ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ พร้อมจ่ายปันผลครึ่งปี 2548 0.12 บาท ต่อ หุ้น

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่สอง ของปี 2549 มียอดรับรู้รายได้ที่ 507.69 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกเท่ากับ 12.77% และเมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนปรับลดลง 29.15% ทำให้มีกำไรต่อหุ้นในไตรมาสสองเท่ากับ 0.13 บาทต่อหุ้น ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน 20.56% และมีรายได้รวมครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,090 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 237 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.29 บาทต่อหุ้น โดย ณ สิ้นไตรมาสที่สอง บริษัทฯ มีสินทรัพย์สุทธิ 4,460.24 ล้านบาท และหนี้สินสุทธิ 1,187.63 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ 3,272.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น Price to Book Value ต่อหุ้นเพียง 1.11–1.13 เท่า ณ ระดับราคาหุ้นปัจจุบันที่เคลื่อนไหวระหว่าง 4.40–4.50 บาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัท ในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ระดับเพียง 0.36 เท่า

ทั้งนี้บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่ 0.12 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อราคาตลาดของหุ้นประมาณ 5%-6% โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนหุ้นเพื่อรับเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2549 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2549

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันนี้ ค่อนข้างมีความผันผวนสูงอันเนื่องมาจากภาวะแวดล้อมที่มีแต่ปัจจัยลบเข้ามากระทบธุรกิจดังต่อไปนี้

1. ความไม่แน่นอนทางการเมือง
2. ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีความผันผวน
4. การปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อโครงการจากธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดมากขึ้น

จากเหตุดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจทั่วไปได้รับผลกระทบด้านลบทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ปัจจัยที่มีผลกระทบด้านลบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผู้ต้องการซื้อบ้านอยู่อาศัยก็เริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้วเช่น การกำหนดวันเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคมปีนี้ การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวของธนาคารกลางสหรัฐฯและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25% ต่อปี หรืออาจกล่าวได้ว่าอัตราดอกเบี้ยได้เกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว สำหรับในด้านผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯในอนาคตก็น่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการลดน้อยลง เนื่องจากการระดมเงินทุน และการกู้ยืมจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ ลำบากมากขึ้น

สำหรับความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อบ้านที่มีรายได้ระดับกลาง หรือบ้านที่มีระดับราคาต่อยูนิตที่ 2 – 5 ล้านบาท คือกลุ่ม Real Demand ซึ่งยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ซื้อกลุ่มดังกล่าวเกิดความไม่แน่ใจในกำลังผ่อนชำระ อันเนื่องจากดอกเบี้ยและราคาน้ำมัน เเละผู้ซื้อกลุ่มดังกล่าวจะเริ่มตัดสินใจที่เข้ามาซื้อบ้านอีกหลังจากผลกระทบดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นเริ่มชัดเจนขึ้น

ส่วนแผนธุรกิจของบริษัทฯ ก็ได้มีการเปิด 3 โครงการใหม่บริเวณเขตตะวันออกของกรุงเทพฯ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ คือ

1. โครงการทาวน์เฮ้าส์ The Balcony Home อ่อนนุช วงแหวน บางนา สุวรรณภูมิ จำนวน 150 ยูนิต มูลค่าโครงการที่ 420 ล้านบาท

2. โครงการบ้านลลิล The Young Executive อ่อนนุช-วงแหวน-บางนา-สุวรรณภูมิ จำนวน 166 ยูนิต มูลค่าโครงการที่ 650 ล้านบาท

3. โครงการลลิลกรีนวิลล์ The Executive อ่อนนุช วงแหวน บางนา สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดในไตรมาส 3

และในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทฯ ได้มีการจัดรายการสนับสนุนการขายพิเศษร่วมกับทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่ 0% ในปีแรก และ MLR-0.75% ในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งถือเป็นการช่วยผู้ซื้อบ้านของลลิลฯ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
โทร.0-2732-1041-5
โทรสาร 0-2377-9656