บ้านเดี่ยว “เอพี” ปี’63 เปิดกระหน่ำยอดขายโต 41% บ้าน 5-10 ล้านบาทเป็นพระเอกของปี

อสังหาฯ ปีนี้พลิกมาเป็นปีแห่งแนวราบ รวมถึง “เอพี” ที่ผ่อนเกียร์ฝั่งคอนโดฯ และหันมาเน้นบ้านเดี่ยวกับทาวน์เฮาส์แทน โดยกลุ่มบ้านเดี่ยวเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้นถึง 140% จากปีก่อน ขณะที่ทำยอดขายเติบโต 41% ขายดีที่สุดในกลุ่มบ้านราคา 5-10 ล้านบาท แบรนด์ Centro เจาะลูกค้ารายได้ 40,000-100,000 บาทต่อเดือน ใช้กลยุทธ์ดีไซน์ตอบโจทย์รายทำเล เสริมนวัตกรรมในหมู่บ้าน

“รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวปี 2563 เอพีมีการเปิดตัว 18 โครงการ มูลค่ารวม 20,430 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 140% สูงที่สุดที่บริษัทเคยเปิดมา

ปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 16 โครงการ เหลืออีก 2 โครงการที่จะเริ่มพรีเซลเดือนพฤศจิกายนนี้ คือ The City บรมราชชนนี-ทวีวัฒนา และอีกหนึ่งโครงการไฮเอนด์ย่านสาธุประดิษฐ์ 1

ด้านยอดขายของสินค้าแนวราบเอพีทั้งหมด รวมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ทำยอดขายไปแล้ว 18,400 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 วางเป้าทั้งปีไว้ที่ 22,500 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามเป้า จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน 41%

(ซ้าย) “พิมพรรณ ปรีชานนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์ และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว (ขวา) “รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)

แนวโน้มการขายจนถึงไตรมาส 4 รัชต์ชยุตม์มองว่าน่าจะเป็นไปได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากโมเมนตัมการขายยังดีอยู่ วัดจากช่วงเสาร์-อาทิตย์ 12-13 ก.ย. 63 บริษัทมีการเปิดตัวพร้อมกัน 6 โครงการ สามารถทำยอดขายรวม 1,000 ล้านบาทได้ภายใน 2 วันดังกล่าว แม้ว่าซัพพลายในตลาดจะมีมากเพราะผู้เล่นรายใหญ่หลายรายต่างหันมาทำโครงการแนวราบในปีนี้ แต่เชื่อว่าดีมานด์ในตลาดยังดูดซับได้

 

ขายดีที่สุดในกลุ่มบ้าน 5-10 ล้าน

แบรนด์หลักของบ้านเดี่ยวเอพีที่มีขายในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 3 แบรนด์ คือ Centro ราคา 4.5-12 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% ในพอร์ต The City ราคา 10-25 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% ในพอร์ต และ The Palazzo ราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 10% ในพอร์ต

(จากด้านบน) แบบบ้านแบรนด์ Centro, The City และ The Palazzo

โดยกลุ่มที่ขายดี เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุดคือ บ้านกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้แบรนด์ Centro เป็นบ้านบนที่ดินขนาด 50-70 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 175 ตร.ม. ฟังก์ชัน 3-4 ห้องนอน ดีไซน์สไตล์โมเดิร์น

แบรนด์นี้จะเป็นบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลาดกลางบน รายได้ครัวเรือนประมาณ 40,000-100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าพนักงานบริษัทและเจ้าของธุรกิจ พบว่าแม้จะเกิดสถานการณ์ COVID-19 แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ในบางธุรกิจก็ไม่กระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้ยังสร้างยอดขายได้

 

ดีไซน์ตอบรายทำเล ลงทุนนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง

กุญแจสำคัญที่ทำให้ขายได้นั้น “พิมพรรณ ปรีชานนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์ และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยวของเอพี อธิบายว่า เกิดจากกลยุทธ์การออกแบบสินค้าของบริษัทจะไม่มีการใช้แม่แบบเดียวแล้วก่อสร้างเหมือนๆ กันทุกโครงการ แต่ต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายของทำเลนั้นๆ ว่าเป็นใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ภายในครอบครัวที่อยู่อาศัยจะประกอบด้วยใครบ้าง ถอดรหัสออกมาเป็นบ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าจะตรงใจ

ยกตัวอย่างคนอาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ ไลฟ์สไตล์ยังมีความใกล้เมือง ชอบแฮงก์เอาต์นอกบ้าน แต่ถ้าเป็นคนย่านปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี ผู้ซื้อมักจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SMEs อยู่ติดบ้าน ต้องการพื้นที่ในบ้านสูงกว่า ทุกตารางเมตรของบ้านจะต้องใช้สอยประโยชน์ได้เต็มอิ่ม

คลับเฮาส์บ้านเดี่ยว The City พระราม 9 – รามคำแหง

นอกจากการดีไซน์แล้ว เอพีจะเสริมด้วยนวัตกรรมที่ “ใช้ได้จริง” ภายในโครงการและตัวบ้าน แม้จะไม่ใช่จุดหลักในการปิดการขาย แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้การอยู่อาศัยจริงหลังขายสะดวกสบายขึ้น ประหยัดขึ้น โดยเริ่มลงทุนในโครงการบ้านเดี่ยวของบริษัททุกแห่งมาแล้ว 2 ปี

ตัวอย่างนวัตกรรมที่ใช้เช่น ติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาคลับเฮาส์ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 30% โดยต้นทุนค่าติดตั้งจะถัวเฉลี่ยในราคาบ้านที่ขายและยังเป็นราคาที่ลูกค้ารับได้ ในระยะยาวแล้ว ค่าไฟฟ้าที่ลดลงจะช่วยประหยัดค่าส่วนกลางให้กับทั้งหมู่บ้าน

หรืออีกนวัตกรรมหนึ่งเป็นแอปพลิเคชัน Katsan ทำงานร่วมกับกล้องสแกนทะเบียนรถ ใช้วิธีระบุทะเบียนรถไว้ในแอปฯ เพื่อเข้า-ออกไม้กั้นแทนการใช้คีย์การ์ด และยังเพิ่มทะเบียนรถที่อนุญาตให้เข้า-ออกชั่วคราวได้ในกรณีมีเพื่อนมาเยี่ยมบ้าน ทำให้รักษาความปลอดภัยง่ายกว่าเพราะมีฐานเลขทะเบียนรถของลูกบ้านและแขกที่เข้ามาทั้งหมด ลดความวุ่นวายในการหาคีย์การ์ดและการแลกบัตรเข้า-ออก

พิมพรรณกล่าวว่า เอพีกำลังศึกษานวัตกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป แต่แกนหลักคือต้องเป็นนวัตกรรมที่คุ้มค่า หากต้นทุนสูงเกินไปก็อาจจะยังไม่ถึงจุดที่เหมาะที่จะนำมาใช้ โดยนวัตกรรมที่ลูกบ้านมักจะต้องการที่สุดคือสิ่งที่ “ช่วยลดค่าใช้จ่าย” ยกตัวอย่างที่บริษัทกำลังศึกษาขณะนี้คือเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียกลับมาใช้รดน้ำต้นไม้ในโครงการ