McDonald’s อังกฤษทดลองระบบ “แก้วใช้ซ้ำ” คืนแก้วได้คืนเงินมัดจำ แก้ปัญหาขยะล้นโลก

(Photo : Green Queen)
McDonald’s ประเทศอังกฤษ กำลังวางแผนทดสอบระบบ “แก้วใช้ซ้ำ” ร่วมกับบริษัท Loop โดยลูกค้าวางเงินมัดจำค่าแก้วก่อน และจะได้คืนเมื่อคืนแก้วภายในร้าน หรือถ้าสั่งกลับบ้าน สามารถนำแก้วไปคืนที่จุดรับคืนอื่นๆ ได้ ช่วยแก้ปัญหาขยะล้นโลก และสะดวกกับลูกค้ามากกว่าการรณรงค์ให้พกแก้วไปเอง

ถ้าคุณมีโอกาสได้แวะร้าน McDonald’s ที่ประเทศอังกฤษช่วงต้นปีหน้า คุณอาจสังเกตเห็นทางเลือกใหม่ในการสั่งเครื่องดื่มร้อนอย่างกาแฟหรือช็อกโกแลตร้อน แทนที่จะใส่แก้วกระดาษใช้แล้วทิ้งอย่างเคย ร้านจะให้แก้วพลาสติกและฝาปิดแก้วแบบใช้ซ้ำได้แทน โดยแก้วรูปแบบนี้สามารถนำกลับมาล้าง ฆ่าเชื้อ และนำกลับเข้าระบบของร้านสำหรับเสิร์ฟลูกค้ารายต่อไปได้

McDonald’s เป็นเชนร้านอาหารเจ้าแรกที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท Loop เพื่อสร้างระบบภาชนะใช้ซ้ำขึ้นมา บริษัท Loop นั้นเป็นผู้นำในระบบบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเคยร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ดังผู้ผลิตแชมพูและไอศกรีม สร้างเครือข่ายให้ผู้บริโภคนำบรรจุภัณฑ์กลับมาคืน แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่บริษัททำงานกับเชนร้านอาหาร ซึ่งบริบทการใช้และคืนบรรจุภัณฑ์อาจจะแตกต่างออกไป

ในประเทศอังกฤษ สาขาส่วนใหญ่ของ McDonald’s ใช้แก้วกระดาษที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้อยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าการใช้ซ้ำแก้วเดิมย่อมมีผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการเข้ากระบวนการรีไซเคิลทันที

ตัวอย่างแก้วใช้ซ้ำ (Reuse) ของ McDonald’s อังกฤษ

ระบบใหม่นี้จะให้ลูกค้ามัดจำเงินค่าแก้วใช้ซ้ำไว้ก่อน หากนั่งทานในร้านเสร็จแล้วสามารถคืนแก้วที่จุดรับคืนของ Loop ในร้านและได้รับเงินมัดจำคืนทันที หรือถ้าลูกค้าสั่งกลับบ้าน (take away) สามารถเก็บแก้วมาคืนทีหลังได้ หรือจะคืนที่จุดรับคืนอื่นๆ ของ Loop ก็ได้ นอกจากในร้าน McDonald’s แล้ว ยังมีจุดรับที่ซูเปอร์มาร์เก็ต Tesco ด้วย

หลังจากได้คืนแก้วแล้ว Loop จะเป็นผู้นำไปทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ และบรรจุหีบห่อกลับมาที่ร้านใหม่อีกครั้ง (ถ้าหากลูกค้าหาจุดรับคืนไม่เจอ ตัวแก้วเองสามารถรีไซเคิลได้)

“ทอม ซากี้” ซีอีโอ Loop มองว่า การทำระบบคืนแก้วแบบนี้สะดวกกับลูกค้ามากกว่าการต้องพกแก้วส่วนตัวไปทุกที่ “กุญแจสำคัญคือเราจะทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ซ้ำ (reuse) นั้นใช้ได้จริงกับธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องความสะดวกสบายของลูกค้า ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นกับการสร้างความสะดวกให้กับการทิ้ง แต่ยังทำให้สิ่งนั้นกลับมาใช้ซ้ำได้อยู่”

