pcrp_b – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 18 Sep 2024 09:36:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Whoscall เปิดตัวฟีเจอร์ Scam Alert ไม่ได้แค่เตือนเบอร์มิจฉาชีพ แต่ช่วยเช็กลิงก์ดูดเงินได้ด้วย https://positioningmag.com/1490787 Wed, 18 Sep 2024 09:15:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490787 ปัจจุบันการโจรกรรมออนไลน์ หรือ โกงออนไลน์ กลายเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะความเสียหายทางมูลค่าทรัพย์สิน หรือ ความเสียหายทางใจ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศด้วยเช่นกัน

ใน 2-3 ปีมานี้ภาพรวมการเกิดการโจรกรรมออนไลน์ในประเทศไทยมีมากขึ้น โดยสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างเดือนมีนาคม 2565 – กรกฎาคม 2567 พบว่า ความเสียหายจากการโจรกรรมออนไลน์ หรือ การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ มีมูลค่ารวมเกือบ 70,000 ล้านบาท หรือ เฉลี่ย 78 ล้านบาทต่อวัน 

ข้อมูลจาก บริษัท โกโกลุก (Gogolook)  ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall ได้เผยข้อมูลจากรายงานปี 2565 พบว่า มีการหลอกลวงทั้งจากสายโทรเข้าและข้อความ SMS รวม 405.3 ล้านครั้ง

คนไทยเสี่ยงโดนหลอกโกงเพิ่ม 

จากข้อมูลยังพบว่า ในปี 2566 คนไทยกลับเสี่ยงโดนหลอกเพิ่มขึ้น ทั้งสายโทรเข้าและข้อความ 

  • ปี 2566 ยอดรวม 79 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 18% แบ่งเป็นจำนวนสายโทรเข้า 20.8 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 22% และข้อความหลอกลวง 58.3 ล้านข้อความ เพิ่มขึ้น 17% 
  • ปี 2565 ยอดรวม 66.7 ล้านครั้ง จำนวนสายโทรเข้า 17 ล้านครั้ง และข้อความหลอกลวง 49.7 ล้านข้อความ

สอดคล้องกับผลสำรวจเบื้องต้นจากรายงานของ องค์กรต่อต้านกลโกงระดับโลก Global Anti-Scam Alliance (GASA) ประจำปี 2567 ยังพบว่า มีคนไทยเพียง 55% เท่านั้นที่มั่นใจว่า รู้เท่าทันมิจฉาชีพ และ 89% เผยว่าต้องรับมือกับมิจฉาชีพอย่างน้อยเดือนละครั้ง อาทิ การกดรับเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาแล้วพบว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพ เป็นต้น

จากปัญหาระดับชาติทำให้โกโกลุก ได้ประกาศจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการทำแคมเปญรณรงค์ รวมถึงการให้ความรู้และรู้เท่าทันการโกงออนไลน์ อาทิ แคมเปญชวนโหลดแอปฯ Whoscall พร้อมแจกโค้ดใช้บริการฟรี แบบพรีเมียม-เบสิก เป็นต้น 

อัตราหลอกโกงน้อยลง แต่ก็ยังไม่ทันมุกใหม่มิจฉาชีพ

จากความร่วมมือที่ผ่านมาถือว่ามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น มีการหลอกลวงทั้งจากสายโทรเข้าและข้อความ SMS รวม 347.3 ล้านครั้ง ลดลงจากปี 2565 14% เนื่องจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน ที่มีการสร้างความตระหนักถึงภัยการหลอกลวงออนไลน์ 

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ก็ได้เปิดเผยว่า ทางหน่วยงานฯ สามารถปิดกับเว็ปไซต์ที่บิดเบือน/หลอกลวง จำนวนกว่า 47,000 รายการ ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – สิงหาคม 2567 ในขณะที่ Whoscall เผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 Whoscall สามารถตรวจพบสายโทรเข้าจากมิจฉาชีพได้เกือบถึง 19 ล้านครั้ง 

แม้ตัวเลขการโจรกรรมออนไลน์จะมีแนวโน้มลดลง แต่มิจฉาชีพก็มีการพัฒนารูปแบบการโกงอยู่เสมอ จากเดิมที่รูปแบบการหลอกโกงเป็นแบบการเข้าหาเหยื่อโดยตรง พัฒนามาอยู่ในรูปแบบของแอพฯ หรือ ลิงก์ดูดเงิน กระทั่งปัจจุบันรูปแบบการหลอกโกงเป็นรูปแบบการส่ง QR Code ให้ลงทะเบียนรับเงินคืนต่างๆ เช่น ค่าไฟ แต่กลายเป็นการโอนเงินให้มิจฉาชีพแทน เป็นต้น

Scam Alert ฟีเจอร์ใหม่ นำ AI มาช่วยเช็กลิงก์ดูดเงิน

ล่าสุด Whoscall ได้เปิดตัวฟีเจอร์ ‘Scam Alert’ (เตือนภัยกลโกง) ฟีเจอร์ที่รวมข้อมูลสำหรับป้องกันการหลอกหลวงจากมิจฉาชีพ โดยเป็นแพลตฟอร์มฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ ที่ช่วยแจ้งเตือนภัยกลลวง และรับมือกับการหลอกลวงจากมิจฉาชีพออนไลน์ในรูปต่างๆ โดยแบ่งเป็น

– เตือนภัยกลโกงล่าสุด (Scam Trending Alert) – ผู้ใช้งาน Whoscall สามารถเปิดการแจ้งเตือน อัตโนมัติบนแอปพลิเคชันเพื่อรับข้อมูลแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพที่สำคัญและเร่งด่วน เช่น การแอบอ้าง หน่วยงานที่สำคัญ การหลอกลวงที่มีมูลค่าความเสียหายขนาดใหญ่และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้างและการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลจากองค์กรภาครัฐ เช่น กองบัญชาการตํารวจ สอบสวนกลาง ตำรวจไซเบอร์ กสทช. และ สกมช. 

