เมื่อเเบตเตอรี่ “ถูกลง” รถยนต์ไฟฟ้าอาจมี “ราคาเท่า” รถใช้น้ำมัน ภายในปี 2024

(Photo by Zhang Peng/LightRocket via Getty Images)

ผลวิจัยของ UBS ชี้รถยนต์ไฟฟ้า อาจมีราคาเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ภายในปี 2024 หรืออีก 4 ปีข้างหน้านี้ เเละอาจมียอดขายครองสัดส่วนตลาดรถยนต์โลกมากขึ้นถึง 40% ได้ในปี 2030 

งานวิจัยล่าสุดของ UBS ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด 7 แห่งทั่วโลก

พบว่า รถยนต์ไฟฟ้า มีเเนวโน้มจะมีราคาเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ได้ภายในปี 2024 เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่มีราคาถูกลง รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลดลงไปอีก 

โดยคาดว่าในปี 2022 ส่วนต่างที่เเพงกว่าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ใช้น้ำมัน จะลดลงเหลือเพียง 1,900 เหรียญสหรัฐ (ราว 60,000 บาทต่อคัน) และต้นทุนในการผลิตรถยนต์ทั้งสองเครื่องยนต์จะใกล้เคียงกันได้ ภายในปี 2024

ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่กำลังจะเข้าสู่ยุคเเห่งการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ใช้น้ำมัน) มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ก่อนหน้านี้ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้งในจีนเเละเกาหลีใต้เลี่ยงที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่มีราคาแพง โดยราคาแบตเตอรี่ คิดเป็น 1 ใน 4 ถึง 2 ใน 5 ของราคารถทั้งคันเลยทีเดียว

UBS มองว่า ราคาแบตเตอรี่จะลดลงต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ (ราว 3,000 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh)

หลังปี 2025 จะไม่มีเหตุผลที่ผู้คนจะเลือกซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกต่อไปTim Bush นักวิจัยของ UBS analyst กล่าว

เเม้ตอนนี้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีส่วนต่างที่เเพงกว่า เช่น การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Volkswagen Golf รุ่นใหม่ ที่มีราคาประมาณ 20,280 ปอนด์ (ราว 8.2 เเสนบาท ตามราคาในอังกฤษ) ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเเรกของ Volkswagen อย่าง ID-3 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 29,990 ปอนด์ (ราว 1.2 ล้านบาท ตามราคาในอังกฤษ)

Jaguar Land Rover ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ออกรถยนต์ไฟฟ้า Jaguar I-Pace ในราคาที่ 64,495 ปอนด์ (ราว 2.6 ล้านบาท ตามราคาในอังกฤษ) เเม้จะมีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษเเเล้ว เเต่ก็ยังสูงว่ารุ่น Jaguar F-Pace ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งราคาอนู่ที่ 44,845 ปอนด์ (ราว 1.8 ล้านบาท ตามราคาในอังกฤษ)

เเต่ต่อไป เมื่อราคาแบตเตอรี่ลดอย่างรวดเร็ว ทำให้คาดว่าผู้คนจะสามารถเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วกว่าที่คาด ซึ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปและจีนก็กำลังเฟื่องฟู

Matthias Schmidt นักวิเคราะห์ด้านตลาดรถยนต์ มองว่า สหภาพยุโรปจะสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้ถึง 1 ล้านคันในปีนี้ จากตลาดรถยนต์ทั้งหมด 11 ล้านคัน

UBS ประเมินส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2025 ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองส่วนแบ่งการตลาดได้ 17% และในปี 2030 อาจมีส่วนแบ่งถึง 40% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก

ความต้องการเเบตเตอรี่ของเหล่าบริษัทชั้นนำเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ โดยดาวรุ่งเเห่งรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla เริ่มเจรจาลงทุนกับรัฐบาลอินโดนีเซีย ประเทศผู้ผลิต “แร่นิกเกิล” มากที่สุดในโลก เเละมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 46% เป็น 550,000 ตันต่อปี

เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้บรรลุข้อตกลงกับ LG Chem ของกาหลีใต้ และ CATL ของจีนเพื่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมนี้ของอินโดนีเซียเริ่ม “เนื้อหอม” ขึ้นมาทันที ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของการผลิตแบตเตอรี่ ที่จะดึงดูดบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกหลายเจ้าเข้ามาลงทุนต่อไป

 

ที่มา : The Guardian , CleanTechnica