่บ้าน แต่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ แค่ต้องใช้ความพยายาม

15Five แนะนำให้จัดเวลาทักทายประจำวันกับเพื่อนๆ ในทีมหรือหัวหน้างานบนช่องทางออนไลน์ใดๆ ก็ได้ ไม่เพียงแต่จะได้ติดตามความคืบหน้าของงาน แต่ยังเปิดบทสนทนาให้เกิดการระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาได้ด้วย

สำหรับ 15Five จะใช้แพลตฟอร์ม Slack เป็นหลักในการสื่อสารงาน แต่จะแยกออกเป็นสองช่องแชท ช่องหนึ่งเป็นช่องทางการใช้สำหรับตามงานและคุยเรื่องงานเท่านั้น แต่อีกช่องหนึ่งถูกเรียกว่า “ตู้กดน้ำ” เปรียบเหมือนช่องแชทที่ใช้คุยสัพเพเหระเวลาเราเข้าไปเจอเพื่อนที่โซนพักเบรกนั่นเอง ในช่องนี้พนักงานสามารถคุยเรื่องส่วนตัวหรือส่งรูปตลกๆ กันได้ตามสบาย

วัฒนธรรมการทำงานและตารางชีวิตอาจจะต้องปรับจูนกันบ้าง เมื่อมีการ Work from Home เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานอยู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่การไปนั่งตามร้านกาแฟ ซึ่งจะทำให้เราเหงาและอึดอัดมากขึ้น แต่เราจะผ่านมันไปด้วยกัน!

Source