– เตือนภัยกลโกงรู้ทันมิจฉาชีพ (Scam Education Content) – ฟีเจอร์นี้จะเป็นแพลตฟอร์ม ที่รวมความรู้เกี่ยวกับ กลวิธีการหลอกลวง และเคล็ดลับการป้องกันต่างๆ จากภาคีเครือข่ายภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เช่น การหลอกลวงด้านการลงทุน การหลอกลวงการชำระบิล การหลอกลวง ในการซื้อของ การหลอกลวงทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงรายงานและข้อมูลเชิงลึกจาก Whoscall และ องค์กร Global Anti-Scam Alliance (GASA)  

โดยนาย แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) ได้เผยข้อมูลจาก Whoscall ว่า ไต้หวัน ซึ่งประเทศแม่ของ Whoscall มีการใช้งานฟีเจอร์ ‘Scam Alert’ (เตือนภัยกลโกง) เป็นที่แรก โดยเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 และพบว่าอัตราการหลอกลวงลดลงเกือบ 30% ทั้งรูปแบบสายโทรเข้า และ ข้อความ SMS ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย ประสบปัญหากับภัยหลอกลวงออนไลน์ โดยเฉพาะการหลอกโกงในรูปแบบ SMS ที่พบมากกว่าประเทศในโซนเอเชียด้วยกันอย่าง ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลี รวมถึงญี่ปุ่น จึงได้นำ ฟีเจอร์ ‘Scam Alert’ (เตือนภัยกลโกง) นี้มาเปิดตัวในไทยและหวังว่าช่วยลดจำนวนมิจฉาชีพในไทยให้ลดลง โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถลดอัตราการหลอกลวงได้เป็น 2 เท่าจากไต้หวัน

ฟีเจอร์ Scam Alert (เตือนภัยกลโกง) นี้ ผู้ใช้งาน Whoscall สามารถใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งผู้ใช้งานแบบธรรมดา และแบบพรีเมียม โดยสามารถใช้งานได้โดยการเข้าไปที่แอปฯ Whoscall จากนั้นเลือกกดแถบเมนู ‘การป้องกัน’ (ระบบ Android เมนูจะอยู่แทบด้านล่าง ส่วนระบบ IOS แถบเมนูจะอยู่แถบแรก) จากนั้นกดปุ่ม เตือนภัยกลโกง ที่มุมขวาบน เมื่อเข้าสู่หน้าเนื้อหาให้กดเปิดการแจ้งเตือนแบบ Real-Time จากนั้นเลือกกดอ่านเนื้อหา อาทิ วิธีรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ เนื้อหาอื่นๆ ตามที่สนใจได้เลย

ส่วนการเช็กกรอง sms หรือ ลิงก์ดูดเงิน หากผู้ใช้งานต้องการตรวจสอบ sms หรือ ลิงก์ ที่น่าสงสัย สามารถใช้งานได้โดยการเข้าไปที่แอปฯ Whoscall จากนั้นเลือกกดแถบเมนู ‘การป้องกัน’ (ระบบ Android เมนูจะอยู่แทบด้านล่าง ส่วนระบบ IOS แถบเมนูจะอยู่แถบแรก) จากนั้นเข้ามาในส่วนของ Web Checker จากนั้นนำคัดลอกลิงก์น่าสงสัยมาวางที่ช่องตรวจสอบได้เลย 

]]>
1490787
เมล็ดกาแฟโรบัสตาในบราซิลขาดตลาด เหตุอากาศร้อน-แล้ง กระทบอาราบิการาคาพุ่ง แพงสุดในรอบ 13 ปี https://positioningmag.com/1490490 Tue, 17 Sep 2024 08:28:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490490 กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะกับวัยทำงาน ที่ต้องการสารกาเฟอีนในเมล็ดกาแฟมาช่วยกระตุ้นร่างกายให้พร้อมสำหรับการทำงาน ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบระยะสั้น (CAGR) ระหว่างปี 2023 – 2025 กว่า 4.47% 

ซึ่ง บราซิล เป็นประเทศที่มีการผลิตและส่งออกเมล็ดกาแฟมากที่สุดของโลก โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์อาราบิกา ที่ผลิตและส่งออกประมาณ 2.6 ล้านตันต่อปี โดยในปี 2023 บราซิลได้ส่งออกกาแฟไปยังประเทศอื่นๆ รวมมูลค่าเกือบ 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท) 

แต่ปัจจุบันบราซิลกำลังเผชิญหน้ากับสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งรวมถึงคลื่นความหนาวเย็น ซึ่งส่งผลให้ดอกของต้นกาแฟเกิดการออกดอกก่อนเวลา ทำให้ในฤดูกาล 2024-2025 ผลผลิตมีปริมาณลดลง โดยมีการรายงานว่า ราคากาแฟที่ผู้บริโภคดื่มมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอีก เนื่องจากผลผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสตาลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนเมล็ดกาแฟอาราบิกาพรีเมียมมีราคาพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) ของเมล็กาแฟอาราบิกาเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 40%

ผลกระทบจากราคากาแฟที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเฟ้อของราคาเครื่องดื่มด้วยเช่นกัน อาทิ บริษัท เจเอ็ม สมักเกอร์ (JM Smucker) เจ้าของแบรนด์ โฟลเกอร์ (Folgers) และคาเฟ่ บัสเทโล่ (Café Bustelo) ที่ครองตลาดกาแฟในบ้านของสหรัฐอเมริกา ได้มีการปรับเพิ่มราคาเครื่องดื่ม รวมถึง เครือร้านอาหารเพร็ต อะ แมงเกอร์ (Pret A Manger) ได้ยกเลิกโปรแกรมสมัครสมาชิกในอังกฤษที่ให้ลูกค้าดื่มกาแฟได้มากถึง 5 แก้วต่อวัน เป็นต้น

นอกจากราคากาแฟแล้ว ยังมีการรายงานว่าราคาเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็มีการปรับเพิ่มราคาเช่นกัน ทั้งราคาน้ำส้มที่สูงขึ้นเนื่องจากผลผลิตลดลง และราคาสัญญาซื้อขายโกโก้ล่วงหน้าก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ต้นทุนเครื่องดื่มและของหวานที่ทำจากช็อกโกแลตสูงขึ้น สวนทางกับราคาของสินค้าหลักอื่น ๆ เช่น ธัญพืช ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ที่มา : Bloomberg และ ReportLinker



