สู้ไม่ไหว ‘Walmart’ ถอนตัวจากญี่ปุ่นโดยขายหุ้นของ ‘Seiyu’ ให้ ‘KKR’ และ ‘Rakuten’

จากความพยายามเกือบ 20 ปีของ ‘Walmart (วอลมาร์ต)’ บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่สัญชาติอเมริกา ในการบุกตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในญี่ปุ่น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันได้

ย้อนไปปี 1956 เครือซูเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่น ‘Seiyu’ ได้ถือกำเนิดโดย Seibu Group จนกระทั่งมาเจอกับปัญหาหนี้สินบวกกับวิกฤตเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงปี 1990 หลังจากนั้น 12 ปี ‘Walmart’ ที่กำลังถึงทางตันกับตลาดบ้านเกิดจึงได้เริ่มเดินหน้าขยายธุรกิจไปในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน และ ‘ญี่ปุ่น’ โดย Walmart ได้ทุ่มเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์ใน Seiyu เมื่อปี 2002 และได้กลายเป็นเจ้าของกิจการเต็มตัวในปี 2008

(Photo by Al Bello/Getty Images)

แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีผู้เล่นท้องถิ่นในตลาดหลายราย อาทิ Aeon และ Seven & I Holdings เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven นอกจากนี้ยังมีการรุกคืบของ e-commerce รายใหญ่อย่าง ‘Amazon’ ส่งผลให้ธุรกิจของ Seiyu ขาดทุน 200 ล้านเยนในปี 2016 และในปี 2017 ทำได้แค่เท่าทุนเท่านั้น ดังนั้น Walmart จึงตัดสินใจขายกิจการของ Seiyu โดยประเมินมูลค่าไว้ที่ 3-5 แสนล้านเยน

ปัจจุบัน Walmart ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Seiyu ให้กับ KKR และ Rakuten ในข้อตกลงที่ให้มูลค่า Seiyu ที่ 1.725 แสนล้านเยนหรือประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ โดยข้อตกลงดังกล่าวกองทุนหุ้นเอกชน KKR เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 65% ส่วน Rakuten ถือ 20% และ Walmart ถือ 15% ส่งผลให้ Walmart กลายเป็นต่างชาติรายล่าสุดที่พ่ายให้ตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่น โดยก่อนนี้มี ‘คาร์ฟูร์’ ของฝรั่งเศสที่ออกจากตลาดในปี 2005 และ ‘เทสโก้’ ของอังกฤษที่ออกจากตลาดในปี 2011

ปัจจุบัน Seiyu มีสาขามากกว่า 300 แห่งทั่วญี่ปุ่น โดยข้อตกลงกับ Rakuten และ KKR อยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎข้อบังคับและคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในต้นปีหน้า ทั้งนี้ Rakuten และ KKR กล่าวว่า พวกเขาจะเร่งการลงทุนในการดำเนินงานดิจิทัลของ Seiyu เนื่องจากการระบาดใหญ่กระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ในญี่ปุ่น

Source