ใครกันนะลูกค้าหน้าใหม่

DINKs Trend

เป็นกลุ่มลูกค้าที่แบรนด์ต้องจับตาในปีหน้า DINKs เป็นคำสั้นๆ ที่ย่อมาจาก “Double Income, No Kids” ไว้เรียกคู่สามี-ภรรยา ที่ยังไม่มีลูก โดยปรากฏครั้งแรกในหนังสือขายดีของ Pat Buchanan ที่ชื่อว่า The Death of the West

ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องเงินที่ทำให้คนกลุ่มนี้ตัดสินใจใช้ชีวิตครอบครัวกันเพียงแค่สองคน DINKs ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พวกเขามีเงินเก็บสะสมเพียงพอที่จะสามารถเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เรียนจบมีการศึกษาได้อย่างไม่ลำบาก เพียงแค่พวกเขาติดใจชีวิตอิสระ ที่ยังไม่มีพื้นที่ให้สมาชิกคนที่สามในครอบครัวมาเติมเต็มเท่านั้น

DINKs กลายเป็นกลุ่มที่นักการตลาดของไทยกำลังจับตาอย่างมาก เนื่องจากกำลังซื้อที่มีมหาศาลจากสองกระเป๋า และอยู่ในช่วงวัยที่ยอมจับจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งไลฟ์สไตล์ที่พวกเขาต้องการ

จากการสำรวจแนวโน้มประชากรโลกก็พบว่า ตั้งแต่ปี 1995 – 2015 อัตราการเติบโตของกลุ่ม DINKs เพิ่มสูงขึ้นถึง 143.8%

และในปี 2015 มีการคาดการณ์ว่า ประชากรสูงอายุจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 44% ของประชากรโลกทั้งหมด และเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรวัยรุ่นถึง 3 เท่า

Home Cocooning

ปัจจุบัน มีผู้บริโภคที่เคร่งเครียดและเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานจำนวนมาก ที่เพลิดเพลินกับไอเดียในการใช้เวลาว่างที่บ้าน

พวกเขาชื่นชอบการอาศัยอยู่ในบ้านที่เปรียบเหมือนเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้บ้านกลายเป็นฮับแห่งความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาจากนอกบ้านอีกต่อไป เพราะอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ช่วยให้ Home Cocooning สามารถ Explore โลกภายนอกได้จากในบ้าน ทั้งการช้อปปิ้งออนไลน์ หรือแม้กระทั่ง Work-at-home ก็สามารถทำได้

Home Entertainment และความก้าวหน้าทางด้านระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกใช้เวลาอยู่ในบ้านมาก

จากข้อมูลของ DraftFCB ระบุว่า ตัวเลขที่ชี้ชัดว่าเทรนด์ Home Cocooning กำลังมาแรงมากแค่ไหน เพราะในปัจจุบัน 77% ของผู้ชายชอบดูโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งระหว่างปี 2005 – 2006 ยอดขาย Plasma TV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากถึง 95% จาก 1,128,205 เครื่อง เป็น 2,200,000 เครื่อง

ยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในไตรมาส 3 ของปี 2010 อยู่ที่ 88,300,000 เครื่อง เติบโต 7.6% ขณะที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 13.6%

ในปี 2010 ยอดขายของ Xbox อยู่ที่ 40 ล้านเครื่อง ส่วนเครื่องเล่นเกม Wii มียอดขายประมาณ 67 ล้านเครื่อง ขณะที่ Play Station 3 ยอดขายในปี 2010 อยู่ที่ประมาณ 30 ล้านเครื่อง