]]>
1490490
อังกฤษ ‘สั่งห้ามโฆษณา’ เครื่องดื่ม-อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ทางทีวี ก่อน 3 ทุ่ม บังคับใช้ ต.ค. 2568 แก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็ก https://positioningmag.com/1490168 Mon, 16 Sep 2024 06:48:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490168 ในปี 2563 WHO ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตและทุพลภาพของประชากรทั่วโลกในปี ค.ศ.2000-2019 พบว่า การเสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 70% โดยเฉพาะในหมู่ประชากรโลกที่เป็นเพศชายที่มีอัตราเสียชีวิตจากโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 80% ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุของโรคเบาหวานนั้นมาจากโรคอ้วน 

ซึ่งในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับเบาหวานของ WHO ยังพบว่า การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรทั่วโลกจากโรคเบาหวาน เพิ่มขึ้นถึง 5% ในระหว่างปี ค.ศ.2000 ถึงปี ค.ศ.2016 และมีตัวเลขประมาณการว่าการเสียชีวิตของประชากรราวๆ 1.5 ล้านคนทั่วโลกในปี ค.ศ.2019 โดยมีเด็กในอังกฤษที่อายุต่ำกว่า 19 ปีป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 36,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีจำนวน 31,500 คนในปี 2015

ที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้พยายามในการลดจำนวนของผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคอ้วนอันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ด้วยการหันมาออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร การใช้กฎหมายบังคับเพื่อพยายามลดขนาดรอบเอวของพลเมืองอังกฤษ ตามอย่างประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการระบุปริมาณแคลอรีในเมนูอาหาร ทางรัฐบาลยังเดินหน้าพิจารณาการแสดงปริมาณแคลอรีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีการเปิดตัวแคมเปญสุขภาพที่ดีขึ้นไปพร้อมกับมาตรการรับมือปัญหาโรคอ้วน เป็นต้น

ล่าสุดได้มีนโยบายในการลดปัญหาโรคอ้วนในเด็ก โดยการสั่งห้ามโฆษณาเครื่องดื่ม และอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ทางโทรทัศน์ ก่อนเวลา 21.00 น. และนโยบายนี้จะใช้ควบคู่ไปกับการโฆษณาในออนไลน์แบบชําระเงินทั้งหมดเช่นกัน โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างจริงจังในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

ซึ่งโยบายกำหนดเวลาเผยแพร่โฆษณาเครื่องดื่มและอาหารฟาสฟู้ดส์ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในปี 2021 สมัยที่ บอริส จอห์นสัน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยถูกพูดถึงนโยบายนี้มาก่อน เนื่องจากบอริส เป็นหนึ่งในคนที่มีน้ำหนักเกิน และในเดือน เม.ย. ปี 2020 เขาได้เผชิญกับการป่วยโรคโควิด – 19 ด้วยตัวเองจนถึงขั้นต้องเข้าห้องไอซียู และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลาหลายวันกว่าจะเอาตัวรอดจากโรคนี้ได้นั่นเอง

แอนดรูว์ กวินน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันการโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพทางโทรทัศน์และออนไลน์มีน้อยกว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ ซึ่งส่งผลต่อความชอบด้านอาหารของพวกเด็กๆ และทำให้มีปัญหาสุขภาพกันมากขึ้น 

ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลฯ มีการดำเนินการเรื่องข้อตกลงและปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรการสําหรับผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ และบริการที่ครอบคลุมรายการอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงนมผงสําหรับทารก อาหารแปรรูปจากธัญพืชสําหรับทารก ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหาร เครื่องดื่มยา และผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหารที่ได้รับอนุมัติด้วย

ที่มา : BBC



]]>
1490168
ดีลใหญ่วงการรถ! GM และ Hyundai จับมือ พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตยานยนต์ https://positioningmag.com/1490147 Sat, 14 Sep 2024 13:08:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490147 หากจะพูดถึงผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำแล้วล่ะก็ ชื่อของ General Motors หรือ จีเอ็ม (GM) ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา ที่มีแบรนด์ภายในเครือชื่อคุ้นหู อาทิ คาดิลแลค (CADILLAC) และ เชฟโรเลต (Chevrolet) ซึ่ง จัดได้ว่าอยู่ในแรงก์ลำดับต้น ๆ ของโลก

ล่าสุด ได้ประกาศลงนามข้อตกลง จับมือกับ ฮุนได มอเตอร์ (Hyundai Motor) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เจ้าของแบรนด์ รถ Hyundai จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์รุ่นใหม่ รวมทั้งการผลิต และเทคโนโลยีเพื่ออนาคต

โดยเบื้องต้น GM และ Hyundai ขอบเขตความร่วมมือจะครอบคลุมถึงรถยนต์นั่ง รถยนต์เชิงพาณิชย์ เครื่องยนต์สันดาป พลังงานสะอาด ขุมพลังไฟฟ้า และเทคโนโลยีไฮโดรเจน นอกจากนั้นยังร่วมกันค้นหาแนวทางในการร่วมกันจัดซื้อวัสดุหลักร่วมกันในหลายรูปแบบ ทั้งวัตถุดิบทำแบตเตอรี่ โลหะ และอื่น ๆ

ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างมีจุดแข็งและทีมงานที่มีฝีมือ บริษัทฯ จึงมีเป้าหมายร่วมกัน ในการปลดล็อคความสร้างสรรค์ของแต่ละฝ่าย ในการส่งมอบรถยนต์ที่มีขีดความสามารถสูงให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้ง

ความร่วมมือในครั้งนี้ จะสร้างโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันในตลาดหลักและกลุ่มผลิตภัณฑ์อันหลากหลาย ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน จนสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากกว่าผ่านความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่แต่ละฝ่ายมี อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ยังไม่มีการระบุรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่อย่างใด

