โควิด-19 ตัวเร่งความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารทั่วโลกพุ่ง ‘เอกา โกลบอล’ เดินหน้าเต็มกำลังการผลิต 2,700 ล้านชิ้นต่อปี

เอกา โกลบอล’ ตอกย้ำศักยภาพกำลังการผลิต เชื่อมั่นจะเพียงพอต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูงขึ้นทั่วโลก คาดอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อจะเป็นเทรนด์ในการบริโภคในอนาคต จึงเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ให้สามารถมีบรรจุภัณฑ์อาหารคุณภาพดีแข่งขันในตลาดโลกได้ ตั้งเป้าใช้กำลังการผลิตปีนี้เต็ม 2,700 ล้านชิ้น ยอดขายรวมทั้งปีนี้เติบโต 100 เปอร์เซนต์

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ภายใต้สภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหาร นับเป็นสิ่งจำเป็นและมีบทบาทสำคัญในการช่วยเยียวยาและบรรเทาความตึงเครียดของผู้บริโภคทั่วโลกที่ต้องการจัดเก็บอาหารให้ยาวนานขึ้นในช่วงกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  และยังช่วยลดความถี่ในการออกจากที่พักไปยังสถานที่เสี่ยงติดเชื้อได้เป็นอย่างดี มีผลทำให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารทั่วโลกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยยอดขายของบริษัทฯ ได้เติบโตขึ้นมากกว่าเท่าตัวเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นในสถานการณ์โควิด-19 ยังเห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยหันมาใส่ใจและเน้นเรื่องความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น มีการงดเว้นอาหารสดที่ไม่ผ่านความร้อน เช่น สลัดต่างๆ อาหารญี่ปุ่น หรือแม้แต่อาหารที่ปรุงสุกมาแล้ว ก็ต้องอุ่นซ้ำ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ (Sterilized Food) ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเชื้ออาหารภายใต้แรงดัน (Retort) ที่อุณหภูมิ 110-120 องศาเซลเซียส หรือการผ่านการฆ่าเชื้อด้วยกระบวนการความร้อน (Hot Filled) ที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส เป็นอาหารปลอดเชื้อ มีความปลอดภัยสูง ไม่มีการปนเปื้อนทั้งเชื้อโรคและสารกันบูด

“การปรับตัวของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภครับรู้และเข้าใจอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ไปแล้ว เชื่อว่าผู้บริโภคยังคงคำนึงถึงความปลอดภัยของอาหารและอาหารที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ จะอยู่ในกระแสความต้องการต่อไปจนกลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคในอนาคต ซึ่งบรรจุภัณฑ์ของเรา ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต สามารถรักษาอายุของอาหารได้นานสุดกว่า 2 ปี ไม่มีสารปนเปื้อนไม่มีสารก่อมะเร็ง มีความปลอดภัย น้ำหนักเบา บรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ สามารถเข้าไมโครเวฟได้ ผู้บริโภคเพียงเปิดแล้วรับประทานได้ทันที ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น เป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างมาก” นายชัยวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมมากด้วยศักยภาพในด้านกำลังการผลิต จากการเข้าซื้อกิจการของ พริ้นท์แพค เอเชีย ในปีก่อน ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้นำในการผลิตบรรจุภัณฑ์นวัตกรรมยืดอายุอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีโรงงานและสำนักงานในประเทศจีนและอินเดีย รวมกำลังการผลิตปัจจุบันสูงเกือบ 2,700 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอาหารได้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่สูงขึ้นในขณะนี้อย่างแน่นอน ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมจะเติบโต 100 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน บริษัทฯ ขยายการดำเนินธุรกิจไปในตลาดสำคัญทั่วภูมิภาค อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยมีสัดส่วนยอดขายส่งออกที่ 95% และยอดขายในประเทศที่ 5% แต่บริษัทฯ เชื่อว่าผู้บริโภคในประเทศเริ่มมีความคุ้นชินกับบรรจุภัณฑ์ของ เอกา โกลบอล มากยิ่งขึ้น เพราะมีสินค้าของหลากหลายแบรนด์ที่ให้ความวางใจใช้บรรจุภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตให้วางจำหน่ายอยู่ในโมเดิร์นเทรดจำนวนมากขึ้น เป็นบรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบ และบรรจุอาหารหลากหลายประเภท เช่น อาหารเด็ก อาหารสำเร็จรูป ขนมหวาน อาหารทะเล ผักผลไม้ สลัด น้ำผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องดื่มสมุนไพร ชา กาแฟ และอาหารสัตว์ เป็นต้น

ปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะเจาะตลาดผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อช่วยผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ก้าวสู่การทำธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้บนเวทีระดับโลก เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ขยายตลาดต่างประเทศ และการที่ผลิตภัณฑ์มีอายุสินค้าที่ยาวนานขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย นับว่าตอบโจทย์และช่วยปิดจุดอ่อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างดี

“แม้สัดส่วนรายได้จากการเพิ่มฐานลูกค้าเอสเอ็มอีจะไม่มาก แต่การได้ช่วยผู้ประกอบการอาหารได้มีโอกาสทางธุรกิจ สร้างโซลูชั่น และเพิ่มมูลค่าสินค้าที่สูงขึ้น ถือเป็นภาระกิจที่ เอกา โกลบอล ให้ความสำคัญ ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างฐานให้เอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่ง” นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าปิดท้าย