Amazon งดให้บริการ “เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า” แก่ตำรวจสหรัฐฯ 1 ปี หลังเหตุประท้วงเหยียดผิว

(Photo by Henrique Casinhas/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)
บริษัท Amazon.com Inc ประกาศงดให้บริการเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition Software) แก่ตำรวจสหรัฐฯ เป็นเวลา 1 ปี หลังเกิดเหตุประท้วงกรณีตำรวจใช้ความรุนแรงสังหารชายผิวสี

นักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพพลเมืองในสหรัฐฯ ต่อสู้เรียกร้องมานานถึง 2 ปีว่าระบบตรวจจับใบหน้าของ Amazon อาจระบุตัวบุคคลผิดพลาด จนนำไปสู่การจับกุมอย่างไม่เป็นธรรมได้

การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ หนุ่มผิวสีซึ่งถูกตำรวจมินนาอาโพลิสใช้เข่ากดคอจนขาดใจตายเมื่อเดือน พ.ค. ยิ่งกระพือข้อกังวลว่าระบบตรวจจับใบหน้าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานผู้ประท้วง

นักวิจารณ์ยังชี้ถึงผลการศึกษาในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า บริการ Rekognition ของ Amazon มักมีปัญหาในการระบุเพศของคนผิวสีเข้ม ซึ่งเป็นผลวิจัยที่ Amazon ออกมาโต้แย้ง

ล่าสุด Amazon ซึ่งจำหน่ายเทคโนโลยีคลาวด์ผ่านทาง Amazon Web Services ได้แถลงยืนยันว่า บริษัทจะผลักดันให้มีการออกกฎควบคุมการใช้ซอฟต์แวร์ตรวจจับใบหน้าอย่างมีจริยธรรม

“เราหวังว่าการระงับบริการ 1 ปีจะช่วยให้สภาคองเกรสมีเวลามากพอที่จะบังคับใช้กฎระเบียบที่เหมาะสม และเราพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ หากมีการขอร้องมา” Amazon ระบุ

Amazon จะยังคงอนุญาตให้มีการใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการตามหาเหยื่อค้ามนุษย์

สภาคองเกรสได้เริ่มพิจารณาออกกฎควบคุมการใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้ามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. บริษัท ไอบีเอ็ม ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังคองเกรสว่าจะเลิกจำหน่ายและพัฒนาเทคโนโลยีชนิดนี้ ขณะที่ ไมโครซอฟต์ คอร์ป เลือกใช้วิธีปฏิเสธการขายบางส่วน และสนับสนุนให้มีการออกกฎควบคุม โดยไม่ถึงขั้นต้องระงับการใช้งาน

นิโคล โอเซอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีและเสรีภาพพลเมืองจากสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ประจำเขตแคลิฟอร์เนียเหนือ ออกมาชื่นชมการตัดสินใจของแอมะซอน แต่ยังคงเรียกร้องให้มีการระงับใช้เทคโนโลยีชนิดนี้ “อย่างครอบคลุม”

“เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าช่วยให้รัฐบาลมีอำนาจในการสอดแนมชีวิตพวกเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” โอเซอร์ ระบุในคำแถลง “เราขอเรียกร้องให้ไมโครซอฟต์และบริษัทอื่นๆ เดินตามรอยไอบีเอ็ม, กูเกิล และแอมะซอน ในการก้าวไปสู่ด้านที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์”

การจำหน่ายระบบ Rekognition ให้แก่ภาคเอกชนสร้างรายได้ให้แก่แอมะซอนประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายได้ในส่วนของเทคโนโลยีคลาวด์ทั้งหมด 25,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ข่าว ดิ อินฟอร์เมชั่น

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายคนหนึ่งวิจารณ์การตัดสินใจของแอมะซอน โดยยืนยันว่าหน่วยงานภาครัฐใช้ Rekognition ในการสืบสวนหลังเกิดอาชญากรรม ไม่ได้เอาไว้สอดแนมประชาชนแบบเรียลไทม์

Source