ที่มา : CNBC และ Hyundai



]]>
1490147
ลิซ่าเอฟเฟกต์! ดันยอดขาย “เดนทิสเต้” โต 100% ฉีกภาพยาสีฟันคู่รัก สู่ Global Brand https://positioningmag.com/1489906 Thu, 12 Sep 2024 14:24:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489906 หากพูดถึง ลิซ่า-แบล็กพิงก์ (Lisa-BLACKPINK) หรือ ลลิษา มโนบาล แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักเต้นสาวชาวไทย หนึ่งในสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีอย่าง BLACKPINK (แบล็กพิงก์) ภายใต้สังกัด YG Entertrainment แล้วล่ะก็ เรียกว่าเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยม จากทั้งคนไทยชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก 

ซึ่งในประเทศไทยที่หลายกระแสนั่นได้รับอิทธิพลมาจากลิซ่า ไม่ว่าจะกระแสลูกชิ้นยืนกิน กระแสยาดมหงส์ไทย กระแสโรตีสายไหม กระแสใส่ผ้าซิ่นเที่ยวอยุธยา รวมถึงกระแสอาร์ตทอยอย่าง ลาบูบู้ ที่ได้รับความนิยมขึ้นเป็นเท่าตัว หลังลิซ่าถือถ่ายรูปลงอินสตาแกรมของเธอ รวมถึงการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ระดับโลกทำให้สินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรียกว่าไม่ว่าจะพูดหรือหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด 

ย้อนรอย Lisa X Dentiste’ 

ด้วยความดังเปรี้ยงปร้าง ทำให้ลิซ่าเนื้อหอมมากจนแบรนด์ต่างๆ พากันดีลทำสัญญา โดยเฉพาะแบรนด์ดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น BVLGARI ในฐานะของการเป็น Global Brand Ambassador ในแคมเปญโฆษณาเครื่องประดับคอลเลกชั่น Magnifica ของ BVLGARI แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังระดับโลก ลิซ่ายังสามารถสร้างเอ็นเกจเมนต์ได้มากถึง 10% จากฐานของคนติดตามทั้งหมด ซึ่งหาได้ยากมากในหมู่ของคนดังที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก 

ตามมาด้วย CELINE แบรนด์แฟชั่น Luxury ระดับโลก ที่หลังจากลิซ่าได้เข้าร่วมชมแฟชั่นโชว์ในตำแหน่ง Front Row อยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการไปร่วมถ่ายแบบแคมเปญแฟชั่นของแบรนด์อยู่บ่อยๆ ทำให้หลายๆ ไอเท็มจาก CELINE ที่ลิซ่าสวมใส่กลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนตามหา จนเกิดปรากฏการณ์ Sold out ในทุกช็อปจากทั่วโลก สู่การที่ CELINE เป็น Global Brand Ambassador คนใหม่ให้กับแบรนด์อย่างเป็นทางการ ทำให้มูลค่าแบรนด์ของ CELINE มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 118% เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2021 และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุดในเครือ LVMH รวมทั้งล่าสุดแบรนด์แฟชั่นสุดหรูเบอร์ต้นๆ ของโลกอย่าง Louis Vuitton ได้ประกาศแต่งตั้งลิซ่า ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีหลายแบรนด์รุมจีบลิซ่าไม่น้อยเช่นกัน เพราะถ้าย้อนไปเมื่อปี 2019 ลิซ่า ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ AIS โดยถือเป็นแบรนด์แรกในไทยที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญา เนื่องจากค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญา และไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest 

ต่อมาในต้นปี 2023 TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ได้ประกาศคว้าลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับทรูมันนี่ (True Money) ที่ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง ก็ได้เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น 

อีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อยก็คือ Dentiste’ (เดนทิสเต้) เพราะเป็นแบรนด์ FMCG ที่สามารถดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ เดนทิสเต้ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสัญชาติไทย ภายใต้บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นแบรนด์พี่น้องของ Smooth E ที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เภสัชกรที่มีหลายบทบาท ทั้งอาจารย์ และนักธุรกิจ โดยที่ปัจจุบันมีทายาทรุ่น 2 เข้ามาช่วยดูแลบริหารงาน

ปัจจุบันเดนทิสเต้ทำตลาดมาได้ 18 ปี แรกเริ่มเดิมทีเดนทิสเต้ว่าจุดยืนเป็นยาสีฟันระดับพรีเมียม ที่ในยุคนั้นยังไม่มีผู้เล่นชัดเจนในเซ็กเมนต์นี้ แล้วชูจุดขายด้วยการเป็น “ยาสีฟันคู่รักยาสีฟันก่อนนอน เพราะพฤติกรรมคนไทยในตอนนั้นไม่ค่อยแปรงฟันก่อนนอน เพราะคิดว่าไม่ต้องพูดคุยกับใครแล้ว ซึ่งเป็นบ่อเกิดทำให้ฟันผุได้

(ซ้ายมือ) คุณศิวกร พิทยานุกุล (กลาง) คุณศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล และ (ขวามือ) ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ทีมผู้บริหารบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด

เดนทิสเต้จึงสื่อสารผ่าน Healthy Relationship เน้นความสัมพันธ์ของคู่รักเป็นหลัก สื่อว่าใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้แล้วตื่นเช้ามาไม่มีกลิ่นปาก แสดงความรักด้วยการจุ๊บกันในตอนเช้าได้ พร้อมใช้คู่รักเบอร์ต้นๆ ของไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ได้แก่ เคน-ธีรเดช กับ หน่อย-บุษกร, พอลล่า-เทเลอร์ กับ เอ็ดเวิร์ด-อดีตสามีนักธุรกิจ, ชมพู่-อารยา กับ น็อต-วิศรุต รวมถึง หมาก-ปริญ กับ คิมเบอร์ลี่ 

เดนทิสเต้จึงมีภาพชันเจนในเรื่องยาสีฟันคู่รักไปโดยปริยาย ทำให้กลุ่มเป้าหมายก็เป็นกลุ่มคู่รัก และกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อหน่อย เพราะมีราคาค่อนข้างสูง แต่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโจทย์ใหญ่ของเดนทิสเต้ได้เปลี่ยนไป ต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหญ่ขึ้น และเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เด็กลง พร้อมการเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้หันมา “แปรงแห้ง” มากขึ้น จึงทำให้การสื่อสารเปลี่ยนสู่ Best Moment ทำให้สื่อสารได้กว้างขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น สามารถสื่อสารได้หลายกลุ่ม คู่รัก เพื่อน หรือตัวเองก็ได้

ในปี 2564 เดนทิสเต้จึงเลือกลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ และชูโปรดักส์ตัวใหม่ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride เป็นยาสีฟันที่เป็นนวัตกรรมการแปรงฟันแห้ง ถือว่าเป็นการเคลือบฟลูออไรด์ที่ดีที่สุด รวมทั้งการได้ลิซ่ามา เป็นการปูทางสู่ Global Brand ในอนาคตด้วย

แบรนด์ดิ้งชัด ดันยอดขายโต 100% 

ผลจากลิซ่าเอฟเฟกต์ทำให้เดสทิสเต้ทลายโจทย์ใหญ่ของตัวเองหลายข้อ ทั้งเรื่องยอดขาย ขยายฐานลูกค้า สร้างการรับรู้ และการตีตลาดต่างประเทศ ปีนี้เดนทิสเต้จึงต่อสัญญาลิซ่าเป็นปีที่ 3 เพราะสัญญาเป็นการต่อปีต่อปี ซึ่งการวัดผลที่เห็นชัดที่สุดหลังจากที่ลิซ่าขึ้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้เดสทิสเต้มีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว และยอดขายเพิ่มขึ้น 50-100% และสิ่งที่ได้ทางอ้อมก็คือ “ทำดีก็มีคนก๊อป” ในตอนนั้นมีผู้เล่นเจ้าใหม่ในตลาดยาสีฟัน จากเดิมมีราวๆ 10 ราย ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50-60 ราย

ถ้าถามว่าสิ่งที่ได้มากที่สุดจากการที่ได้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์คืออะไร ดร.แสงสุข บอกว่า “แบรนด์ดิ้ง” ภาพลักษณ์แบรนด์ชัดเจนขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะช่วยเข้าถึงคนกลุ่มใหม่ๆ ได้ และเข้าถึงชาวต่างชาติ ตอนนี้เดนทิสเต้กลายเป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อกลับไปเยอะมาก ส่วนหนึ่งเรื่องเรื่องของสมุนไพรไทยที่เป็น Soft Power ไปทั่วโลก และลิซ่าก็ทำให้ภาพโกลบอลแบรนด์ชัดขึ้นด้วย

สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก หรือ ออรัลแคร์ ปี 2566 มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโต 5% ตลาดนี้จะรวมทั้งยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และไหมขัดฟัน ส่วนตลาดยาสีฟันมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 5% 

ปัจจุบัน บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีธุรกิจในเครือแบ่งเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ สมูท อี (Smooth-E) มีสัดส่วนรายได้ 40%, เดนทิสเต้ มีสัดส่วนรายได้ 40%, Smooth Life ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, ร้านขายยา P&F Smooth Life และโรงงานยาสยามเมดิแคร์ 

ภาพรวมรายได้ของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด 

  • ปี 2561 รายได้ 2,377 ล้านบาท (กำไร 118 ล้านบาท) 
  • ปี 2562 รายได้ 2,679 ล้านบาท (กำไร 130 ล้านบาท) 
  • ปี 2563 รายได้ 2,037 ล้านบาท (กำไร 84 ล้านบาท) 
  • ปี 2564 รายได้ 2,398 ล้านบาท (กำไร 73 ล้านบาท)
  • ปี 2565 รายได้ 2,414 ล้านบาท (กำไร 74 ล้านบาท) 
  • ปี 2566 รายได้ 2,255 ล้านบาท (กำไร 65 ล้านบาท) 

สำหรับปี 2567 ดร.แสงสุขตั้งเป้าภาพรวมรายได้ของสยามเฮลท์ กรุ๊ปที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เดนทิสเต้ 3% และขยายตลาดการส่งออก

]]>
1489906
“ออสเตรเลีย” เตรียมกำหนดอายุผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ขั้นต่ำ 16 ปี หลังมีความเสี่ยงกระทบร่างกาย และจิตใจ https://positioningmag.com/1489390 Tue, 10 Sep 2024 10:40:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489390 ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน สื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อพัฒนาการและอารมณ์ของเด็กเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยมเรื่อง Beauty Standard อาชญากรรม และสื่อลามกต่างๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย จึงเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ Youtube เริ่มออกกฎจำกัดการเข้าถึง vdo เกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายของวัยรุ่น เนื่องจากค่านิยม Beauty Standard แบบผิดๆ 

ล่าสุด รัฐบาลกลางของประเทศออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายจำกัดอายุผู้ใช้งานและเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ซึ่งปัจจุบันมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นคนหนุ่มสาวเข้าขั้นวิกฤต โดยอายุขั้นต่ำสำรับผู้ที่จะเข้าสู่ระบบเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram และ TikTok มีแผนกำหนดไว้ที่ 16 ปีเป็นขั้นต่ำ รวมถึงแผนการตรวจสอบอายุเพื่อทดสอบแนวทางต่างๆ กําลังอยู่ในขั้นตอนการดําเนิน

Peter Dutton ผู้นําฝ่ายค้านอนุรักษ์นิยมของออสเตรเลียกล่าวว่า เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าวิธีการตรวจสอบอายุในปัจจุบันไม่น่าเชื่อถือ หรือเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลกําลังทดลองมาตรการการจำกัดอายุ จึงรู้สึกเห็นด้วยในการจํากัดอายุการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของวัยรุ่น เพราะทุกวันนี้โซเชียลมีเดียมีส่วนทําให้เด็กมีความเสี่ยงต่ออันตรายทั้งทางกายและทางจิตใจมากเกินไป

ปัจจุบัน จีน ฝรั่งเศส และหลายมลรัฐในสหรัฐอเมริกา ได้ผ่านกฎหมายจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มเยาวชนเนื่องจากความวิตกเรื่องภัยอันตรายในโลกออนไลน์ ทั้งการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (cyberbullying) ไปถึงมาตรการความงามที่ไม่แท้จริง (unrealistic beauty standard) และอาจสร้างค่านิยมที่ผิดๆ

ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มโจมตีความเคลื่อนไหวฯดังกล่าวโดยชี้ว่า จะกระทบต่อสิทธิการแสดงออกของเยาวชน และคุกคามความเป็นส่วนตัว

“การห้ามจะกีดกั้นเยาวชนออกจากการได้เข้าร่วมที่สร้างสรรค์ในโลกดิจิทัล และปิดกั้นช่องทางสำคัญในการเข้าร่วมเครือข่ายสังคม” ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารดิจิทัล นาย Daniel Angus อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งควีนส์แลนด์ กล่าว

Source : The Australian

]]>
1489390
SCB ปักหมุด Net Zero 2050 ยุทธศาสตร์เปลี่ยนพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด สู่ “สินเชื่อสีเขียว”  https://positioningmag.com/1489292 Mon, 09 Sep 2024 13:08:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489292 ธุรกิจในปัจจุบัน กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความท้าทายใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ทำให้การดำเนินธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนจำต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทิศทางสังคมคาร์บอนต่ำหรือการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมากขึ้น

หลายภาคธุรกิจอุตสาหกรรมมีการปรับเปลี่ยนนโยบายและกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนขึ้น อาทิ ประเทศอิตาลี องค์กร SACE ซึ่งเป็น Italian Export Credit Agency ให้การสนับสนุนธุรกิจ SME ในการเข้าถึงเงินทุน โดยการให้ Green Guarantee ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็ประกาศจุดยืนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 โดยจะลดการพึ่งพาการใช้พลังงานฟอสซิลและพลังงานจากถ่านหินลง พร้อมทั้งหันมาสนับ  สนุนการใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น รวมถึง ประเทศจีน มีการออกนโยบาย Dual Credit Policy ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตรถที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการผลิตและใช้งานรถยนต์น้ำมัน โดยมีเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2603 

Net Zero ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ ทางรอด

ส่วนประเทศไทย มีนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายธุรกิจประกาศนโยบาย Net Zero กันถ้วนหน้า เพราะแรงจูงใจในเรื่อง “ภาษี” หรือ “ดอกเบี้ย” ที่ลดลง ทำให้หลายองค์กรต้องลุกขึ้นมาจริงจังด้านสิ่งแวดล้อม 

ในวงการธนาคาร ที่เผชิญกับความท้าทายจากการถูกดิสรัปต์โดยเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปิดสาขา ปรับตัวสู่การทำธุรกรรมต่างๆ บนมือถือ เมื่อผู้คนหันมาทำธุรกิจกรรมออนไลน์กันมากข้ึน ค่าธรรมเนียม ที่เป็นหนึ่งในรายได้ของธนาคารเองก็หายไป ทำให้ทางรอดของธนาคารต่างๆ จึงอยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์สินเชื่อและการลงทุน 

ก่อนหน้านี SCB ได้ประกาศนโยบาย Digital Bank with Human Touch ที่มีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการอนุมัติสินเชื่อรายย่อย 100% หรือ AI Advisory Chatbot แชตบอตให้ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน ซึ่งเป็นการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว

ความท้าทายในเรื่องนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มธนาคารจึงมากกว่าธุรกิจอื่นๆ เพราะต้องมีทั้งในด้านของ “องค์กร” และ “ลูกค้า” เพราะการปล่อยสินเชื่อก็ถือเป็นการสนับสนุนธุรกิจแล้ว

ล่าสุด SCB ตั้งเป้าสู่ Net Zero ด้วยแนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ถือเป็นธนาคารรายแรกๆ ที่ปักเป้า Net Zero อย่างจริงจัง เพราะธนาคารต้องเจอหลายปัจจัย โดยเป้าหมายนี้มี 3 ระยะด้วยกัน ได้แก่ 

1) Net Zero 2025 : ปล่อยสินเชื่อสีเขียววงเงิน 150,000 ล้านบาท ภายใน 2025 โดยปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2024 ได้สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วกว่า 111,000 ล้านบาท (นับตั้งแต่ปี 2023) 

2) Net Zero 2030 : ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่ Net Zero ภายในปี 2030 

3) Net Zero 2050 : เป็นธนาคารไทยแรกที่ตั้งเป้า Net Zero 2050 จากการให้สินเชื่อธุรกิจ ด้วยแผนการเปลี่ยนผ่านพอร์ตสินเชื่อทั้ง 2.3 ล้านล้านบาท สู่พอร์ตสินเชื่อสีเขียวทั้งหมด

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ความยั่งยืน คือ โอกาสบนความท้าทาย ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด เพราะการที่ธนาคารต้องประกาศเรื่องความยั่งยืนนั้นมีทั้งโอกาส และความท้าทาย โดยโอกาสจากเม็ดเงินลงทุน และการจ้างงาน ซึ่งบทบาทของธนาคารในเรื่องความยั่งยืน จึงเป็นเรื่องของการสนับสนุนเงินทุน ซึ่งเม็ดเงินที่โลกจะลงทุนสู่ Net Zero หรือการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นั้นมีจำนวนกว่า 39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,323 ล้านล้านบาท ทำให้ธุรกิจธนาคาร สามารถสนับสนุนและจัดสรรเงินทุน เพื่อรองรับการดำเนินการด้านความยั่งยืนของภาคธุรกิจ ที่มีความรับผิดชอบต่อ  ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีธรรมาภิบาล”

‘S-C-B’ 3 แกนหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

แนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน สำหรับการส่งต่อความยั่งยืนให้กับผู้เกี่ยวข้อง ด้วยกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของธนาคาร โดยแบ่งเป็น 3 แกนหลัก คือ S-C-B 

