“ประวิทย์ มาลีนนท์” บิ๊กทีวี

ปี 2550 ต้องยกให้เป็นปีทองของช่อง 3 ภายใต้ร่มเงาการบริหารของครอบครัว “มาลีนนท์” เพราะไม่เพียงการดึงเรตติ้งจากผู้ชมได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ และสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นรายได้ถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

รายได้เฉพาะไตรมาสแรกของปี 2550 กลุ่มช่อง 3 มีรายได้ 1,807 ล้านบาท กำไร 541 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2549 จำนวน 226 ล้านบาท หรือ 72% และสูงกว่าไตรมาสแรกปี 2549 จำนวน 105 ล้านบาท หรือ 24% ส่วนใหญ่หรือประมาณ 90% มาจากการขายเวลาโฆษณา

ในส่วนเรตติ้งผู้ชมนั้น แม้จะยังไม่สามารถดึงผู้ชมได้มากกว่าช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีที่กวาดเรตติ้งอันดับ 1 ของประเทศมานาน แต่มีสัญญาณที่น่าจับตามองคืออัตราการเติบโตของจำนวนผู้ชมช่อง 3 เพิ่มขึ้นขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่อง 7 ที่เริ่มเติบโตลดลง และแน่นอนส่งผลไปถึงการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่ช่อง 3 ดึงมาด้วยอัตราเติบโต 10.6% แต่ช่อง 7 เติบโตเพียง 3% จากตลาดโฆษณาผ่านสื่อทีวี ไตรมาสแรก ปี 2550 ที่บริษัทนีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่ามีมูลค่า 12,754 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่า 12,363 ล้านบาท หรือ 3.2%

ทั้งหมดไม่ได้มาด้วยความฟลุ้ก หรือโชคช่วย ที่ทำให้ช่อง 3 มีอัตราเติบโตถึง 10.6% สูงกว่าตลาดรวมโฆษณาที่โตเพียง 3.2% แต่คือผลการทำงานอย่างหนัก และการวางหมาก จัดผังรายการให้โดนใจผู้ชมมากที่สุด ซึ่งนอกจากทีมผู้บริหารแล้ว “หัวเรือใหญ่” ของช่อง 3 ต้องยกให้กับ “ประวิทย์ มาลีนนท์”

“ประวิทย์” ที่พนักงานช่อง 3 หรือแม้แต่สื่อมวลชนเรียกขานกันว่า “นาย” มีสไตล์การทำงานที่ใส่ใจทุกนาทีกับทุกรายการที่ออกอากาศผ่านช่อง 3 และพร้อมให้คำแนะนำกับผู้จัดรายการต่างๆ รวมไปถึงการเสนอไอเดียเพื่อให้เกิดรายการใหม่

บทพิสูจน์ไอเดียของ “นาย” ล่าสุดแสดงให้เห็นผ่านรายการคุยข่าว ในคอนเซ็ปต์ “ครอบครัวข่าว” และการปักธงให้ผู้หญิงมาพูดคุยกันผ่านหน้าจอทีวีเริ่มจากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง ตั้งแต่ปี 2548 และผู้หญิงถึงผู้หญิงสวย จนมาถึง 30 ยังแจ๋ว เมื่อปี 2549

แม้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมือนฟัง “แม่ค้าคุยกัน” แต่ก็ได้ผล เพราะทั้งยอดคนดูและโฆษณาเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังทำให้ผู้ชมกลุ่มผู้หญิงสนใจข่าวสารบ้านเมือง และลุกลามถึงสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ที่ลอกเลียนรูปแบบรายการพูดคุยข่าวไปใช้

ภาพของช่อง 3 มีเนื้อหาแน่นมากขึ้น จากสถานีโทรทัศน์ที่เน้นรายการละครเป็นหลัก มาเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีส่วนผสมรายการประเภทข่าวสาระมากขึ้น ด้วยความเชื่อของทีมผู้บริหารว่ารายการละครมีจุดเสี่ยงกับความชอบหรือไม่ชอบจากคนดูมากกว่าเมื่อเทียบกับรายการข่าว สาระ และเมื่อเสริมทัพพิธีกรข่าว ด้วย “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ก็ยิ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

ภาพที่ปรากฏผ่านจอช่อง 3 ขณะนี้ คือ มีรายการข่าว สาระ ออกอากาศประมาณ 12 ชั่วโมง หรือมากกว่า 50% ของผังทั้งหมด นับได้ 23 รายการ เช่น เรื่องเด่นเย็นนี้ เรื่องเล่าเช้านี้ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ซึ่ง “ประวิทย์” คาดว่า ปีนี้รายการประเภทข่าวจะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 27-28% จากเดิมทำรายได้ให้ประมาณ 25% โดยรายการข่าวที่มีอัตราขายโฆษณาสูงสุดคือ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” นาทีละ 230,000 บาท

อีกเทคนิคหนึ่งที่ทำให้ช่อง 3 กำไรพุ่งในไตรมาสแรกปี 2550 เพราะเทคนิคการขยายเวลารายการช่วงละครไพร์มไทม์หลัง 2 ทุ่ม จากเดิมเรื่องหนึ่งออกอากาศ 1 ชั่วโมง ได้ขยายเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง และ 1 ชั่วโมง 45 นาที และเพิ่มเป็น 2 ชั่วโมง จากไตรมาสแรกปี 2549 มีนาทีขายเฉลี่ย 645 นาทีต่อเดือน เพิ่มเป็น 677 นาทีในไตรมาสแรกปี 2550 และกำลังเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2550 เป็น 716 นาที เฉลี่ยอัตราขายโฆษณาอยู่ที่นาทีละ 420,000 บาท

