ความเสี่ยงเพิ่ม! สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 อายุน้อยพุ่งสูง และเป็นกลุ่มไม่แสดงอาการ

ประชาชนในสหรัฐอเมริกา ระหว่างการระบาดของโรค COVID-19 (Photo by Michael Loccisano/Getty Images)
สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสูงที่สุดของโลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 2.36 ล้านราย ผู้เสียชีวิตเกือบ 1.2 แสนราย โดยล่าสุดรัฐฟลอริดาและรัฐเท็กซัสพบว่า ผู้ติดเชื้อในวัยต่ำกว่า 40 ปีมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นหลังระดมตรวจหาเชื้อ ที่สำคัญคือกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวถึงวัยทำงานเหล่านี้มักจะไม่แสดงอาการของโรค จึงเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

รอน ดีแซนติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เตือนประชาชนว่า ขณะนี้ภาครัฐพบผู้ติดเชื้อในวัย 20-30 ปี และ 30-40 ปีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และกลุ่มผู้ติดเชื้อในวัยนี้มักจะไม่แสดงอาการของโรค COVID-19

การค้นพบเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐฟลอริดาพยายามตรวจหาผู้ติดเชื้อมากขึ้น ทำให้ลักษณะอายุประชากรผู้ติดเชื้อเปลี่ยนแปลงไป โดยเทรนด์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามีอายุน้อยลงกว่าเดิม และไม่เพียงแต่ฟลอริดาเท่านั้น สำนักข่าว CNN รายงานว่า บางส่วนของรัฐเท็กซัสกับรัฐจอร์เจียก็เกิดเทรนด์อายุผู้ติดเชื้อลดน้อยลงเช่นกัน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐของรัฐเซาท์แคโรไลนาก็กล่าวเช่นกันว่าพบผู้ติดเชื้อวัยต่ำกว่า 30 ปีสูงขึ้น

ดังที่ทราบกันว่า หากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในวัยหนุ่มสาวและไม่แสดงอาการ โอกาสเสี่ยงที่พวกเขาจะเป็นพาหะแพร่เชื้อต่อนั้นมีสูงมาก เพราะพวกเขาไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงยังคงพบปะใกล้ชิดกับผู้อื่นตามไลฟ์สไตล์ของคนวัยนี้ โดยมีกลุ่มคนที่เสี่ยงที่สุดที่จะติดเชื้อคือพ่อแม่และปู่ย่าตายายของคนหนุ่มสาว

อีเวนต์หาเสียงของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ทัลซา โอคลาโฮมา คืนวันที่ 20 มิถุนายน 2020 (Photo : Twitter@realDonaldTrump)

สถานการณ์การระบาด COVID-19 ของสหรัฐฯ ยังไม่สู้ดีนัก โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มลดลงบ้างในเดือนพฤษภาคม แต่เพิ่งกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้งช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการเดินขบวนประท้วง #BlackLivesMatter ที่พาผู้คนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน ไปจนถึงการดึงดันจัดอีเวนต์หาเสียงทางการเมืองของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งมีคนเข้าร่วมสูงถึง 6,200 คน เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2020 นอกจากนี้ยังมีปัญหาการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำให้เว้นระยะห่างทางสังคมอีกมาก

ก่อนหน้านี้ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) แนะนำให้ประชาชนอเมริกันสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน หรืออย่างน้อยขอให้ใส่ในสถานการณ์ที่เว้นระยะห่างทางสังคมไม่ได้ เนื่องจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันบุคคลไม่ให้แพร่เชื้อไวรัสโคโรนาแก่ผู้อื่นได้จริง แต่ CDC แย้มออกมาแล้วว่า กำลังจะมีการปรับระดับคำแนะนำใหม่ เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าหน้ากากอนามัยไม่เพียงแต่ป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนอื่น แต่ยังป้องกันไม่ให้คนอื่นแพร่เชื้อให้ผู้สวมใส่ได้ด้วย

อีกมาตรการหนึ่งที่สหรัฐฯ อาจจะใช้เพื่อช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นคำพูดจากปาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ไปหาเสียง ณ เมืองทัลซา โดยเขากล่าวว่าการระดมตรวจหาผู้ติดเชื้อจำนวนมากเป็น “ดาบสองคม” เพราะ “ถ้าตรวจมากก็เจอมาก” ดังนั้น เขาต้องการให้ภาครัฐลดจำนวนการตรวจให้น้อยลงหลังจากนี้

Source