1) S หรือ Sustainable Banking การสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืนเพื่อลดความเสี่ยงจากการทำธุรกิจกับคู่ค้า และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ไปด้วยกัน เช่น สินเชื่อสีเขียว หรือ Green Loan ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาปรับตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับความยั่งยืน ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมายที่ธนาคารกำหนด ธุรกิจนั้นก็จะได้ผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เป็นต้น

2) C หรือ Corporate Practice Excellence คือการสร้างองค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเน้นการนำธนาคารไทยพาณิชย์ให้เป็นองค์กร Net Zero หรือ องค์กรแห่งความยั่งยืนครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ภายในปี 2030 จากการดำเนินงานภายในองค์กร อาทิ การปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงานไว้ที่ 25 องศา โดยตั้งค่าเปิด-ปิดก่อนเวลาทำการ 1 ชม. หรือ การเปลี่ยนมาใช้น้ำยาล้างแอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การติดตั้ง Solar Looftop ที่สำนักงานใหญ่และศูนย์ฝึกอบรม รวมถึงการเปลี่ยนขวดน้ำดื่ม เพื่อใช้ในกิจกรรมองค์กรเป็นพลาสติกรีไซเคิล 100% หรือ ขวด rPET ปีละ 1.3 ล้านขวด ที่สามารถลดคาร์บอนได้กว่า 60%

3) B หรือ Better Society เป็นการพัฒนาสังคมที่ดียิ่งขึ้น ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึงผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ อาทิ การพัฒนาเยาวชนผ่านการสนับสนุนทางการศึกษาและการให้ความรู้ทางการเงิน การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนและการดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึง การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ก่อให้เกิดเป็นโครงการ Smart University และ Smart Hospital โดยมีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการแล้วกว่า 400,000 ราย 

ปี 2050 ทุกธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 100%

ทางด้าน ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า 

“ธนาคารได้วางกรอบพันธกิจในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero สำหรับพอร์ตสินเชื่อและการลงทุน (Scope 3 Category 15 Investment) ภายในปี 2050 คือ ลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอธนาคารจากปัญหาภาวะโลกร้อน หนุนการเปลี่ยนแปลงผ่านการทำงานร่วมกับลูกค้า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจภายใต้การสนับสนุนการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และยังช่วยลดโลกร้อน”

ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับข้อตกลง Paris Agreement ที่ทุกประเทศจะช่วยกันควบคุมไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสต่อปี ตามมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets Initiative) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด จากกรอบการดำเนินงานที่อยู่บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ที่กว่า 8,800 องค์กรธุรกิจชั้นนำของโลกได้ให้คำมั่นตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ไว้

ตรงกับวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของธนาคารที่เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและสร้างความพร้อมให้กับเศรษฐกิจไทยต่อความท้าทายและโอกาสของสังคมคาร์บอนต่ำ มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน ผ่านผลิตภัณฑ์ (Sustainable Finance) ที่ครบถ้วนในทุกกลุ่มลูกค้าและอุตสาหกรรม โดยดำเนินการผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน คือ

1) บริหารพอร์ตสินเชื่อสีเขียว

ธนาคารได้เน้นการสนับสนุนพอร์ตสีเขียวในธุรกิจไฟฟ้า และลดการปล่อยกู้ในธุรกิจถ่านหิน โดยมีการปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 1.98 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดธุรกิจโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในการลดการปล่อยก๊าซ GHG เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วยยอดสินเชื่อพลังงานหมุนเวียนคงค้างปี 2023 กว่า 79,000 ล้านบาท ครองสัดส่วนกว่า 61% ของสินเชื่อพลังงานหมุนเวียนที่สูงกว่าธนาคารชั้นนำของโลก ที่รวมกันอยู่ที่ 53% 

โดยจะเน้นการตั้งเป้าหมาย Net Zero ตามกลุ่มลูกค้าอย่าง กลุ่มธุรกิจพลังงานต่างๆ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมองค์กรเคมีเวชภัณฑ์ ซึ่งธนาคารได้พิจารณาสินเชื่อโครงการของธนาคาร (Project Finance) ที่ได้เตรียมเงินทุนสนับสนุนการเงินยั่งยืนระหว่างปี 2023-2025 รวมกว่า 150,000 ล้านบาท และปัจจุบันได้อนุมัติวงเงินดังกล่าวไปแล้วกว่า 111,000 ล้านบาท

2) สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินยั่งยืนที่ครบถ้วน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกขนาดในแต่ละอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ อาทิ ลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารมุ่งเน้นการสนับสนุนโซลูชันเพื่อธุรกิจรักษ์โลกเพื่อผู้ประกอบการ SMEs (SCB SME Green Finance) รวมทั้งกิจกรรม Business Matching ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น สร้าง Ecosystem สำหรับเอสเอ็มอี ด้วยการความร่วมมือส่งเสริมการดำเนินธุรกิจให้ผู้ประกอบการทั้งหน่วยงานราชการ สมาคม สมาพันธ์ และ พันธมิตรทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มลูกค้าบุคคล ธนาคารนำเสนอสินเชื่อที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ สินเชื่อเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนาช่องทางดิจิทัลของธนาคาร ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืนผ่าน SCB EASY เป็นต้น 

3) การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

โดยผลักดันการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบสู่ การยกระดับการเงินที่ยั่งยืน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ และเพื่อผลักดันการสนับสนุนแก่ลูกค้าและสังคมไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนำ Equator Principles (EP) ซึ่งเป็นกรอบการบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน ที่นำมาตรฐานสากล Best Practices มาใช้เป็น กรอบแนวทางในการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ควบคู่กับการให้สินเชื่อในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ได้ดำเนินการประเมินโครงการตามหลักการ EP ไปแล้วทั้งสิ้น 53 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 75,500 ล้านบาท 

