สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านวอนครม.ดันมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านวอนรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ให้ครอบคลุมถึงธุรกิจรับสร้างบ้าน หลังมาตรการส่วนใหญ่ครอบคลุมเฉพาะธุรกิจบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม ชี้ตลาดรับสร้างบ้านมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 50,000 ล้านบาท หากมาตรการครอบคลุมคาดสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้ตรงจุด

นายพันธุ์เทพ ทานชิติกุล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า จากการที่ภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่ โดยมุ่งประเด็นไปที่การขยายการลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยจาก 100,000 บาท เป็น 200,000 บาท ซึ่งมาตรการดังกล่าวระบุไว้เฉพาะโครงการ บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเท่านั้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน บนที่ดินของตนเอง

ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้นัดประชุม เพื่อพิจารณารายละเอียดของมาตรการดังกล่าว ในวันพรุ่งนี้ (อังคารที่ 7 ม.ค. 2552) ทางสมาคมฯจึงเสนอให้รัฐบาลเห็นถึงประโยชน์ที่จะช่วยในการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างครอบคลุม จึงต้องการเสนอแนะให้มีพิจารณาเพื่อกำหนดกรอบมาตรการให้ครอบคลุมถึงกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านด้วย เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุดอีกทางหนึ่ง

ปัจจุบันสมาคมฯ ได้ทำหนังสือไปถึงนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เร่งพิจารณารวมธุรกิจรับสร้างบ้านเข้าไปอยู่ในมาตรการในการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วย เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจรับสร้างบ้านถือเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจำนวนบ้านสร้างเองเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเฉลี่ยแล้ว จะมีการก่อสร้างมากถึง 20,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และลูกค้ากว่า 60% ใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน

“มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯของภาครัฐที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุมถึงธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของประเทศเช่นกัน ตั้งแต่ในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนอง จาก 2 % เป็น 0.01% ก็ระบุเฉพาะโครงการที่เป็นบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเท่านั้น หากภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายให้ครอบคลุมมาถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน ก็จะสามารถช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดนี้ที่มีอยู่จำนวนมากได้เช่นกัน” นายพันธุ์เทพ กล่าว

นายพันธุ์เทพ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านถือเป็นตลาดหนึ่งที่มีอัตราการเติบโต มาโดยตลอด โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของ สินเชื่อ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคจะมีวินัยทางการเงินสูง เนื่องจากต้องวางแผนในการซื้อที่ดินก่อนแล้วค่อยปลูกสร้างบ้านในภายหลัง ขณะที่ในรอบปี 2551 ที่ผ่านมาตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองเช่นกัน โดยกลุ่มผู้บริโภคส่วนหนึ่งมีการชะลอการตัดสินใจในการปลูกสร้างบ้าน เพื่อดูความชัดเจนของภาคเศรษฐกิจและการเมือง

ในส่วนของสมาคมฯ พยายามที่จะเร่งกระตุ้นกำลังซื้อให้มากขึ้นเช่นกันไม่ว่าจะเป็น การเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อให้นำเสนอสินเชื่อที่เป็นที่จูงใจ การจัดงานแสดงสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งหากภาครัฐหันมาให้ความสนใจในธุรกิจรับสร้างบ้านเช่นเดียวกับตลาดบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม คาดว่าจะช่วยให้กำลังซื้อกลับเข้ามาในตลาด และยังสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมไม่ว่าจะเป็น กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน สถาบันการเงิน ผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน