จีนนับเป็นประเทศผู้บริโภคเหล็กขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ประมาณ 1 ใน 3 ของการบริโภคเหล็กทั่วโลก) และกว่าครึ่งเป็นการใช้เหล็กเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ดังนั้นการที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดปัญหาฟองสบู่ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณความต้องการใช้เหล็กเพื่อการก่อสร้างของโลก โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวประเภทต่างๆ ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ราคาเหล็กก่อสร้างในตลาดโลกปีเสือนี้ ไม่ปรับขึ้นร้อนแรงอย่างที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ว่าจะปรับขึ้นไปสูงกว่าปีก่อนมากจากปัจจัยสนับสนุนทั้งสภาพเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบเหล็กและการขนส่งเหล็กที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทิศทางราคาเหล็กก่อสร้างโดยเฉพาะในจีนก็ได้เริ่มส่งสัญญาณปรับลดลงมาระยะหนึ่งแล้ว
ผลของมาตรการของจีนต่อแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลก อาจจะส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาเหล็กก่อสร้างในไทยด้วย ทำให้ในระยะข้างหน้านี้ราคาเหล็กก่อสร้างของไทยยังมีปัจจัยกดดันที่ทำให้ราคาปรับสูงขึ้นไปไม่มากอย่างที่หลายฝ่ายได้เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อดังกล่าวที่จะส่งผลต่อทิศทางราคาเหล็กก่อสร้างไทยในระยะข้างหน้า โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ราคาเหล็กก่อสร้างปีเสือของไทย…มีแนวโน้มขาขึ้น
จากรายงานตัวเลขดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กล่าสุดในเดือนมกราคม 2553 พบว่าขยายตัวร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคมปีที่แล้วร้อยละ 0.9 แสดงถึงทิศทางการเริ่มขยับขึ้นของราคาเหล็กก่อสร้างของไทย ซึ่งในระยะต่อจากนี้ไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาเหล็กในไทยจะได้รับปัจจัยบวกหลายประการจากทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2552 ค่อนข้างมาก โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่
สภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศโดยรวมมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างชัดเจน ทำให้ภาคการผลิต การลงทุนและการบริโภคในไทยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับกิจกรรมในด้านการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประการมีสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้การลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นตามมา
โครงการก่อสร้างต่างๆโดยเฉพาะจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การตั้งวงเงินงบประมาณในโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ระยะที่ 2 (ปี 2553 – 2555) หรือเอสพี 2 เป็นมูลค่าสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ที่โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้ จะเริ่มมีการเบิกจ่ายเพื่อลงทุนในหลายโครงการ ทำให้มีแนวโน้มที่ความต้องการใช้เหล็กเพื่อการก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้น
ต้นทุนวัตถุดิบเหล็กที่สำคัญมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะมีผลกดดันให้ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยวัตถุดิบเหล็กที่สำคัญ เช่น สินแร่เหล็ก ถ่านหิน และเศษเหล็ก เป็นต้น มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากทิศทางความต้องการเหล็กในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
ราคาถ่านหินและเศษเหล็กต่างมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่ราคาสินแร่เหล็กแม้ในช่วงปลายปีจะปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี เนื่องจากเป็นผลของราคาที่ทำสัญญาไว้ล่วงหน้า แต่แนวโน้มในช่วงต่อไปมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น จากปริมาณสินแร่เหล็กในตลาดที่มีแนวโน้มลดลง หลังอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก มีการปรับขึ้นภาษีส่งออกสินแร่เหล็กอีกร้อยละ 5 เพื่อป้องกันการขาดแคลนในประเทศ โดยราคาสินแร่เหล็กที่ใช้ผลิตเหล็กต้นน้ำซึ่งปรับเพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลทำให้เหล็กขั้นกลางและปลายน้ำซึ่งมีการผลิตในไทยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นของราคาเหล็กก่อสร้างของไทยอาจจะยังมีปัจจัยกดดันที่ทำให้ไม่สามารถปรับสูงขึ้นไปมากได้อย่างที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกมาตรการควบคุมสินเชื่อของจีน เพื่อลดการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
มาตรการควบคุมสินเชื่อจีน…ตัวแปรสำคัญลดความร้อนแรงของการปรับขึ้นราคาเหล็กก่อสร้าง
ในช่วงที่ผ่านมา จีนได้มีการออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการประเภทอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวดด้วยวิธีการต่างๆอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะๆ เพื่อสกัดกั้นความร้อนแรงของการปล่อยสินเชื่อในประเทศ เช่น การปรับแก้เงื่อนไขการให้สิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีการขายที่อยู่อาศัยจากที่ต้องถือครอง 2 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 5 ปี กระทั่งถึงการปรับเกณฑ์การชำระเงินดาวน์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 จากเดิมที่ให้จ่ายเงินดาวน์ล่วงหน้าในอัตราเพียงร้อยละ 20 ถึง 30 ของมูลค่าที่ดินเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ได้จำกัดสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยบางประเภท หรือบ้านหลังที่สอง รวมถึงการประกาศเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองสำหรับธนาคารอีกร้อยละ 5 มาอยู่ที่ร้อยละ 15 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับตั๋วเงินคลังอายุ 1 ปี รวมถึงการย้ำให้ธนาคารต่างๆ ควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างสมเหตุสมผล และรักษาระดับการปล่อยสินเชื่อในแต่ละไตรมาส
โดยคณะกรรมการควบคุมกฎระเบียบธนาคารจีนได้ตั้งเป้าควบคุมการปล่อยสินเชื่อก้อนใหม่ ให้อยู่ภายในวงเงิน 7.5 ล้านล้านหยวนในปีนี้ หลังจากในปี 2552 ที่ผ่านมา ธนาคารจีนได้ปล่อยสินเชื่อก้อนใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 9.59 ล้านล้านหยวน และสูงกว่ากว่าในปี 2551 ถึงประมาณ 1 เท่าตัว เป็นผลผลักดันให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 18 เดือนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน
มาตรการควบคุมสินเชื่อดังกล่าวส่งผลทำให้เกิดความกังวลต่อทิศทางการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงแนวโน้มความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กก่อสร้าง ทำให้ราคาเหล็กทรงยาว เช่นเหล็กเส้น (Rebar) และลวดเหล็ก (Wire Rod) ในจีนมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม หลังจากได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จากการที่จีนเป็นประเทศผู้บริโภคเหล็กขนาดใหญ่ที่สุดของโลก จะทำให้การปรับลดลงของราคาเหล็กก่อสร้างในจีนจากผลของมาตรการดังกล่าว อาจนำไปสู่แรงกดดันต่อทิศทางการปรับขึ้นราคาเหล็กก่อสร้างในประเทศอื่นๆรวมถึงในไทยไม่ให้เกิดขึ้นอย่างร้อนแรงแม้จะได้รับปัจจัยบวกต่างๆดังได้กล่าวถึงในเบื้องต้นก็ตาม
เนื่องจากผู้ประกอบการในแต่ละประเทศรวมถึงไทย อาจจำเป็นต้องปรับระดับราคาให้มีความเหมาะสมและไม่เหลื่อมล้ำกันมากกับราคาเหล็กก่อสร้างของจีน เพื่อหลีกเลี่ยงจากปัญหาลูกค้าหันไปนำเข้าเหล็กมาจากจีนแทนการซื้อในประเทศ โดยอาศัยช่วงจังหวะในขณะนี้ที่ต้นทุนการขนส่งอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะค่าระวางเรือที่ทยอยปรับลดลงจนเหลือเพียงประมาณครึ่งหนึ่งจากที่ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในรอบปี 2552 ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และราคาน้ำมันที่แม้จะยังผันผวนแต่ก็ไม่อาจพุ่งสูงขึ้นไปได้มากเนื่องจากมีทิศทางค่าเงินดอลลาร์ฯที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก โดยเฉพาะค่าเงินยูโร ซึ่งเป็นผลจากความกังวลของนักลงทุนต่อปัญหาภาระหนี้ที่สูงมากเกินไปในบางประเทศในทวีปยุโรป เช่น กรีก ที่อาจจะยังเป็นตัวสกัดกั้นอยู่
โดยสรุป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าราคาเหล็กก่อสร้างของไทยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้ จากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐ และต้นทุนการผลิตเหล็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทว่าการออกมาตรการควบคุมสินเชื่อของจีนคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ทำให้ในระยะสั้นนี้การปรับขึ้นราคาเหล็กก่อสร้างในไทยอาจจะยังไม่สามารถทำได้มากนัก อย่างไรก็ตามในระยะยาว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะในจีนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นค่อนข้างชัดเจนนี้ จะทำให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งเหล็กในระยะยาวมีโอกาสเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ช้าก็เร็วอาจทำให้ราคาเหล็กก่อสร้างจีนต้องปรับขึ้นตาม โดยเฉพาะหลังความกังวลต่อมาตรการเพิ่มความเข้มงวดทางการเงินของจีนเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้ราคาเหล็กก่อสร้างในไทยอาจต้องปรับขึ้นตาม
ซึ่งผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในธุรกิจปลายน้ำต่างๆ ที่อาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงในด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ อาจจำเป็นต้องวางแผนการซื้อขาย และสต๊อกสินค้าเหล็ก รวมถึงให้ความสำคัญกับการติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ทั้งช่วงเวลาในการยกเลิกมาตรการควบคุมสินเชื่อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในจีน รวมถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในบางประเทศที่ยังคงคลุมเคลือ เช่น บางประเทศในทวีปยุโรป และสหรัฐฯ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรติดตามปัจจัยในประเทศ เช่น เสถียรภาพทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของโครงการลงทุนภาครัฐต่างๆ และความคืบหน้าของการแก้ปัญหากรณีโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งความเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆนี้อาจส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้เหล็ก รวมถึงต้นทุนการผลิตและการขนส่งเหล็ก อันจะมีผลต่อสะท้อนมาถึงทิศทางราคาเหล็กในระยะต่อไป ทั้งนี้เพื่อรับมือกับการขึ้นราคาเหล็กก่อสร้างในไทยที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
—————————————
Disclaimer
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯจะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น