การขยายเวลาออกอากาศละคร ยังสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ชมที่พร้อมดูละครยาวต่อเนื่อง มากกว่าปล่อยให้ละครออกอากาศหลายๆ ตอน และต้องรอดูนานหลายเดือน

ปรากฏการณ์ใหม่ของช่อง 3 ล่าสุด จากไอเดียของ “นาย” คนเดิมคือรายการที่นำผู้ชายมานั่งพูดคุยถึงเทรนด์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพราะมองว่าน่าจะถึงเวลาของรายการผู้ชายบ้าง จากที่เคยสำเร็จมาแล้วเกี่ยวกับรายการของผู้หญิง

“ผู้หญิงเราดูมาเยอะแล้ว ก็น่าลองทำรายการผู้ชายดูบ้าง”

ส่วนรายละเอียดของรายการว่าทำอย่างไร ลงผังเวลาไหน เมื่อไหร่นั้น “ประวิทย์” บอกว่า “สไตล์การทำงานของผม แค่บอกว่า What ก็พอ คือบอกว่าผมอยากได้รายการอะไร จากนั้น “พร” (อัมพร มาลีนนท์ น้องสาวของ “ประวิทย์” ) ก็จะไปทำ 2 อย่างคือ When และ Where คือหาเวลาจัดลงผังรายการ และเริ่มออกอากาศเมื่อไหร่ ส่วนรายการจะทำออกมาอย่างไร หรือ How นั้น เป็นหน้าที่ของผู้จัด”

ไอเดียนี้ลงตัวตรงที่พิธีกรชาย 4 คน ที่เห็นหน้าค่าตามาระยะหนึ่งแล้วผ่านในรายการต่างๆ ของช่อง 3 คือ ปลื้ม –แชมป์- กร- วู๊ดดี้ ภายใต้ชื่อรายการ “ปากต่อปาก” บอกเล่าไลฟ์สไตล์ของผู้ชาย เพื่อมาแทนรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงสวยในวันเสาร์ เวลา 14.45-15.15 น.

“ประวิทย์” บอกว่า ปากต่อปากเป็นรายการสนทนา มีพิธีกรเป็นหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มีความทันสมัย หากรูปแบบนี้สำเร็จ ช่อง 3 ก็สร้างบอยแบนด์ขึ้นมา เป็นกลุ่มผู้ชายขึ้นมา

“เหมือนรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย เขาคงไม่เล่าข่าวคุยกัน แต่เป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ของเขามากกว่า ก็คาดหวังไว้สูงเพราะอยากถูกแจ็กพอต”

พิธีกรชายที่ “นาย” กำลังหมายหมั้นปั้นมือชัดเจนคือ “ปลื้ม” ที่ได้รายการเพิ่มอีกหนึ่งรายการคือ “แกะดำ” เป็นรายการเกมโชว์ ออกาอากาศวันอาทิตย์ 14.15-14.45 น. นอกเหนือจากนี้ “ประวิทย์” ยังพยายามเจาะกลุ่มเด็ก โดยเตรียมนำรายการใหม่ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากสหรัฐอเมริกาลงผัง ชื่อรายการ “คุณฉลาดกว่าเด็ก ป.5 รึเปล่า?”

รายการเด็กเป็นอีกหนึ่งประเภทรายการที่ “ประวิทย์” คาดหวังไว้สูงเช่นกัน ถึงขั้นเปรยให้ได้ยินในกลุ่มสื่อมวลชนว่า “หากสำเร็จ ผมก็จะเกษียณแล้ว”

แต่ดูเหมือนว่าคลื่นความคิดของทีมผู้บริหาร โดยเฉพาะจาก “ประวิทย์” พาจังหวะก้าวของช่อง 3 ให้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สร้างสีสันให้จอทีวีช่อง 3 กลายเป็นช่องทีวีประจำของหลายๆ บ้าน รุกคืบจับกลุ่มคนดูจากกลุ่มผู้หญิง มายังกลุ่มผู้ชายและเด็กๆ ณ วันนี้ จึงชัดเจนสำหรับช่อง 3 ว่ามาเร็ว แรงแซงคู่แข่ง โดนใจผู้ชมทีวีที่สุดในปี 2550 นี้

Profile

Name : ประวิทย์ มาลีนนท์
Age : 60 ปี
Education :
– ระดับมัธยมโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา
– โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 7
– ปริญญาตรี สาขาวิศวอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก สหรัฐอเมริกา
Career Highlights : บริหารงานในกลุ่มช่อง 3 มาโดยตลอด
Status : ภรรยา : อรัญญา มาลีนนท์ มีบุตรชายหญิงรวม 4 คน เรียงลำดับดังนี้ บุตรสาวคนโต “อรอุมา” คนที่สองเป็นบุตรชาย “วรวรรธน์” คนที่สามบุตรสาว “วัลลิภา” และบุตรชายคนเล็ก “ชฎิล”

เกี่ยวกับช่อง 3

ช่อง 3 บริหารงานภายใต้บริษัทบีอีซีเวิล์ด จำกัด มีครอบครัว “มาลีนนท์” ถือหุ้นใหญ่ ส่วนหนึ่งกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์มาแล้ว 36 ปี โดยได้รับสัมปทานจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือเดิมชื่อองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 28 บริษัท ณ 31 มีนาคม 2550 มีเงินสด 3,550 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 8,031.87 ล้านบาท หนี้สิน 1,287 ล้านบาท กำไร 541 ล้านบาท