เปิด 11 เทคนิคการทำ SEO ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เตะตา Google

iPrice ร่วมกับ Team Digital เปิดผลสำรวจคอร์สการตลาดออนไลน์ยอดนิยม พบว่า Facebook Ads คือเทรนด์การตลาดมาแรงที่อาจช่วยกู้ภัย COVID-19 ได้ รวมถึงการทำ SEO ก็นิยมไม่แพ้กัน

เพราะ Facebook Ads และ SEO เป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมสูงสุด iPrice จึงได้สัมภาษณ์คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Team Digital เพื่อสอบถามเทรนด์ประจำปี 2020 เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ประกอบการที่สนใจ Digital Marketing ทั้งสองรูปแบบนำไปประยุกต์ใช้งานฝ่าวิกฤต COVID-19 ไปด้วยกัน ดังนี้

อ.ต้น จตุพล ทานาฤทัย ผู้ก่อตั้ง ผู้เชี่ยวชาญ และผู้สอนคอร์ส SEO สถาบัน Team Digital เผยว่า

“เทรนด์ SEO กู้ภัย COVID-19 ตอนนี้ควรเน้นเพิ่ม Organic Search Traffic ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเขียนบทความถือเป็นเคล็ดลับดั้งเดิมที่ยังได้ผลชะงัด แม้จะยังไม่มีตำราบอกกฎตายตัวว่าหนึ่งบทความควรมีความยาวเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด แต่ก็ควรทำ Research เล็กๆ ก่อนเขียน เช่น นำคีย์เวิร์ดหลักไปค้นหาใน Google แล้วจับเว็บไซต์ Top 10 มาหารเฉลี่ยความยาวของบทความ เป็นต้น

และนอกจากใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปใน H1 แล้ว อย่าลืมตั้งค่า H2-H6 (คล้ายกับคำถามที่พบบ่อย หรือหัวข้อย่อย) ลงไปด้วย  ในปัจจุบันการค้นหาด้วยเสียงผ่านผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri หรือ Google Assistant และอื่น ๆ กำลังได้รับความนิยม (สถิติในสหรัฐอเมริกาพบมากถึง 50%) โดยการค้นหาด้วยเสียงนี้ Google จะเน้นหาผลลัพธ์จาก Featured Snippet ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ บนเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

11 เทคนิค ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เตะตา Google

1. Mobile-Friendliness

ระบบเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่างๆ

2. HTTPS Security (SSL)

การเข้ารหัสความปลอดภัยข้อมูลของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่างๆ

3. Page Speed

ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ได้รับความนิยมหลังจาก Google อัปเดต Algorithm ที่ชื่อว่า Mobile Speed Update ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา

4. Technical SEO

การปรับโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google Bot เข้ามาบันทึกข้อมูลในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

5. Search Intent หรือ Keyword Intent

วิธีการเขียนคอนเทนต์ตามคีย์เวิร์ดหรือความต้องการของผู้ใช้งาน Google โดยยึดหลัก SEO และใส่คอนเทนต์นั้น ๆ เข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ (Keyword Mapping) เช่น หน้าโฮมเพจ, หน้าหมวดหมู่, หน้าสินค้า, หน้าบทความหรือ Blog และหน้าที่เสนอบริการฟรี ๆ ให้ลูกค้า เป็นต้น

6. Core Web Vitals

หน้าเว็บที่มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ โดยมุ่งเน้นด้านการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพ ประกอบด้วย Largest Contentful Paint (LCP) คือการวัดประสิทธิภาพการโหลด, First Input Delay (FID) คือการวัดการโต้ตอบ และ Cumulative Layout Shift (CLS) คือการวัดความเสถียรของภาพ ซึ่ง Google จะนำเอา Core Web Vitals มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่าง ๆ ในปี 2021

7. RankBrain

Algorithm ของ Google ที่เป็น AI โดยจะประมวลผลจากประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (UX signals) ที่มีต่อผลการค้นหา (SERP) ของ Google การปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ให้เข้ากับ RankBrain เป็นสิ่งสำคัญถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ เป็นเวลานาน

Photo : Shutterstock
8. Schema Mark Up

การเขียนโปรแกรมหรือ Coding เข้าไปในเว็บไซต์ เพื่อให้ Google แสดงข้อมูลจากเว็บไซต์ได้มากขึ้น เช่น คะแนนรีวิว, จำนวนการรีวิว, วัน, เวลา และราคา เป็นต้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์จากผลการค้นหา (SERP) ของ Google

9. E-A-T Rating

ย่อมาจาก E = Expertise คือความชำนาญหรือเชี่ยวชาญ, A = Authoritativeness คือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และ T = Trustworthiness คือความน่าเชื่อถือ E-A-T Rating จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับ SEO และการเพิ่ม Conversion Rate ในตอนนี้

10. Link Building & Social Signals

ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO ยิ่งคุณภาพของเว็บไซต์ที่สร้างลิงก์ให้มีความน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ Google ยิ่งจัดอันดับให้เว็บไซต์ของลิงก์ปลายทางน่าเชื่อถือมากเท่านั้น รวมถึง Backlinks จาก Social Media ด้วย

11. Conversion Rate Optimization

การปรับเว็บไซต์เพื่อให้เกิด Conversion เพิ่มมากขึ้น บางเว็บไซต์ติดอันดับ SEO ดี แต่รายได้ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการทำธุรกิจไม่มาก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