แผนใหม่ของ Uber มุ่งพลังงานสะอาด ตั้งเป้าใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า” แบบ 100% ทั่วโลก ภายในปี 2040

Photo : shutterstock

Uber ยักษ์ใหญ่เเพลตฟอร์ม Ride-Sharing ประกาศแผนธุรกิจใหม่ มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 100%

Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber บอกว่า บริษัทจะมุ่งไปสู่การเป็นเเพลตฟอร์มที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นศูนย์เเบบ 100% ทั่วโลกให้ได้ ภายในปี 2040 โดยตั้งเป้าให้รถยนต์ที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มทุกคันในสหรัฐฯ แคนาดา และยุโรปจะต้องเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ให้ได้ตั้งเเต่ปี 2030

โดย Uber มีเเผนเพื่อให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริงให้ได้เร็วที่สุด ผ่านการสนับสนุนต่างๆ ดังนี้

  • ขยายบริการ Uber Green เพื่อให้ลูกค้าเลือกได้ว่าพวกเขาต้องการจะใช้บริการรถยนต์เเบบไฮบริดหรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
  • ทุ่มงบกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจูงใจให้คนขับหลายเเสนคนในสหรัฐฯ แคนาดาและยุโรป หันมาใช้รถพลังงานสะอาด ภายในปี 2025
  • ร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาด ทั้งผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ให้บริการรถเช่า บริษัทชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • ลงทุนในการสื่อสารข้อมูล เกี่ยวกับการใช้พลังงานทางเลือก เดินหน้าโรดแมป Driving a Green Recovery ที่ให้สาธารณชนรับรู้เเละมีส่วนร่วม

โดยกลยุทธ์ที่จะดึงดูดให้คนขับหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นนั้น ทางบริษัทจะให้อินเซนทีฟตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ในอเมริกาและแคนาดา คนขับรถยนต์ไฮบริด จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม 50 เซนต์ในทุกๆ เที่ยวที่ให้บริการ Uber Green ส่วนคนขับที่ให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มอีก 1 เหรียญสหรัฐ รวมเป็น 1.5 เหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ Uber ได้ความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง General Motors และกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan เพื่อมอบสิทธิพิเศษเมื่อคนขับไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของทางค่ายดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ คู่เเข่งรายสำคัญของ Uber อย่าง Lyft ก็เพิ่งประกาศเป้าหมายที่จะให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 ผ่านเเผน The Path to Zero Emission โดยจะเริ่มจากบริการเช่ารถยนต์ก่อนเเละค่อยขยายไปบริการอื่น ควบคู่กับกระตุ้นให้ภาครัฐเเละประชาชนตระหนักถึงปัญหาของการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ พร้อมการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ

ความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่อย่าง Uber เเละ Lyft สะท้อนให้เห็นทิศทางของธุรกิจ Ride-Sharing ที่มีส่วนในการปล่อยมลพิษจำนวนมาก ซึ่งต่อไปก็คงมีเจ้าอื่นๆ เข้ามาร่วมในการผลักดันประเด็นนี้ด้วย

 

 

ที่มา : theverge , Uber , CNET