ฮาริสันรุกเจาะตลาดตะวันออกกลาง นำโครงการอสังหาฯเสนอนักลงทุนประเดิมก่อนที่ดูไบ

ฮาริสันฯ เดินทัพบุกตะวันออกกลาง รุกนำโครงการอสังหาไทยฯ ขายนักลงทุนต่างชาติ ประเดิมชิมลางตลาดดูไบก่อน คาดได้รับการตอบรับดี เนื่องจากอสังหาฯในไทยมีราคาไม่สูง และผลตอบแทนดี เผยต้องพยายามหาตลาดใหม่ ๆ หวั่นตลาดในสิงค์โปร์ และฮ่องกง เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายหลังหลายประเทศแห่นำโครง -การเข้าไปขาย

นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ เตรียมที่จะขยายฐานกลุ่มลูกค้าออกไปยังกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางโดยเฉพาะที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงประเทศในแถบใกล้เคียง โดยการนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยเฉพาะในส่วนของที่อยู่อาศัยมาเสนอขายให้กับนักลงทุนที่สนใจ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนในตะวันออกกลางให้ความสนใจโครงการในประเทศไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังมีราคาที่ไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันประเทศไทยในสายตาของชาวต่างชาติ ถือเป็นประเทศที่น่าอยู่อาศัยเนื่องจากมีวัฒนธรรมที่ยาวนาน มีความเป็นกันเองของคนไทยเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย และทำธุรกิจ ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างวางแผนงานที่จะจัดทำ Solo Exhibition ที่ดูไบ เป็นที่แรกเพื่อเป็นการแนะนำโครงการจากประเทศไทยก่อน ซึ่งถ้าได้รับการตอบรับที่ดีก็จะขยายไปยังประเทศอื่น ๆต่อไป โดยในปัจจุบันดูไบ ถือเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว และประชากรของที่นี่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้ที่ดูไบ ถือเป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตา โดยก่อนหน้านี้เราทำตลาดเฉพาะที่ สิงค์โปร์ ฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ เป็นหลัก แต่ตอนนี้ทั้ง 3 ประเทศเริ่มมีโครงการจากหลาย ๆ ประเทศเข้ามาแข่งขันกันมาก ซึ่งดูแล้วอาจเกิดภาวะ โอเวอร์ซัพพลายได้ โดยปัจจุบันมีโครงการทั้งจากประเทศไทย มาเลเชีย สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้ามาทำตลาดในสิงค์โปร์แล้วมากกว่า 20 โครงการ (เฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมเดือนเดียว) ขณะ ที่ในฮ่องกงตลาดก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่ เนื่องจากมีประชากรที่มากกว่าและกลุ่มลูกค้าหลากหลายกว่า ” นายกิติศักดิ์ กล่าว

นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ต้องพยายามหาแนวทางการทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น จะมาเน้นเฉพาะในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวโอกาสการเติบโตก็จะไม่มาก แต่การทำตลาดในต่างประเทศต้องใช้ระยะเวลา และต้องมีเครือข่ายและประสบการณ์ที่ดีจึงจะสามารถทำได้ เนื่องจากลักษณะ วัฒนธรรมของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน โดยปัจจุบันหลังจากที่บริษัทฯ เปิดตลาดในสิงค์โปร์ก็มีผู้ประกอบการรายอื่น ๆ พยายามเข้ามาทำตลาดทั้งจากประเทศไทยเอง และต่างประเทศ ทำให้ตอนนี้ที่สิงค์โปร์มีซัพพลายมากกว่ เกรงว่าจะเกิดการโอเวอร์ ซัพพลายขึ้น แต่ที่ฮ่องกงยังมีทิศทางเติบโตที่ดีเนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า และมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก