แว่นกันแดดเร่งทำตลาดรับซัมเมอร์…กระตุ้นมูลค่าตลาดในประเทศทั้งปีโตร้อยละ 5-10

“แว่นกันแดด” ได้กลายเป็นเสมือนเครื่องประดับควบคู่แฟชั่นการแต่งกายของผู้คน ประกอบกับสภาพอากาศของไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน จึงนิยมใช้แว่นกันแดดอยู่ตลอดในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยปกป้องสายตาจากแสงแดด อีกทั้งความจำเป็นที่ต้องใส่สำหรับขับรถ ซึ่งช่วยสร้างวิสัยทัศน์ที่ดีในการมองเห็นขณะขับขี่ ดังนั้นจะเห็นว่าการทำการตลาดของผู้จัดจำหน่ายแว่นกันแดดจะมีต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่จะเห็นได้ชัดว่ามีการทำตลาดเข้มข้นขึ้นในช่วงฤดูร้อน โดยอาศัยกลยุทธ์สินค้าตามฤดูกาล ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆและรวดเร็ว แต่เนื่องจากช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเลือกซื้อแว่นกันแดดมากกว่าในช่วงฤดูกาลอื่น จึงเป็นการช่วยสร้างยอดขายได้มากกว่าช่วงอื่นๆของทั้งปี รวมทั้งยังเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับฤดูการท่องเที่ยวด้วย การปลุกกระแสตลาดให้คึกคักด้วยการเปิดตัวแว่นกันแดดคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ร่วมกับการเร่งทำการตลาดเชิงรุก จึงเป็นการสร้างสีสันให้แก่ตลาดแว่นกันแดดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแนวโน้มผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้แว่นกันแดดมากขึ้น มักเลือกซื้อแว่นที่มีคุณภาพ แบรนด์น่าเชื่อถือ โดดเด่นด้วยดีไซน์ตามแฟชั่น และเหมาะกับบุคลิก ซึ่งต่างจากอดีตที่เลือกซื้อเพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมเลือกซื้อแว่นกันแดดจากแบรนด์ซึ่งเป็นที่นิยม เพราะมีทัศนคติว่าสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและสร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้ดูดีขึ้นได้ นอกจากนี้แล้ว หนึ่งคนอาจมีแว่นกันแดดไว้ใช้ได้หลายอันตามแต่วัตถุประสงค์การใช้งาน รูปแบบการแต่งกาย และตามสถานการณ์ ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน เทศกาลสำคัญ วันหยุดต่างๆ และช่วงปิดเทอมของทุกปี จึงเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการจำหน่ายแว่นกันแดดในประเทศต่างเร่งทำการตลาด โดยแข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่นที่เข้มข้นขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งการลดราคา และโปรโมชั่นของแถม เป็นต้น

ตลาดฤดูร้อน…ช่วยหนุนตลาดแว่นกันแดดทั้งปี’53 ขยายตัวร้อยละ 5-10
ตลาดแว่นกันแดดในประเทศปีที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 จากตลาดแว่นตาโดยรวมที่มีมูลค่าประมาณ 5,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถแบ่งสัดส่วนตลาดแว่นตาโดยทั่วไปตามระดับราคาเป็นกลุ่มตลาดระดับบนหรือพรีเมี่ยมที่มีราคาสูงกว่า 7,000 บาท ตลาดระดับกลางราคาอยู่ระหว่าง 3,500-7,000 บาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุด และตลาดระดับล่างมีราคาต่ำกว่า 3,500 บาท

ที่ผ่านมานั้นตลาดแว่นกันแดดมีอัตราขยายตัวสอดคล้องกับการขยายตัวของตลาดแว่นตาโดยรวม และมูลค่าการนำเข้าแว่นกันแดดของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้คาดว่าในปี 2553 มูลค่าตลาดแว่นกันแดดในประเทศน่าจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 5-10 เนื่องจากภาพรวมการจับจ่ายใช้สอยผู้บริโภคน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และหันมาเลือกซื้อแว่นกันแดดแบบใหม่ๆมากขึ้น เพราะในช่วงฤดูร้อนผู้จัดจำหน่ายต่างก็เร่งทำการตลาดกันอย่างเข้มข้น อีกทั้ง ช่วงฤดูร้อนยังมีช่วงเทศกาลวันหยุดยาวหลายวัน หลายคนจึงถือโอกาสท่องเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดกับครอบครัว ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และทะเลก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุดในช่วงฤดูร้อน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าแว่นกันแดดก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าขายดีประจำฤดูกาลเช่นกัน

ทั้งนี้ แว่นกันแดดที่จำหน่ายในไทยส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจาก แบรนด์ของต่างประเทศเป็นที่นิยมมากกว่า โดยเป็นการนำเข้าของบริษัทจัดจำหน่ายแว่นตา หรือผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์แว่นกันแดดชั้นนำจากต่างประเทศ อีกทั้ง การที่แว่นกันแดดเป็นสินค้าที่เกาะกระแสแฟชั่น ทำให้มีคอลเล็กชั่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความแตกต่างทางรูปทรง วัสดุที่ใช้ทำกรอบแว่น วัสดุทำที่เลนส์ และการตกแต่งประดับลวดลาย โดยสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับรูปหน้าของผู้สวมใส่ และความชอบของแต่ละบุคคล จึงยิ่งเป็นการดึงดูดผู้ที่นิยมแฟชั่นแว่นกันแดดให้ตื่นตัวกับคอลเล็กชั่นใหม่ๆที่ออกมาสู่ตลาดตลอดเวลา นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้ผลิตยังหันมาเน้นออกแบบแว่นกันแดดที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬากลางแจ้งแต่ละประเภท ทั้งปีนเขา ปีนหน้าผา โต้คลื่น เจ็ทสกี สกี ขี่จักรยาน/มอเตอร์ไซด์วิบาก เป็นต้น เพื่อเป็นการเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้มากขึ้น

รวมทั้งยังคาดว่าการแข่งขันด้านการตลาดของผู้จัดจำหน่ายจะเข้มข้นไม่แพ้ช่วงปีที่ผ่านๆ มา โดยมีกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ การสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้มีความโดดเด่นและหรูหรา เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญด้านภาพลักษณ์ในการสวมใส่เป็นพิเศษ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของแว่นกันแดดแต่ละรุ่น เพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ และระดับราคาที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มผู้บริโภค การใช้ กลยุทธ์ด้านราคา เป็นการนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคา เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีแรงจูงใจในการเลือกซื้อแว่นกันแดดง่ายขึ้น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในช่วงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์คอลเล็กชั่นใหม่ให้เป็นที่รู้จัก โดยใช้พรีเซนเตอร์ที่มีบุคลิกเหมาะกับรูปแบบของแว่นกันแดด เพื่อเป็นการช่วยชูจุดเด่นของแว่นรุ่นนั้นๆได้เป็นอย่างดี เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของแว่นกันแดดที่เป็นสินค้าซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการช่วยปกป้องสายตาในภาวะที่ต้องเผชิญกับแสงแดดจัดกลางแจ้ง รวมทั้งยังช่วยปกป้องสายตาจากลมและฝุ่นผง ที่เป็นสาเหตุให้เกิดต้อลม ต้อกระจก และต้อหิน ดังนั้น มาตรฐานของแว่นกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคจะใช้ประกอบการตัดสินใจในเลือกซื้อนอกเหนือจากรูปแบบที่สวยงาม และระดับราคา ผู้จัดจำหน่ายจึงต้องมีการนำเสนอรายละเอียดและคุณสมบัติของแว่นตาให้ผู้บริโภครับรู้อย่างครบถ้วน อาทิ วัสดุที่ทำกรอบและเลนส์ ที่ส่งผลต่อน้ำหนักของตัวแว่น การทนแรงกระแทก รอยขีดข่วน รวมถึงคุณสมบัติในการลดความเข้มของแสง และกรองรังสีอุลตร้าไวโอเลต(UV) เนื่องจากการสวมใส่แว่นกันแดดในระยะเวลานานๆหากคุณภาพของแว่นไม่มีมาตรฐานเพียงพออาจส่งผลเสียต่อสายตาได้ เช่น แว่นกันแดดที่มีเลนส์เป็นสีเข้มแต่ไม่มีการฉาบสารกรองรังสี ก็จะกรองได้แค่แสงสว่างเท่านั้น แต่ไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสีUV ซึ่งเมื่อแสงสลัวขึ้นจะทำให้รูม่านตาผู้สวมใส่เปิดกว้างมากกว่าปกติ กลับยิ่งทำให้รังสีUV เข้าสู่นัยน์ตาเรามากขึ้นด้วย รวมถึงแว่นที่มีการหักเหของแสงไม่เหมาะสม เมื่อใส่แล้วเกิดมุมมองภาพที่บิดเบี้ยวหรือผิดเพี้ยนไปจากปกติ ก็อาจทำให้ผู้สวมใส่เวียนหัวหรือปวดตาได้เช่นกัน

แว่นกันแดดนำเข้า…ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคในประเทศ
แว่นกันแดดที่จำหน่ายในประเทศส่วนใหญ่เป็นแว่นตาแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งระดับตลาดได้จากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้า ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไทยเสียเปรียบดุลการค้าสำหรับผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดปีละประมาณ 700 ล้านบาท และมีแนวโน้มขาดดุลเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 ไทยนำเข้า แว่นกันแดดเป็นมูลค่า 147.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 33.6 แหล่งนำเข้าสำคัญ คือ อิตาลี จีน สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่านำเข้ารวมกันเป็นสัดส่วนร้อยละ 93.8 ของมูลค่านำเข้าแว่นกันแดด (แต่หากเปรียบเทียบในเชิงปริมาณแล้ว ไทยนำเข้าแว่นกันแดดจากจีนในปริมาณสูงกว่าประเทศที่เหลือใน 5 อันดับแรกรวมกันถึงเกือบ 30 เท่าตัว) ทั้งนี้มูลค่าการนำเข้าเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2553 หลังจากที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ปลายปี 2551 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการนำเข้าแว่นกันแดดรุ่นใหม่ๆมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศที่คาดว่าจะสูงขึ้นสำหรับช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ สงกรานต์ และปิดเทอม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ไทยจะนำเข้าแว่นกันแดดแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาดระดับบนและระดับกลาง จากอิตาลี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ส่วนแว่นกันแดดที่นำเข้าสำหรับตลาดระดับล่างที่มีราคาต่ำมากๆ มักเป็นการนำเข้าจากจีน ด้านการส่งออก มีมูลค่า 1.14 ล้านบาท หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 41.0 ตลาดส่งออกสำคัญของไทยคือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง พม่า จีน และฝรั่งเศส ซึ่งมีมูลค่าส่งออกรวมกันเป็นสัดส่วนร้อยละ 68.8 ของมูลค่าการส่งออกแว่นกันแดด

สรุป
กลยุทธ์การทำตลาดตามฤดูกาล หรือ Seasonal Marketing เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ผู้จัดจำหน่ายแว่นกันแดดให้ความสำคัญมาก เนื่องจากในช่วงฤดูร้อนนับเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดแว่นกันแดด และเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเลือกซื้อแว่นกันแดดอันใหม่ เพื่อใช้สำหรับการท่องเที่ยวและวันพักผ่อน ประกอบกับแนวโน้มผู้บริโภคในปัจจุบันที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้แว่นกันแดดที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ นอกเหนือจากระดับราคา และแบรนด์ ตลาดแว่นกันแดดในช่วงฤดูร้อนจึงมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์คอลเล็กชั่นใหม่ๆออกมาเพื่อรองรับกับความต้องการที่มีแนวโน้มสูงกว่าช่วงอื่นๆของปีร่วมกับการเร่งทำการตลาดเชิงรุก ทั้งปรับรูปแบบการตกแต่งหน้าร้าน ชั้นจัดวางแว่นตา การจัดโปรโมชั่นด้านราคา การประชาสัมพันธ์ลงสื่อแมกกาซีนแฟชั่น รวมทั้งการจัดงานอีเว้นท์ และแฟชั่นโชว์ ซึ่งล้วนช่วยสร้างสีสันให้ตลาดแว่นกันแดดในประเทศคึกคักขึ้น นอกเหนือจากการทำโปรโมชั่นในช่วงปกติของทั้งปี เพราะการที่แว่นกันแดดได้กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของแฟชั่นเครื่องแต่งกาย รวมทั้งสภาพอากาศของไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน ผู้บริโภคจึงนิยมใช้แว่นกันแดดในชีวิตประจำวัน รวมทั้งความจำเป็นต้องใส่สำหรับขับรถ เพื่อช่วยสร้างวิสัยทัศน์ที่ดีในการมองเห็นขณะขับขี่ ดังนั้นจะเห็นว่าการทำการตลาดของผู้จัดจำหน่ายแว่นกันแดดก็จะมีต่อเนื่องตลอดทั้งปีอยู่แล้ว แต่จะเข้มข้นมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดพักผ่อนตามความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ยังมองว่าการนำเข้าแว่นกันแดดมักมีการนำเข้าเพิ่มสูงในช่วงก่อนเทศกาลวันหยุดพักผ่อน เช่น ช่วงปีใหม่ สงกรานต์ และช่วงปิดเทอม ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 มูลค่าการนำเข้าขยายตัวถึงร้อยละ 33.6 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการนำเข้าตามช่วงเทศกาล อย่างไรก็ตามคาดว่าทั้งปี 2553 มูลค่าการนำเข้าน่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 5 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤติการเมืองและกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ตลาดแว่นกันแดดในประเทศปี 2553 จะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,900-1,980 ล้านบาท หรือขยายตัวจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5-10 ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการนำเข้าแว่นกันแดดของไทยในปีนี้

