แสนสิริเผยแผนปี 52’ เดินหน้าเปิดตัวโปรเจกใหม่ 16 โครงการ

กลุ่มบริษัทแสนสิริ จัดทัพเดินหน้ารับแผนการรุกเป้าหมายอันดับหนึ่ง ขานรับต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ – ปรับลดอัตราดอกเบี้ย วางกลยุทธ์รุกหนักเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างครบวงจร ทั้ง “บ้านเดี่ยว-คอนโดฯ-ทาวน์เฮาส์” ครอบคลุมทุกเซกเมนต์อีก 16 โครงการ รวมแผนปี 2552 มีโปรเจกรองรับการขยายธุรกิจทั้งสิ้นประมาณ 60 โครงการ เผยไตรมาสแรกเตรียมลุยเปิดตัวคอนโดมิเนียมโปรเจกยักษ์ 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายรวมปีฉลู 17,000 ล้านบาท ในขณะที่ตุนยอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) สูงสุดในระบบถึงกว่า 17,000 ล้านบาท รองรับรายได้ช่วง 1-3 ปี ระบุเน้นขยายการลงทุนอย่างมีวินัย และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายรับให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นมา สามารถรักษาระดับยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม เป็นผลจากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่อยู่อาศัยในทุกประเภท อาทิ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ จนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้า โดยในปี 2551 กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือทั้งหมด มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งสิ้นกว่า 57 โครงการ สามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 2,200 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 11,500 ล้านบาท รวมทั้งมีประมาณการเกี่ยวกับยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และพร้อมจะส่งมอบให้กับลูกค้า มีมูลค่าถึง 17,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ทำให้มั่นใจว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริจะยังคงมีการเติบโตที่ต่อเนื่อง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2552 นั้น กลุ่มบริษัทแสนสิริจะยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 16 โครงการ ในทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย มูลค่าโครงการขายประมาณ 20,700 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อสอดรับกับสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปี 2551 กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2552 ประมาณ 60 โครงการ ส่วนประมาณการยอดขายรวมสำหรับปี 2552 ไว้ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท

” การที่ภาครัฐ ขยายเวลามาตรการการลดภาษีกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2553 จากเดิมที่จะหมดอายุภายในวันที่ 28 มีนาคม 2552 โดยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 0.1 และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 พร้อมสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 150,000 บาท เป็น 250,000 บาท รวมทั้งปัจจัยบวกจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ดังนั้นกลุ่มบริษัทแสนสิริจึงวางแผนการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมซื้อที่ดินในทำเลที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ที่กลุ่มบริษัทแสนสิริจะมีการทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2552 ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 7,600 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 3 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 7,600 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 7 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 5,500 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นเกือบ 20,700 ล้านบาท

ทั้งนี้ แผนธุรกิจในปี 2552 สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ การเสริมความแข็งแกร่งในการขยายตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อให้กลุ่มบริษัทแสนสิริเป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจรที่สุด โดยในช่วงไตรมาสแรก บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการการคอนโดมิเนียมโปรเจกยักษ์ 3 โครงการ ที่นำเสนอรูปแบบการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในชีวิตเมืองอย่างแท้จริง

“แผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปี 2552 มีกลยุทธ์ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ ได้แก่ การสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ รวมทั้งการขยายฐานการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่านบริษัทในเครือต่าง ๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีปัจจัยเกื้อหนุน และมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ทั้งนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริก็ให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนอย่างมีวินัยทางการเงิน และระมัดระวังในด้านการพึ่งพาการกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ในทุกโครงการของแสนสิริเป็นอย่างดีในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายรับให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่กลุ่มแสนสิริมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1-3 ปี ประมาณ 17,000 ล้านบาท ที่เป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบในขณะนี้ นับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม” นายเศรษฐา กล่าว