สาวกเตรียมตัว! Louis Vuitton จะวางจำหน่าย “เฟซชีลด์” ลายโมโนแกรมสุดหรูตุลาคมนี้

(Photo : LVMH)
อีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มขยับใช้แฟชั่นตอบโจทย์ New Normal ของโลกยุค COVID-19 “Louis Vuitton”  เตรียมวางจำหน่าย “เฟซชีลด์” ลายโมโนแกรมสัญลักษณ์ของแบรนด์ในเดือนตุลาคมนี้ คาดการณ์ราคาประมาณ 700 ปอนด์ หรือประมาณ 28,100 บาท ถือเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรีรายแรกที่ผลิตเฟซชีลด์ หลังจาก Fendi และ Burberry เริ่มจำหน่ายหน้ากากผ้าไปก่อนแล้ว

Louis Vuitton เปิดภาพตัวอย่างสินค้าใหม่ LV Shield ที่จะออกจำหน่ายวันที่ 30 ตุลาคมนี้ โดยเป็น “เฟซชีลด์” ประดับสายคาดศีรษะลายโมโนแกรมสีน้ำตาล-ทอง สัญลักษณ์ของแบรนด์ ตัวหน้ากากด้านหน้าทำจากวัสดุพลาสติกที่จะปรับสีให้เข้มขึ้นเมื่อออกแดด เหมือนกับเลนส์แว่นกันแดดขนาดยักษ์

บริเวณข้อต่อของหน้ากากกับสายคาดยังหมุนยกขึ้นได้ด้วย ทำให้ปรับไปใช้เป็นหมวกกันแดดแทนได้ กลายเป็นไอเทมที่ยังใช้ประโยชน์ได้นานแม้ว่าโลกจะผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปแล้วในอนาคต

“LV Shield จะเป็นเครื่องประดับศีรษะที่โดดเด่นสะดุดตา ทั้งมีสไตล์และช่วยป้องกันตัวคุณได้” บริษัทเจ้าของแบรนด์ระบุ “ด้วยคุณสมบัติการเปลี่ยนความโปร่งใสได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานอย่างรอบคอบ แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความหรูหราให้กับการป้องกันส่วนบุคคลของผู้สวมใส่”

(Photo : LVMH)

ขณะนี้แบรนด์ยังไม่ระบุราคาจำหน่าย แต่ถ้าเทียบกับหมวกคาดศีรษะลักษณะคล้ายกันที่เคยจำหน่ายมา สนนราคาอยู่ที่ 700 ปอนด์ หรือประมาณ 28,100 บาท ขณะที่หมวกแก๊ปธรรมดาช่วงราคาจะอยู่ระหว่าง 460-705 ปอนด์ หรือประมาณ 18,500-28,300 บาท

หลังจากหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้ารวมถึงเฟซชีลด์เริ่มกลายเป็นสิ่งสวมใส่ประจำในวิถีชีวิต New Normal ทำให้หลายแบรนด์แฟชันทยอยออกจำหน่ายสินค้าที่ตอบโจทย์โลกยุคนี้ แต่ในกลุ่มแบรนด์หรูระดับลักชัวรี Louis Vuitton นับเป็นรายแรกที่ดีไซน์เฟซชีลด์ออกมาจำหน่าย ในขณะที่ “หน้ากากผ้า” มีแบรนด์เริ่มทำตลาดไปก่อนแล้ว เช่น Fendi และ Burberry

ปีนี้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อรายได้กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม โดยผลประกอบการของ LVMH ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 18,393 ล้านยูโร ลดลง -27% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรจากการทำธุรกิจอยู่ที่ 1,671 ล้านยูโร ลดลง -68%

จึงเป็นไปได้ว่า แม้แต่แบรนด์หรูก็ต้องทำทุกทางเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายผู้บริโภคในยุค New Normal เพื่อฟื้นรายได้-กำไรของตนเอง

Source: Forbes, Dezeen