]]>
1489292
หวั่นเยาวชนเลียนแบบ! YouTube เตรียมจํากัดการเข้าถึงคลิปออกกำลังกายของวัยรุ่น หวั่นสร้างค่านิยม Beauty Standard  https://positioningmag.com/1488961 Fri, 06 Sep 2024 07:44:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488961 ปัจจุบัน ผู้คนสามารถแสวงหาความบันเทิงและความรู้ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายบนอินเทอร์เน็ต ซึ่ง Youtube ถือเป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่มีความรู้ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบที่ผู้ใช้งานสามารถค้นหาได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เพลง บทสวดมนต์ คลิปการซ่อมรถเบื้องต้น คลิปสอนภาษา คลิปสอนทำอาหาร คลิปสารคดี ไลฟ์สไตล์ต่างๆ รวมทั้งคลิปการออกกำลังกาย เป็นต้น

แต่ล่าสุด YouTube กำลังพิจารณาการจำกัดการแนะนําวิดีโอสุขภาพและการออกกําลังกายบางอย่าง เพราะวิดีโอการออกกำลังกายบางประเภท สร้างค่านิยมและอุดมคติเกี่ยวกับร่างกายแบบผิดๆ ให้กับเหล่าคนวัยรุ่นหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 13-17 ปี

YouTube กล่าวว่า บริษัทฯ กําลังเร่งดำเนินการเนื่องจากมีความกังวลว่าการเข้าถึงเนื้อหาวิดีโอสุขภาพและการออกกำลังกายซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง อาจทําให้กลุ่มคนหนุ่มสาวมีความเชื่อเชิงลบเกี่ยวกับรูปร่างของตัวเองมากเกินไป

เพราะอัลกอริทึมของ YouTube มักจะแนะนําเนื้อหาที่คล้ายกันให้ผู้ใช้ดู เมื่อพวกเขาดูเนื้อหาจากวิดีโอใดวิดีโอหนึ่งเสร็จแล้ว รวมถึงแสดงวิดีโอที่เกี่ยวข้องบนแถบวิดีโอแนะนำด้านข้าง อาทิ วิดีโอออกกำลังกาย วิดีโอการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพ ซึ่งอาจสร้างอุดมคติแปลกๆ เกี่ยวกับรูปร่างของคนให้กับเยาวชนได้

YouTube กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถูกนํามาใช้หลังจากคณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชนและครอบครัวพบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะสร้างความเชื่อเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าผู้ใหญ่ เมื่อเห็นข้อความหรือวิดีโอที่เกี่ยวกับมาตรฐานอุดมคติในเนื้อหาที่ได้ดูทางออนไลน์ซ้ำๆ ซึ่งข้อจํากัดเกี่ยวกับวิดีโอที่นําเสนอดังกล่าว จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้เข้าสู่ระบบบัญชี YouTube และได้ลงทะเบียนวันเกิดที่ถูกต้อง

ซึ่ง ดร. Petya Eckler อาจารย์อาวุโสที่มหาวิทยาลัย Strathclyde ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาพลักษณ์ร่างกายและโซเชียลมีเดีย กล่าวว่า ยินดีกับการประกาศกฎระเบียบใหม่ในครั้งนี้ของ Youtube เนื่องจากการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากังวล ทั้งจากอิทธิพลสื่อต่างๆ ที่สร้างค่านิยมเกี่ยวกับร่างกายที่เกินความพอดีให้คนหนุ่มสาวอยากจะทำตาม ซึ่งแนวคิดการออกกําลังกาย เป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมของมนุษย์ แต่ก็ไม่ควรทําเพียงเพื่อเหตุผลด้านรูปลักษณ์ภายนอก หรือ มาตรฐานความงามเพียงเท่านั้น

Source : BBC

]]>
1488961
Shein-Temu โดนสั่งตรวจสอบขายสินค้าอันตรายต่อชีวิตเด็ก หลังฟ้องกันเองเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ https://positioningmag.com/1488820 Thu, 05 Sep 2024 04:30:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488820 หลังจากมีข่าวการฟ้องร้องเรื่องการขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และการขโมยความลับทางการค้าระหว่าง ‘Shein’ ผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่นออนไลน์และไลฟ์สไตล์จากจีน และ ‘Temu’ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซน้องใหม่จากจีน จนกลายเป็นที่ฮือฮากันทั่วโลก

ซึ่งคดีความระหว่างทั้งคู่ ได้ถูกยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางในวอชิงตัน ดี.ซี. ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยที่ Shein เองก็ยังมีคดีความที่คลัายกันจากแบรนด์อื่นด้วย อย่าง Levi Strauss และ H&M ที่ยังเป็นประเด็นการพิจารณาของศาลอยู่

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมการความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคสหรัฐอเมริกา (U.S. CPSC) ได้เรียกร้องให้หน่วยงานมีการตรวจสอบทั้ง Shein และ Temu หลังจากตรวจพบว่า ทั้ง 2 บริษัทมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทารก และวัยหัดเดินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต บนเว็บไซต์ ของทั้ง 2 บริษัท

นาย ปีเตอร์ เฟลดแมน และ นายดักลาส ดิแอค กรรมาธิการ CPSC เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบว่า แพลตฟอร์มเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหรือไม่ เพราะปัจจุบันสินค้าบางรายการได้ถูกห้ามจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาแต่ยังมีการวางจำหน่ายใน Temu และ Shein

เช่น คอกกั้นเตียงเด็ก โดยในประกาศเรียกคืนสินค้าฉบับหนึ่งระบุด้วยว่า ในปี 2022 และ 2023 มีการจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ในสหรัฐอเมริกาผ่านแพลตฟอร์ม Temu ประมาณ 125 รายการ ซึ่งสินค้าดังกล่าวถือเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำให้ทารกหายใจไม่ออก รวมถึงมีการจำหน่ายเสื้อฮู้ดแบบมีเชือกผูกสำหรับเด็ก ในสหรัฐฯ บนแพลตฟอร์มของ Shein ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกห้ามจำหน่ายเนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการรัดคอได้

Source : Reuters

]]>
1488820