Thursday, April 25, 2024
Home Insight ส่องมาตรการ “Work from Home” หลากบริษัทในไทย

ส่องมาตรการ “Work from Home” หลากบริษัทในไทย

สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ทวีความรุนแรงขึ้น โดยล่าสุดวันที่ 19 มี.ค. 63 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 272 ราย และรัฐบาลมีคำสั่งปิดสถานบริการ เช่น ผับ ร้านนวด ฟิตเนส ฯลฯ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ทำให้หลายองค์กรในประเทศไทยทยอยออกนโยบาย “ทำงานที่บ้าน” หรือ Work from Home เพื่อลดความเสี่ยงให้กับพนักงาน

จากการสอบถามของ Positioning พบว่าบางบริษัทในไทยเริ่มบังคับใช้มาตรการทำงานที่บ้านกันแล้ว หรือมีการจัดเตรียมนโยบายไว้พร้อมสั่งการได้ทันทีหากพิจารณาว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่แต่ละแห่งมีวิธีการจัดการต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความพร้อมของบริษัท ลักษณะงาน และจำนวนพนักงาน โดยมีตัวอย่างการจัดการมาฝากเป็นแนวทางเผื่อให้บริษัทอื่นพิจารณานำไปปรับใช้ดังนี้

*หมายเหตุ: บางบริษัทต้องการปิดเป็นข้อมูลลับ จึงไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้*

Photo : Shutterstock

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) – พนักงานทุกสายงานแบ่งทีมเป็น 2 กลุ่มเพื่อสลับกันทำงานจากบ้าน เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 63 โดยขึ้นไฟล์งานบนระบบคลาวด์รูปแบบ SharePoint หรือ Microsoft Teams เพื่อให้เข้าถึงได้ทุกที่ สำหรับเครือข่ายข้อมูลขององค์กรมีการเข้ารหัส VPN เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลจากภายนอกบริษัทได้อย่างปลอดภัย

การจัดการภายในอาคารสำนักงานใหญ่ มีการติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกน และตรวจวัดไข้ทุกคนตั้งแต่ชั้นล่างก่อนเข้าสู่โถงลิฟต์ และพนักงานรายใดที่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศจะต้องกักตัวเองในบ้านพัก 14 วัน

ทั้งนี้ สำหรับพนักงาน Call Center เนื่องจากมีการกระจายศูนย์ไว้ทั้งหมด 4 แห่ง และจัดสลับเข้ากะอยู่แล้ว ทำให้พนักงานกลุ่มนี้จะยังคงทำงานตามปกติเพื่อให้บริการลูกค้า

บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) – ให้พนักงานสำนักงานใหญ่สลับกันทำงานจากที่บ้าน เพื่อให้มีคนเข้าสู่สำนักงานพร้อมกันลดลง 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค. 63 ด้านการจัดการสุขอนามัยสำนักงาน บริษัทยกเลิกการสแกนนิ้วเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ

ส่วนพนักงานที่อยู่ประจำโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งไม่สามารถทำงานจากบ้านได้ บริษัทซื้อประกันโรคโควิด-19 ให้ทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือด้านความเสี่ยงให้พนักงาน

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (Jitta) – เนื่องจากเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ทำให้มีความคล่องตัวในการจัดการ ที่ผ่านมาบริษัทได้จัดนโยบายทำงานที่บ้านเพื่อรับมือกับปัญหาค่าฝุ่น PM 2.5 และเป็นนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นให้กับพนักงานด้วย ดังนั้นจึงมีการ Work from Home มาโดยตลอด

การจัดการในบริษัทเพื่อให้ทำงานได้ราบรื่น จะจัดตารางกำหนดเวลาประชุมที่ชัดเจน จัดเป้าหมายการทำงานในแต่ละวัน และพนักงานต้องติดต่อได้เสมอหรือมีบุคคลสำรองให้ติดต่อแทน ทั้งนี้ Jitta แนะนำว่าสำหรับบริษัทที่ไม่พร้อมลงระบบใหม่ การใช้แอปพลิเคชันทั่วไป เช่น Line, Facebook สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการทำงานก่อนได้

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) – ให้พนักงานทำงานจากบ้านตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 63 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และจะขยายเวลาทำงานจากบ้านต่อเนื่องหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พร้อมให้พนักงานงดจัดประชุมสัมมนา และงดเดินทางต่างประเทศ

