เปิด 4 เทรนด์อนาคตแห่ง “การอยู่อาศัย” จากงานวิจัยถ่ายทอดแนวคิดสู่โครงการอสังหาฯ ของ MQDC ภายใต้แนวทาง ‘For All Well-Being’


FutureTales Lab และ RISC สองศูนย์วิจัยในเครือ MQDC วิจัยพบ 4 เทรนด์การอยู่อาศัยที่สำคัญและส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ความต้องการพื้นที่มากกว่าความสะดวก, เศรษฐกิจติดบ้าน, ประชากรเพื่อโลกอนาคต และ แนวคิดผู้สูงวัยในถิ่นที่อยู่อาศัย สู่การออกแบบที่ตอบโจทย์ในทุกโครงการที่อยู่อาศัยของ MQDC พร้อมเปิดอาณาจักร “เดอะ ฟอเรสเทียส์” (THE FORESTIAS) โครงการบนถนนบางนา กม.7สร้างขึ้นเพื่อความยั่งยืน

“วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งศูนย์วิจัยขึ้นมา 2 แห่ง เพื่อศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และการตัดสินใจเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยในระยะยาวของผู้บริโภค สำหรับนำไปเป็นฐานคิดก่อนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตามแนวทาง ‘For All Well-Being’ สร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสรรพสิ่งบนโลกอย่างยั่งยืน

โดยศูนย์วิจัย 2 แห่งดังกล่าว ได้แก่ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab) ทำการวิจัยเกี่ยวกับเทรนด์อนาคตเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และนำข้อมูลที่ได้ซึ่งเป็นประโยชน์เผยแพร่สู่สาธารณะ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Research & Innovation for Sustainability Center – RISC) ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับลูกค้า ตามคอนเซ็ปต์ For All Well-Being เช่น วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

4 เทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) เปิดเผยถึงผลวิจัยของ FutureTales Lab พบว่า แนวความคิดของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อบ้านในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้

1) Prioritizing Space Over Convenience คนเราจะใส่ใจกับพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น มากกว่าความสะดวกในการเดินทาง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะส่งผลต่อการทำงานในอนาคต คนเราสามารถทำงานที่บ้านได้ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยจึงไม่จำเป็นต้องอยู่กลางใจเมือง อาจจะเปลี่ยนจากการเลือกคอนโดมิเนียมขนาดเล็กใกล้รถไฟฟ้า มาเป็นบ้านนอกเมืองที่มีพื้นที่มากขึ้น มีสวนหย่อม ไปจนถึงการเลือกเปลี่ยนบ้านพักตากอากาศมาเป็นที่อยู่อาศัยประจำ

2) Everything at Home หรือ เศรษฐกิจติดบ้าน จากปัจจัยเดียวกันคือ ‘โรคระบาด’ ทำให้ผู้คนเคยชินกับการ Work From Home และทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน ความเคยชินนี้ส่งผลในทางเดียวกับข้อแรกคือคนต้องการพื้นที่ในบ้านสูงขึ้น แม้แต่คอนโดฯ ก็อาจจะเน้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีพื้นที่ส่วนกลางเพียงพอ สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้เหมาะสม เช่น ทำอาหาร ออกกำลังกาย

3) Citizen of The Future ประชากรกลุ่มเจนเนอเรชัน Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012) จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลกับวิถีของโลก ลักษณะสำคัญของประชากรกลุ่มนี้คือ ใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีตลอดเวลา และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ต้องการช่วยปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น คนกลุ่มเจนฯ Z จะนิยมผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ดีขึ้น

4) Age-In-Place ผู้สูงวัยในถิ่นที่อยู่อาศัย นอกจากมีประชากรเจนฯ ใหม่แล้ว ประชากรผู้สูงวัยก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น และวัตถุประสงค์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัยคือต้องการการดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพอารมณ์ ดังนั้นต้องมีการช่วยเหลือดูแลที่เหมาะสมตามวัย และได้อยู่ร่วมกับครอบครัว เพื่อน และชุมชนที่จะเป็นรากฐานทำให้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

จากเทรนด์การอยู่อาศัยเหล่านี้ เชื่อมโยงมาสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ นำโดย “รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต” หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ยกตัวอย่างเทรนด์การดูแลสิ่งแวดล้อมของโลกนั้น RISC ได้พัฒนาการออกแบบโครงการเพื่อให้ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่าที่สุด เป็นที่มาของ MQDC Standard การออกแบบที่ช่วยป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว โดยหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุบางอย่างอย่างเด็ดขาดเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบก่อสร้างตามหลัก Sustainovation

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือการดูแลเรื่องคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพมนุษย์ ทำให้ทุกโครงการของ MQDC ตั้งแต่ปี 2561 จะมีการติดตั้งเครื่อง ERV หรือ Energy Recovery Ventilation ช่วยถ่ายเทหมุนเวียนอากาศดีเข้ามาในที่อยู่อาศัยและเพิ่มปริมาณออกซิเจน ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ก็สามารถติดตั้งแผ่นกรอง PM 2.5 เพิ่มเข้าไปได้

นำไปใช้ในทุกโครงการของ MQDC

วิสิษฐ์กล่าวต่อว่า จากการค้นคว้าของศูนย์วิจัยในเครือ MQDC ทำให้บริษัทสามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” (THE FORESTIAS) โดยโครงการนี้เป็นโครงการที่มีป่าธรรมชาติ 30 ไร่อยู่ภายใน พร้อมพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่า 70% ของโครงการ ช่วยลดความเครียดและสร้างสุขภาวะที่ดี

เดอะ ฟอเรสเทียส์ยังมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ทั้งคอนโดฯ วิสซ์ดอม (Whizdom) สำหรับคนวัยทำงาน บ้านเดี่ยวแบบคลัสเตอร์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ (Mulberry Grove) และคอนโดฯ ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) ที่รองรับผู้สูงวัยได้ตลอดชีวิต

โปรเจ็กต์นี้ไม่ได้มีเพียงแต่ MQDC เท่านั้น บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอีกหลายรายในการพัฒนาเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ซิกส์เซนส์ (Six Senses) แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญที่พักระยะสั้นและระยะยาว F & P (Thailand) เป็นที่ปรึกษาและร่วมออกแบบโครงการ ITEC Entertainment ผู้ออกแบบไลฟ์สไตล์ด้านสันทนาการและประสบการณ์เพื่อผู้อยู่อาศัย Atelier Ten ร่วมวางแผนการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน รวมถึง Huawei ซึ่งจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มสมาร์ท ซิตี้ให้เกิดขึ้นบนโครงการนี้

ปัจจุบัน MQDC มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท มีโครงการที่สร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์แล้ว เช่น แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ตลอดจนคอนโดฯ แบรนด์วิสซ์ดอมอีกหลายทำเล นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ของบริษัท อาทิ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว, วิสซ์ดอม สเตชัน รัชดา-ท่าพระ, วิสซ์ดอม คอนเนค สุขุมวิท, วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ สุขุมวิท, วิสซ์ดอม อินสปาย สุขุมวิท ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและระหว่างขาย ได้แก่ เดอะ ฟอเรสเทียส์ , เดอะ สแตรนด์ และมัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท พร้อมกับโครงการอีก 3-5 โครงการที่อยู่ระหว่างศึกษา

แต่ไม่ว่าจะเป็นโครงการไหน บริษัทจะยังคงคอนเซ็ปต์ ‘For All Well-Being’ เสมอ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพกายใจที่ดี โดยเฉพาะในโลกหลัง COVID-19 เช่นนี้