 

ถ้าระบบ ‘เวิร์ก’ อาจจะขยายไปใช้กับเมนูอื่นต่อ

การทดสอบระบบใหม่กับแก้วกาแฟครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของ McDonald’s เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดรายนี้เคยทดลองระบบแก้วใช้ซ้ำในเยอรมนีมาแล้ว แต่ระบบนั้นคือการให้ส่วนลดกับลูกค้าที่นำแก้วมาเอง และเสิร์ฟเครื่องดื่มในแก้วกระเบื้องเมื่อลูกค้าต้องการทานในร้าน ซึ่งเป็นระบบแบบเดียวกับร้านอาหารฟูลเซอร์วิสทั้งหลายทำกัน แต่สำหรับเชนฟาสต์ฟู้ดที่ลูกค้าจำนวนมากซื้ออาหารกลับบ้าน วิธีนี้จึงไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่

“เรากำลังใช้โครงการนำร่องนี้เพื่อทดสอบ และเพื่อพิจารณาว่าโมเดลการใช้ซ้ำจะใช้ได้จริงกับระบบของเราได้อย่างไร ทั้งในมุมมองของการบริหารร้าน และมุมมองของลูกค้า” เจนนี่ แมคคอลล็อค รองประธานฝ่ายความยั่งยืนระดับโลก McDonald’s Corporation กล่าว

“โครงการนี้จะเหมือนกับเวลาที่เราทดลองลงเมนูใหม่ เราต้องเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟรนไชส์ของเรา ประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับตั้งแต่การสั่งออร์เดอร์ การสัมผัสกับแก้วและเครื่องดื่มในแก้ว จนถึงการคืนแก้ว โดยเรามีแบบประเมินประสิทธิภาพของสิ่งเหล่านี้รอไว้แล้ว โครงการจะทดลองหลายๆ รูปแบบ เช่น ต้องมีเงินมัดจำจูงใจเท่าไหร่ถึงจะกระตุ้นให้ลูกค้านำแก้วมาคืน แก้วจะถูกใช้ซ้ำกี่ครั้งก่อนที่จะหายเข้าไปสู่การรีไซเคิล แม้ว่างานดีไซน์จะออกแบบมาให้แก้วใช้ซ้ำได้อย่างน้อย 100 ครั้งก็ตาม” แมคคอลล็อคอธิบาย

มีความเป็นไปได้ที่ระบบนี้จะถูกนำไปใช้กับบรรจุภัณฑ์อย่างอื่นในร้านด้วย “ถ้าหากใช้ได้จริงกับแก้วเครื่องดื่มร้อน มันอาจจะขยายไปใช้กับน้ำอัดลม หรือแมคเฟลอร์รี่ด้วยก็ได้” ซากี้กล่าว “จากนั้นก็อาจจะขยายไปถึงแพ็กเกจจิ้งที่ใช้ใส่แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย นักเก็ตไก่ ไปจนถึงพายแอปเปิล”

ซากี้ยังหวังด้วยว่า ระบบนี้อาจจะขยายไปสู่เชนร้านอาหารอื่นๆ “ความงามของเครือข่ายของเราคือ ยิ่งมีผู้เล่นในตลาดเข้ามาใช้งานมากเท่าไหร่ เครือข่ายของจุดรับคืนก็จะยิ่งมากและสะดวกขึ้นเท่านั้น”

McDonald’s เองก็หวังว่าร้านอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันจะช่วยกันทำให้ระบบนี้ก้าวหน้า “สิ่งหนึ่งที่เราเห็นบ่อยๆ ในการสร้างความยั่งยืนคือ ยิ่งมีผู้มีส่วนร่วมที่หลากหลายและมุมมองจากส่วนต่างๆ ของสังคมจำนวนมากที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จะยิ่งง่ายขึ้นในการสร้างความก้าวหน้า ในกรณีโครงการนี้คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชันเพื่อป้องกันไม่ให้ขยะไปอยู่ในธรรมชาติ” แมคคอลล็อคกล่าว

Source