จับตาธุรกิจ ‘โรงหนัง’ หลัง ‘หนังฟอร์มยักษ์’ เลื่อนฉายอีกระลอก

เพิ่งกลับมาให้บริการได้เมื่อเดือนมิถุนายนสำหรับ ‘โรงภาพยนตร์’ ของประเทศไทย ซึ่งไม่ได้แค่ถูกกดดันจากเรื่องพื้นที่ที่ถูก ‘จำกัด’ แต่ภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็นเหมือน ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดให้ผู้บริโภคยอมออกจากบ้านมารับชมภาพยนตร์ก็ยังไม่มี และเมื่อเดือน ‘กันยายน’ นี้ก็เพิ่งจะมีภาพยนตร์แม่เหล็กเข้าฉายถึง 2 เรื่อง ได้แก่ ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ซึ่งแม้ว่าในไทยจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ทั่วโลกไม่ได้ดีตาม ซึ่งนั่นอาจส่งผลต่อความมั่นใจของค่ายหนังที่จะส่งมาลงจอจากนี้

ในช่วงที่โรงภาพยนตร์ของไทยได้เปิดให้บริการอีกครั้ง หลายค่ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ลูกค้าจะเข้าหรือไม่เข้าก็ขึ้นกับหน้าหนัง” จากตอนแรกที่คาดว่าจะเริ่มมีหนังฟอร์มยักษ์มาโกยลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่กลายเป็นว่าเมื่อการระบาดของทั่วโลกยังไม่สู้ดีเหมือนไทย บรรดาค่ายหนังจึงต้องเลื่อนการฉายหนังฟอร์มยักษ์ออกไปก่อน ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ‘TENET’ และ ‘มู่หลาน’ ที่เพิ่งได้ฉายไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเลื่อนไปอีกเป็นเดือน ดังนั้น โรงภาพยนตร์ไทยจึงต้องขนหนังเก่า ๆ มาฉายเรียกคนไปก่อน

และหลังจากที่ฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทั้ง 2 เรื่องที่มีทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ทางโรงภาพยนตร์อาจจะต้องกุมขมับอีกรอบ เพราะแม้รายได้ในไทยจะทำได้ค่อนข้างดี อย่างมู่หลานก็มีโอกาสแตะ 100 ล้านบาท แต่ภาพรวมทั่วโลกนั้นไม่ได้ดีอย่างที่ดิสนีย์คาด เพราะสามารถทำรายได้เพียง 37.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่แค่พิษ COVID-19 แต่ะยังมีกระแสบอยคอตพ่วงไปด้วย ส่วน TENET พึ่งทำรายได้ผ่าน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากพิจารณาถึงทุนสร้างและค่าโปรโมตของภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่อง การจะทำให้คุ้มทุนหรือมีกำไรต้องทำรายได้ให้เกิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึงจะคุ้มทุน ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ การจะทำรายได้ให้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีความเป็นไปได้แน่นอน แต่เพราะข้อจัดกัดของโรงภาพยนตร์ที่จุคนได้เพียงครึ่งเดียว และโรงภาพยนตร์ในบางประเทศก็ยังเปิดได้ไม่ครบ อย่างในอเมริกายังเหลืออีก 30% ที่ยังไม่เปิด ส่งผลให้ค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์สเลือกที่จะเลื่อนฉาย ‘Wonder Woman 1984’ จากเดือนตุลาคมไปเป็นธันวาคมแทน หลังจากประเมินรายได้ของ TENET

ส่งผลให้ในช่วง 8 สัปดาห์จากนี้ จะไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายอีก โดยเรื่องที่จะได้เห็นเร็วสุดก็คือ ‘Black Widow’ และ ‘007 No Time To Die’ ที่จะฉายในเดือนพฤศจิกายน!

จากตัวเลขรายได้ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ชิมลางฉายไปไม่ได้เป็นไปตามเป้านั้น นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า อาจเป็นเรื่องของความ ‘มั่นใจ’ ของผู้บริโภคที่ยัง ‘กลัว’ แม้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกจะเพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัยที่ดีขึ้นก็ตาม รวมถึงข้อจำกัดด้านจำนวนความจุต่าง ๆ ที่ยังไม่เต็มที่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์แล้ว หุ้นของธุรกิจก็ปรับลดลงด้วย อย่างหุ้นของโรงภาพยนตร์สหรัฐฯ อย่าง AMC ลดลง 2.5% ส่วน Cinemark ลดลง 5.5%

จากนี้อาจจะต้องจับตาดูว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เหลือจะเลื่อนฉายยาวไปถึงปีหน้าหรือไม่ หรือโลกจะมีวัคซีนแก้ COVID-19 ได้ทันปีนี้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 อาจจะเป็นได้เพียงความฝันก็เป็นได้

Source

Source

Source