“เฟด” คงอัตราดอกเบี้ย 0-0.25% อัดฉีดเงินฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจีดีพี Q1 ติดลบ 4.8%

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0-0.25% โดยพร้อมจะใช้ “เครื่องมือทางการเงินทุกรูปแบบ” เพื่อกระตุ้นเเละเยียวยาเศรษฐกิจที่ได้รับกระทบอย่างหนัก จากโรคระบาด COVID-19

ความเคลื่อนไหวนี้ เป็นไปพร้อมกับการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ ประจำไตรมาส 1/2563 โดยเศรษฐกิจติดลบถึง 4.8% แย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะติดลบ 3.5% เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่จีดีพีในไตรมาส 4/2008 ในช่วงวิกฤตการเงินที่เคยติดลบ 8.4%

ในช่วงไตรมาสเเรก การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลง 7.6% การใช้จ่ายด้านสินค้าคงทนลดลง 16.1% และการใช้จ่ายในภาคบริการดลดลง 10.2% ด้านการส่งออกหดตัวลง 8.7% และการนำเข้าหดตัวลง 15.3%

ขณะที่ผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้สหรัฐฯ มียอด “ผู้ว่างงาน” สูงเป็นประวัติการณ์ โดยจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน นับตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.5 ล้านคน เเละคาดว่าจะบวกเพิ่มอีก 3.5 ล้านคน เป็นราว 30 ล้านคนในสิ้นเดือน เม.ย. ทำให้อัตราว่างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 14%

Jerome Powell ประธานเฟด ระบุระหว่างแถลงผลการประชุมว่า อัตราการจ้างงานในสหรัฐฯ คงไม่สามารถฟื้นกลับมาสู่ระดับต่ำสุดของเดือน ก.พ. ที่ 3.5% ได้ในเร็ววันนี้ ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมามีการจ้างงานในระดับสูงสุดได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เขามองว่า มาตรการห้ามออกนอกเคหะสถาน เป็นการ “ลงทุนเพื่อสุขภาพ” ทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวม เเม้จะทำให้มีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ

ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เฟดได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ระดับใกล้ 0% พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งการอัดฉีดเม็ดเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเพื่อรักษาสภาพคล่องของตลาดสินเชื่อ
ซื้อพันธบัตรและปล่อยเงินกู้ให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงซื้อคืนหลักทรัพย์ที่อยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชย์ที่จดจำนองด้วย

โดยเเผนการถัดไป ประธานเฟด ระบุว่า จะมีการใช้ “เครื่องมือทางการเงินทุกรูปแบบ” เพื่อขยายโครงการความช่วยเหลือฉุกเฉินที่จำเป็น ช่วยเหลือครัวเรือนเเละภาคธุรกิจในสหรัฐฯิ ให้สามารถรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะวิกฤต เเละยืนยันว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัว เเละเงินเฟ้อกลับเข้าสู้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

 

ที่มา : CNN