นอกจากนี้ เห็นได้ว่าแนวโน้มการนำเข้าผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดจากต่างประเทศยังมีขยายตัวต่อเนื่อง และมองว่าในอนาคตไทยจะยังคงเสียเปรียบดุลการค้าผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดมากขึ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าแว่นกันแดดยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ผลิตแว่นตาหรือเลนส์แว่นตาในประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอ และพร้อมทำการศึกษาความต้องการของตลาด อาจหันมาขยายช่องทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดที่เป็นแบรนด์ของไทยเอง โดยเริ่มจากการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ และกำหนดระดับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อออกแบบแว่นตาให้ตรงตามกระแสความนิยมของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งผลิตแว่นกันแดดที่มีคุณภาพควบคู่กับราคาในระดับกลางๆ เพราะหากจะเน้นจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ด้วยราคาต่ำมากๆหรือแว่นกันแดดแฟชั่น(ราคา 50-300 บาท) ผู้ผลิตไทยอาจประสบปัญหา ไม่สามารถแข่งขันได้กับแว่นกันแดดราคาถูกที่นำเข้าจากจีนซึ่งมีต้นทุนผลิตต่ำกว่า ส่วนการรุกตลาดในระดับกลาง(ราคา 3,500-7,000 บาท) และระดับพรีเมี่ยม(ราคาสูงกว่า 7,000 บาท) อาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมเลือกใช้แว่นกันแดดโดยยึดถือแบรนด์เป็นสำคัญ และเป็นผู้ชื่นชอบความหรูหรา จึงมองว่าตลาดระดับล่างน่าจะเป็นตลาดที่น่าสนใจ สำหรับผู้ผลิตไทย โดยช่วงราคาจำหน่ายน่าจะอยู่ที่อันละประมาณ 500-2,000 บาท และนำเสนอถึงการเป็นแว่นกันแดดที่มีคุณภาพควบคู่ระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยถนอมสายตาได้จริง กรอบแว่นมีน้ำหนักเบา วัสดุเลนส์เคลือบสารกรองรังสีUV ในระดับที่มีมาตรฐานเพียงพอ และปลอดภัยต่อผู้สวมใส่หากมีการเกิดอุบัติเหตุทำให้แตกหัก รวมถึงมีรูปแบบแว่นที่เหมาะสมกับรูปหน้าคนไทยหรือคนเอเชีย เป็นต้น

ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่ผู้ผลิตควรให้ความสำคัญ เพราะในการผลิตแว่นกันแดดต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ทั้งด้านการวิจัยและการจัดหาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อคิดค้นวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบของแว่น กระบวนการผลิตและการทดสอบมาตรฐาน การเคลือบเลนส์ป้องกันรังสีUV รวมถึงการดีไซน์รูปแบบตามแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และการสร้างแบรนด์ ตลอดจนการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับสำหรับกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับได้นั้นต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร เนื่องจากผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดเป็นสินค้าที่ค่อนข้างอิงกระแสแฟชั่น สะท้อนถึงภาพลักษณ์และรสนิยมของผู้สวมใส่ ผู้ผลิตจึงควรศึกษาตลาดอย่างจริงจัง และวางแผนแนวทางการผลิตทีละขั้นตอนอย่างละเอียดรอบคอบในระยะยาว