เอไอเอสร่วมรณรงค์ขับปลอดภัย “ขับไม่โทร โทรไม่ถือ เพื่อความปลอดภัย”

เอไอเอสร่วมรณรงค์ขับปลอดภัย มอบอุปกรณ์เสริม 20,000 ชุด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแคมเปญ “ขับไม่โทร โทรไม่ถือ เพื่อความปลอดภัย” เพื่อขานรับพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับที่ 8 พ.ศ.2551 ที่ประกาศห้ามผู้ขับรถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ เว้นแต่ใช้อุปกรณ์เสริมในการสนทนา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.นี้ เป็นต้นไป

นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า “จากการที่มีประกาศใช้พระราชบัญญัติจราจร ฉบับที่ 8 พ.ศ.2551 เพื่อกำหนดห้ามผู้ขับขี่รถยนต์ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ เว้นแต่ในกรณีมีความจำเป็นต้องใช้จะต้องมีอุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่จะต้องไม่ถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.นี้เป็นต้นไป เอไอเอสในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนที่มีความจำเป็นต้องใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับขี่รถยนต์ จึงร่วมรณรงค์ขับปลอดภัยในแคมเปญ “ขับไม่โทร โทรไม่ถือ เพื่อความปลอดภัย” โดยมอบอุปกรณ์เสริมจำนวน 20,000 ชุด รวมมูลค่า 1.6 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปใช้เป็นประโยชน์ในขณะปฏิบัติงาน และแจกให้แก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป

และเนื่องจากเอไอเอสได้มองเห็นถึงความสำคัญในการรณรงค์เพื่อขับขี่อย่างปลอดภัยนี้ ดังนั้น นอกจากแคมเปญ “ขับไม่โทร โทรไม่ถือ เพื่อความปลอดภัย” แล้ว เอไอเอสยังได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการรณรงค์ขับปลอดภัยในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับ “มูลนิธิเมาไม่ขับ” จัดทำสติ๊กเกอร์ “โทรไม่ถือ” แจกให้แก่ลูกค้าเอไอเอสและประชาชนเพื่อเป็นการย้ำเตือนผู้ขับขี่รถยนต์ , จัดแคมเปญให้ลูกค้าเอไอเอสเลือกซื้ออุปกรณ์เสริม “บลูธูท” ได้ในราคาพิเศษ (ส่วนลดสูงสุดถึง 40%) ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพียงนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปแสดงที่เอไอเอสช็อป , ร้านเทเลวิซ และเซเรเนดคลับ ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กรกฎาคม 2551 และการจัดกิจกรรม “เอไอเอสห่วงใยคุณ สนับสนุนโครงการขับปลอดภัยด้วยบลูธูท” ที่เอไอเอสฟิวเจอร์เวิลด์ ตั้งแต่วันนี้ – 10 พฤษภาคม 2551 โดยมีการให้คำแนะนำการใช้บลูธูทบนท้องถนนอย่างปลอดภัยในแง่มุมต่างๆ รวมทั้งการให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจกับกฎหมายใหม่นี้ด้วย”