บริษัทประกันชีวิต A – ให้บางแผนกแบ่งเป็น 2 ทีมเริ่มต้นสลับ Work from Home ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 63 ทั้งนี้ ให้ทุกคนสำรองข้อมูลในโน้ตบุ๊กส่วนตัวและนำกลับทุกวัน ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องปิดสำนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้พร้อมกันทั้งแผนก การจัดการสำนักงานมีการตรวจวัดไข้ก่อนเข้างานทุกคนทุกวัน หากพบมีไข้เกิน 37.5 องศา ให้ลางานทันที

บริษัทพลังงาน B – แต่ละแผนกเตรียมจัดนโยบายที่เหมาะสม เช่น เตรียมตัวเพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้านทุกคน แต่อาจมีการจัดเวรสลับกันเข้ามาที่สำนักงานตามความจำเป็น โดยให้รอคำสั่งเริ่มใช้นโยบายทำงานที่บ้านอีกครั้ง

บริษัทเอเจนซี่โฆษณา C – ยกระดับความเสี่ยง เริ่มต้น Work from Home ทุกคนตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค. 63 (ก่อนหน้านี้เริ่มแผนแรกคือให้บุคคลที่มีความเสี่ยงกักตัวทำงานจากบ้าน 14 วัน) โดยพนักงานสามารถนำคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กกลับบ้านได้ พร้อมประชุมแบบทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน Zoom

ทำงานอยู่บ้าน

ทั้งนี้ จากการสอบถามหลายบริษัทพบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างเตรียมหามาตรการรองรับ เช่น ซักซ้อมการประชุมออนไลน์ เตรียมเครื่องมือดิจิทัลและระบบไอทีเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลจากระยะไกลได้ ประเมินการจัดการว่าแผนกใดสามารถทำงานจากที่บ้านได้

นอกจากบริษัทเอกชนแล้ว หน่วยงานราชการมีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 63 ให้ทุกหน่วยงานรัฐเตรียมจัดทำแผน Work from Home ที่เหมาะสมกับหน่วยงานของตนเองมาเสนอ และจัดตารางเหลื่อมเวลาทำงาน

 

บริษัทขนาดกลางปรับตัวยากที่สุด

กฤษดา สาธุกิจชัย” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด (Netizen) ที่ปรึกษาการวางระบบซอฟต์แวร์การบริหารจัดการทางธุรกิจ (ERP) ให้ความเห็นว่า วิกฤตไวรัส COVID-19 ใกล้เคียงกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554

ทำให้บริษัทสามารถเทียบเคียงจากประสบการณ์ได้ว่า บริษัทขนาดเล็กจะมีความคล่องตัวสูง หลายบริษัททำงานในลักษณะ Work from Home อยู่แล้วทำให้สามารถหิ้วโน้ตบุ๊กไปทำงานที่บ้านได้เลย และผู้ประกอบการบริษัทใหญ่ได้เปรียบเช่นกัน เพราะมีเงินทุนและการจัดการความเสี่ยง ทำให้ลงทุนระบบเทคโนโลยีไว้รองรับแล้ว

ดังนั้นมองว่า บริษัทขนาดกลางมีความเสี่ยงที่สุดในสถานการณ์นี้ เพราะเริ่มขยายขนาดจนมีทีมงานหลายคนหลายฝ่าย แต่วิธีการทำงานยังเป็นแบบรวมศูนย์ตัดสินใจ ทำให้การทำงานจากที่บ้านจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารและการส่งต่อเอกสาร

อย่างไรก็ตาม Netizen แนะนำว่าปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหลายอย่างที่ช่วยแก้ปัญหา เช่น การทำเอกสารออนไลน์สามารถใช้ Google Suites หรือ Office365, การประชุมทางไกล สามารถใช้ Microsoft Teams, Zoom หรือ Hangouts, ระบบอนุมัติงานและบริหารทรัพยากรบุคคล สามารถใช้แพลตฟอร์ม Origami ได้ ฯลฯ

เห็นได้ว่าวิกฤตที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการสร้างระบบที่ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้จากทุกที่บนโลกจะกลายเป็นประโยชน์ ช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้การทำธุรกิจต้องสะดุดได้ในอนาคต