“โอเชียนกลาส” มุ่งสร้างเครือข่าย รุกตลาดใหม่ ยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้

เผยกลยุทธ์บุกตลาดต่างประเทศ ด้วยการสร้างตัวแทนจำหน่ายที่เข้มแข็ง นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการผู้บริโภค และทำกิจกรรมสื่อสารการตลาด

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้จัดการส่วนการตลาดภูมิภาคยุโรป อเมริกาและ Far East Asia บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแก้วโอเชียนกลาส เปิดเผยว่า โอเชียนกลาสประสบความสำเร็จในการขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2549 บริษัทมีสัดส่วนการขายระหว่างตลาดต่างประเทศและในประเทศเท่ากับ 62% และ 38% ตามลำดับ ซึ่งเอเชียยังคงเป็นตลาดหลัก รองลงไปได้แก่ ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

“กลยุทธ์สำคัญในการทำตลาดต่างประเทศของโอเชียนกลาส คือ การสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายในแต่ละประเทศที่เราเข้าไปเพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าโรงแรม ร้านอาหารต่างๆ กลุ่มสินค้าพรีเมี่ยม รวมไปถึงธุรกิจรีเทล ประการต่อไป คือเราต้องพัฒนาและนำเสนอเครื่องแก้วคุณภาพดี พร้อมดีไซน์ที่เหมาะสมกับตลาด อย่างเช่น ยุโรปและอเมริกานิยมแก้วขนาดใหญ่ ประมาณ 13-16 ออนน์ ในขณะที่แก้วสำหรับตลาดญี่ปุ่นต้องเป็นใบเล็ก ความจุประมาณ 8-10 ออนน์ กลยุทธ์สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ เน้นการสร้างแบรนด์และทำกิจกรรมสื่อสารการตลาดต่างๆ ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่ เช่น การออกบูธในงานแสดงสินค้า, โฆษณาในนิตยสาร และ product placement ในทีวีโปรแกรม” นายสุเมธกล่าว

นายสุเมธ เล่าถึงการเปิดตลาดใหม่ว่า “ประเทศแถบยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้ มีความน่าสนใจเพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และผู้บริโภคมีอำนาจการซื้อ มีแนวโน้มการเติบโตสูง นอกจากนี้ ชาวยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้ยังมีความนิยมต่อสินค้าที่มีคุณภาพดีอีกด้วย ซึ่งตรงกับการวางตำแหน่งสินค้าของโอเชียนกลาสโดยมุ่งเน้นที่คุณภาพและดีไซน์ที่เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ (Lifestyle) ของผู้บริโภคที่นี่”

“โอเชียนกลาสมีผู้แทนจำหน่ายในฮังการี เอสโตเนีย เม็กซิโก และบราซิล ผลิตภัณฑ์ที่ยุโรปตะวันออกนิยม คือ แก้วเครื่องดื่มแบบต่างๆ ส่วนประเทศในแถบอเมริกาใต้จะชอบแก้วพิมพ์ที่มีลวดลาย และสีสันที่สดใส” นายสุเมธกล่าว

การบุกตลาดใหม่ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของโอเชียนกลาสที่สามารถสร้างเครือข่ายและขยายแบรนด์ “โอเชียน กลาส” สู่ตลาดโลก โดยมียอดขายจากตลาดในแถบยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้เพิ่มขึ้นในปี 2549 ประมาณ 60 % และคาดว่ายอดขายในปี 2550 น่าจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง