Lupang – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 16 Dec 2024 14:13:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สตีฟ จ๊อบส์ ‘หนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ’ https://positioningmag.com/1503679 Mon, 16 Dec 2024 12:03:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503679 สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) คือ ‘อัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลก’ ซึ่งเป็นตำนานทั้งในฐานะ ‘นักคิด’ และ ‘ผู้นำ’ ที่สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และเรื่องราว รวมไปถึงประสบการณ์ชีวิตของเขาได้ถูกถ่ายทอดนำมาเป็นบทเรียนให้กับใครหลายคน

 

หนึ่งในนั้น คือ ‘การจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ ต้องรักในสิ่งที่ทำ’ โดยจ๊อบส์ได้ถ่ายทอดบทเรียนนี้ผ่านสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของจ๊อบส์ ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในช่วงโดนไล่ออกจาก Apple บริษัทของตัวเอง และนั่นทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่รักไป

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องดีต่อชีวิตของจ๊อบส์ เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาบอกว่า คงไม่ได้สร้าง NeXt บริษัทผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Operating System ที่เหนือชั้นอย่าง NeXTStep และ Pixar บริษัทแอนิเมชั่นชั้นนำของโลกขึ้นมา

 

“บางครั้งชีวิตของคุณจะเจอเรื่องแย่ ๆ จงอย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินต่อได้คือการที่รักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่รักให้เจอ และจริงใจกับงานให้เหมือนกับความจริงใจที่มีให้คนรัก งานของคุณจะเติมเต็มชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ และทางเดียวที่จะทำให้ตัวคุณพอใจกับการใช้ชีวิตคือทำในสิ่งที่เชื่อว่าดีที่สุด และหนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหามันไม่เจอ ก็หามันต่อไป อย่าหยุด และเมื่อคุณหามันเจอ หัวใจจะบอกคุณเองว่า นี่แหล่ะใช่เลย” 

แล้วบรรดาแฟน ๆ ของ Positioning ล่ะ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักเจอหรือยัง และได้ลงมือทำอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ ?

]]>
1503679
1:2 Coffee ร้านกาแฟจากเชียงราย สู่ขวัญใจชาวออฟฟิศที่กำลังมาแรง https://positioningmag.com/1503560 Mon, 16 Dec 2024 05:48:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503560 ตอนนี้ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหนมาไหน จะเจอกับร้านกาแฟเต็มไปหมด แต่ภายใต้ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ กลับมีร้านหนึ่งซึ่งกำลังมาแรง นั่นคือ 1:2 Coffee ร้านกาแฟจากเชียงรายที่มาบุกกรุงเทพฯ และสร้างชื่อในช่วงล็อกดาวน์เมื่อปี 2564 จากช่วงเริ่มต้นมีรายได้หลักล้านบาท กำไรแสนกว่าบาท ผ่านไป 3 ปี มีรายได้หลักร้อยล้านบาท กำไรหลักสิบล้านบาท

 

อะไร คือ Key success ที่ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นที่จับตามองของวงการร้านกาแฟ ณ ตอนนี้

 

1:2 Coffee เป็นร้าน Specialty coffee จากเชียงราย โดยตอนแรก ‘ปอ-อัครนันท์ ธัญธีราเศรษฐ์’ หนึ่งในผู้ร่วมตั้ง บริษัท หนึ่งต่อสอง จำกัด ผู้ดำเนินการร้านกาแฟแบรนด์นี้ไม่ได้สนใจหรือมี Passion กับธุรกิจร้านกาแฟ

 

กระทั่งได้เริ่มดื่มกาแฟเป็นประจำ ทำให้ได้เห็นถึง Pain Point ของคอกาแฟว่า ‘กาแฟรสชาติดี มักมีราคาสูง’ จนทำให้ไม่สามารถดื่มได้ทุกวัน จึงมองเป็นโอกาสทางธุรกิจ และเกิดไอเดียอยากทำร้านกาแฟที่มีรสชาติดีมีคุณภาพให้คนสามารถดื่มได้ทุกวันขึ้นมา

 

จากไอเดียดังกล่าว ทำให้ร้านนี้เกิดขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ Everyday Coffee วางตัวเองอยู่ในกลุ่ม Premium Mass เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนในวงกว้าง

 

ส่วนที่มาของชื่อร้าน ก็มาจาก อัตราส่วนการสกัดกาแฟเอสเปรสโซ ที่ 1:2 โดยร้านแห่งนี้เริ่มบุกตลาดกรุงเทพฯ ในปี 2564 ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ระบาด และเกิดการล็อกดาวน์

 

จุดเด่นสำคัญที่ถือเป็น Key success ของ 1:2 Coffee คือ การเน้นขายกาแฟคุณภาพระดับพรีเมียมไม่ต่างจากกาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท แต่มี ‘ราคาเป็นมิตร’ สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า เมนูร้อนเริ่มต้นที่ 50 บาท เมนูเย็นเริ่ม 55 บาท แถมมีระดับความเข้มให้เลือกทั้ง คั่วอ่อน-คั่วกลาง-คั่วเข้ม และมีเมล็ดต่างประเทศให้เลือกด้วย

 

นอกจากมีโรงคั่วของตัวเองแล้ว ที่นี้ยังใช้เครื่องชงกาแฟระดับไฮเอนด์ราคาครึ่งล้าน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของกาแฟให้มีความสม่ำเสมอ รวมถึงดีไซน์ร้านในสไตล์โมเดิร์นเข้ากับยุคสมัย และเลือกเปิดในโลเคชั่นที่สามารถขายได้ตลอดทั้งวันตามคอนเซ็ปต์ Everyday Coffee ซึ่งเน้นเปิดสาขาในทำเลที่ต้องเป็นทั้งแหล่ง ‘ที่อยู่อาศัย’ และ ‘สถานที่ทำงาน’

 

กลยุทธ์ทั้งหมด ทำให้ 1:2 Coffee ได้รับความนิยม และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตอนนี้มีสาขามากกว่า 30 แห่ง กระจายอยู่ตามใจกลางเมือง ศูนย์การค้า รวมไปถึงตามอาคารสำนักงานต่าง ๆ และยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง

 

ขณะที่รายได้เองก็มีการเติบโตน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์พบว่า บริษัท หนึ่งต่อสอง จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อ เมษายน 2564 จากการเริ่มต้นในช่วงโควิด มีรายได้หลักล้านบาท กำไรหลักหนึ่งแสนกว่าบาท ผ่านไปเพียง 3 ปี มีรายได้หลักร้อยล้านบาท มีกำไรหลักสิบล้านบาท โดย

ปี 2564 มีรายได้รวม 4,386,988 ล้านบาท กำไร 155,513 บาท

ปี 2565 มีรายได้รวม 28,429,005 ล้านบาท กำไร 400,043 บาท

ปี 2566 มีรายได้ 140,918,921 ล้านบาท กำไร 19,512,023 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันในธุรกิจร้านกาแฟที่รุนแรงทั้งจากแบรนด์ไทยและต่างชาติ บวกกับสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อช่วงขาลง จึงน่าจับตามองว่า ต่อจากนี้ทาง 1:2 Coffee จะมีการเพิ่มกลยุทธ์ใดมาเป็นหมัดเด็ดมัดใจลูกค้าอีกหรือไม่

ที่มา

https://o2oforum.com/entrepreneur-one-to-two/

https://www.youtube.com/watch?v=BHHQ3lSomWk

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

]]>
1503560
‘เจ้าสัวธนินท์’ บอกโลกธุรกิจยุคใหม่ เป็นยุคของ ‘สตาร์ทอัพ’ https://positioningmag.com/1503198 Thu, 12 Dec 2024 14:34:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503198 เมื่อค่ำคืนวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ‘เจ้าสัวธนินท์-ธนินท์ เจียรวนนท์’ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพีได้ปรากฏตัวในงาน Gala Premiere ของภาพยนตร์ ‘Start It Up วัยสตาร์ท น็อนสต็อป’ ซึ่งภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ต้องมารับช่วงธุรกิจครอบครัวทั้ง ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ ทำให้เผชิญกับปัญหามากมาย แต่เพราะความทุ่มเท และมี ‘เพื่อนแท้’ คอยให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ทำให้เขาก้าวสู่ความสำเร็จได้

 

ภายในงานนอกจากเจ้าสัวธนินท์จะพูดถึงเนื้อหาภาพยนตร์ที่มีทั้งความสนุก และยังมีประโยชน์สำหรับคนที่เริ่มต้นสร้างธุรกิจใหม่ หรือผู้ที่รับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัวโดยไม่มีประสบการณ์ รวมถึงให้ข้อคิดในเรื่องมิตรภาพระหว่างเพื่อนแล้ว ยังได้ฝากข้อคิดให้กับบรรดาสตาร์ทอัพและเหล่าคนรุ่นใหม่ที่ได้ก้าวสู่เส้นทางธุรกิจไว้ว่า

 

“ยุคนี้จะกลับไปเหมือนยุค 70-80 ปี ที่บริษัทใหญ่มีไม่มาก การจ้างงานก็น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ทอัพและนักธุรกิจรายย่อย ซึ่งต่อมากลายเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ และอยู่ในระดับโลกก็มี เช่นเดียวกับยุคนี้แต่ทำได้ง่ายกว่า ดีกว่าและมีโอกาสมากกว่า เพราะมีโอกาสมาจากทั่วโลก

 

“ที่สำคัญคนทุกคนสามารถหาและมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายต่างจากยุคก่อน ยุคนี้แค่เสิร์ชใน google เข้าเว็บไซต์ หาจาก TikTok แถมตอนนี้มี ChatGPT เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องน่าสนใจมาก 

 

“ในยุคใหม่นี้ จะมีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่มากมาย โดยเฉพาะด้านไฮเทค นับว่า เป็นโอกาส แต่การจะประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คนทำต้องทุ่มเท พยายาม และต้องผนึกกำลังกัน โดดเดี่ยวไม่ได้ แม้กระทั่งธุรกิจใหญ่ก็ไม่สามารถไปคนเดียวได้”

]]>
1503198
จับตาการเทกออฟของ OR ในปี 68 ที่ชู ‘ธุรกิจไลฟ์สไตล์’ เป็นดาวรุ่ง และผลักดัน ‘คาเฟ่ อเมซอน’ สู่ตลาดต่างประเทศให้เหมือน ‘สตาร์บัคส์’ https://positioningmag.com/1502792 Wed, 11 Dec 2024 06:18:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502792 กำลังก้าวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญอีกครั้ง สำหรับ OR หรือ ‘บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)’ หลังจาก ‘ดิษทัต ปันยารชุน’ ครบวาระการทำงานในฐานะ ซีอีโอ OR ในวันนี้ (11 ธ.ค. 2567) ซึ่งก่อนหน้าที่จะหมดวาระเขาได้พูดถึงทิศทางการเติบโตของ OR ในอนาคตในหลายประเด็น โดยฟันธงว่า ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการลงทุน และเทกออฟของ OR

 

แล้วธุรกิจอะไรจะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เห็นภาพที่ว่า?

 

คำตอบคือ ‘ธุรกิจไลฟ์สไตล์’ ที่ทางดิษทัตบอกว่า จะเป็นดาวรุ่งสำหรับ OR ด้วยเหตุผล 1.เป็นธุรกิจที่มีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก และ 2.ในปีนี้ได้มีเคลียร์พอร์ต ‘ตัด’ ธุรกิจไม่ก่อให้เกิดรายได้และกำไรที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ออกไปแล้ว 5-6 ตัว นั่นหมายถึงโอกาสและศักยภาพการลงทุนในธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR จะมีมากขึ้น

 

โดยธุรกิจที่ได้ตัดออกไปจากพอร์ต ได้แก่ ธุรกิจไก่ทอด ‘เท็กซัส ชิคเก้น’, ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ‘โคเอ็น’, แอปพลิเคชันด้านอะไหล่รถยนต์ FIXX, ‘ลงทุนแมน’ และ OR CHINA บริษัทที่ดำเนินการคาเฟ่ อเมซอนในประเทศจีน

 

รวมถึงได้มีการทบทวนแผนลงทุนใน Orbit Digital บริษัทพัฒนาด้านดิจิทัล เทคโนโลยี ที่ทาง OR ร่วมลงทุนกับ ‘บลูบิค กรุ๊ป’ ภายใต้โจทย์ จะทำอย่างไรให้บริษัทแห่งนี้เป็นที่รู้จัก และมี Value มากขึ้น เพราะในอนาคต OR ต้องการให้ Orbit Digital เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

 

“ก่อนจะถอยหรือตัดธุรกิจอะไรออกไป จะมีการมอนิเตอร์ และอัดฉีดเงินเข้าไปในช่วง 8 เดือน ดูว่า จะฟื้นหรือกระเตื้องหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องเอาออก อย่างเท็กซัส ชิกเก้น มันพิสูจน์มาสิบปีแล้วไม่มีกำไร ส่วนธุรกิจกาแฟในจีน เราสู้ไม่ได้ เพราะบิสิเนสโมเดลของที่นั้นเป็นการเผาเงิน เราไม่อยากทำแบบนั้น”

 

การตัดธุรกิจไม่ก่อรายได้และกำไรออกจากพอร์ต จะส่งผลให้ EBITDA Margin ในปี 2568 ของ OR ปรับเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 30% แต่สิ่งสำคัญหลังจากอุดรูรั่วที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตแล้ว คือ ในปีหน้าต้องมีการลงทุนในธุรกิจไลฟ์สไตล์เพิ่ม และต้องเป็นการลงทุนในตัวใหญ่ ๆ ให้ได้ ซึ่งตามไปป์ไลน์จะมีลงทุนเพิ่มอีก 2-3 ธุรกิจ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้

 

“คอนเซ็ปต์ลงทุนของเราต่อไปจะต้อง ‘เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ เอา’ เพราะเมื่อลงทุนธุรกิจเล็ก เราเจ็บตัวทุกครั้ง เพราะ SME ไม่สามารถสเกลอัพขึ้นไม่ได้ และไม่มีอิมแพคต่อ OR คือ ลงทุนร้อยล้าน แต่เราเป็นธุรกิจแสนล้าน มันไม่เวิร์ก”

เดินหน้าบุก Beauty & Wellness

สำหรับธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ OR ได้เพิ่มเข้ามาในพอร์ตแล้วในปีนี้ ก็คือ found&found ร้าน Beauty & Wellness ภายใต้แนวคิด SIMPLE . EASY. EVERYSKIN ที่จะคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์ชั้นนำจากไทย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่มีราคาเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่หลายคนอาจสงสัยว่า เป็นธุรกิจที่ ‘ใช่’ สำหรับ OR หรือไม่

 

ดิษทัตยืนยันว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เป็นอนาคต และถือเป็นการก้าวออกไปจาก Comfort Zone ของ OR เพราะเป็นธุรกิจที่ตอบสนองกับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ประกอบกับสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันที่กำลังจะเข้าสู่ Ageing society อย่างสมบูรณ์แบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้ Beauty & Wellness ยังไม่มีเจ้าของตลาดชัดเจน ซึ่ง OR เองมีศักยภาพและความพร้อมในเรื่อง ‘เงินทุน’ สำหรับบุกตลาดนี้ โดยตอนนี้ร้าน found&found มีด้วยกัน 5 สาขา ได้แก่ สาขา EnCo ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์, สาขา พีทีที สเตชั่น สายไหม 56, สาขา พีทีที สเตชั่น บรมราชชนนี 97, สาขา OR Space รามคำแหง 129 และศูนย์การค้าแพชชั่น ช้อปปิ้งเดสติเนชั่น ระยอง

 

ส่วนแผนที่จะผลักดันให้ร้าน found&found สร้างอิมแพ็คและมีการเติบโตได้ดี ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ทาง found&found จะมีการไปลงทุนกับพาร์ทเนอร์รายใหญ่ และขยายสาขาต่อเนื่องให้ครบ 10 สาขา ภายในปี 2568

 

‘คาเฟ่ อเมซอน’ ต้องลุยต่างประเทศให้เหมือน ‘สตาร์บัคส์’ ถึงอยู่รอด

 

ขณะที่ ‘คาเฟ่ อเมซอน’ เรือธงหลักของธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ดำเนินธุรกิจมานาน 22 ปี โดยปัจจุบันมีสาขาในประเทศมากกว่า 4,500 สาขา และในต่างประเทศ 400-500 สาขา ถือเป็นเชนร้านกาแฟใหญ่ที่สุดอันดับ 6 ของโลก จะต้องพยายามไปขยายสาขาในต่างประเทศให้มากขึ้นเหมือนกับ ‘สตาร์บัคส์’

 

หากไม่สามารถทำได้ ดิษทัตบอกว่า ในอีก 5 ปี ธุรกิจจะ ‘ไปไม่รอด’ เพราะปัจจุบันตลาดร้านกาแฟในประเทศล้น จนขยายสาขาใหม่ได้ยากแล้ว 

 

“กว่า 20 ปีที่ผ่านมา คาเฟ่ อเมซอน เป็นธุรกิจที่ทำได้ดีมาก มียอดขายมากกว่า 1 ล้านแก้วต่อวัน แต่มาถึงตอนนี้ความดีนั้นต้องมีการปรับ เพื่อให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ผ่านมาเราพยายามมองตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เช่น เริ่มดำเนินการโรงผลิตแก้ว ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 และต้องจัด World Coffee Seminar พัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อให้แตกต่างจากคู่แข่งที่ตามเรามา”

ความจริงการชูธุรกิจไลฟ์สไตล์ ให้เป็นดาวรุ่งสร้างการเติบโต เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ OR ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง นั่นคือ การผลักดันสัดส่วนของธุรกิจ Non-oil ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับรายได้จากธุรกิจหลักและเป็นธุรกิจรากฐานของ OR นั่นคือกลุ่ม oil

 

อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนทั้งหมด ตั้งแต่ทิศทาง กลยุทธ์ และงบลงทุน คงต้องรอทาง ซีอีโอ คนใหม่ของ OR  ‘ม.ล. ปีกทอง ทองใหญ่’ ที่จะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค. 2567) มาแถลงอีกครั้ง โดยคาดว่า จะเกิดขึ้นช่วงเดือน ม.ค.หรือ ก.พ.2568

 

 

 

 

 

 

]]>
1502792
อีกสิบปี ‘กาแฟ RTD’ ในไทยจะมีมูลค่า 6.2 หมื่นล้าน อะไรที่ทำให้ตลาดนี้โตแรง? https://positioningmag.com/1502436 Mon, 09 Dec 2024 04:57:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502436 ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว หากสินค้าหรือบริการใดสามารถตอบสนองเทรนด์นี้ได้ นั่นหมายถึงยอดขายและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ‘กาแฟพร้อมดื่ม’ หรือ กาแฟ RTD (Ready To Drink) ที่แม้ตอนนี้คนไทยยังมีการบริโภคน้อยอยู่ แต่ในอีกสิปปีข้างหน้ามีการประเมินว่า ตลาดนี้จะโตปีละ 9% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 62,033 ล้านบาท

 

นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นหรือไม่ที่เป็นแรงส่งให้ตลาดกาแฟ RTD มีการเติบโตร้อนแรงเช่นนี้?

 

จากข้อมูลของ Tetra Pak Compass 2023 ได้รายงานถึงปริมาณการบริโภคกาแฟ RTD ของทั่วโลกในปี 2020-2023 อยู่ที่ประมาณ 7,600 ล้านลิตร มีการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจากการบริโภคทั้งหมดเป็นการบริโภคอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APAC ถึง 75%

 

ตลาดกาแฟในไทยน่าสนใจแค่ไหน ?

 

สำหรับประเทศไทยนั้น จากรายงานดังกล่าวระบุว่า มีการบริโภคเครื่องดื่ม (ไม่รวมน้ำดื่ม) อยู่ราว 15,864 ล้านลิตร ในจำนวนนั้นเป็นการบริโภคกาแฟอยู่ในสัดส่วนที่ 11% ซึ่งตลาดกาแฟในภาพรวมมีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปีสูงกว่าเครื่องดื่มหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนมและกลุ่มน้ำผลไม้ เป็นต้น

 

นั่นทำให้กาแฟกลายเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ของตลาดเครื่องดื่มที่มีการเติบโตน่าสนใจ

‘สุภนัฐ รัตนทิพ’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในบรรดาตลาดกาแฟทั้งหมดเซ็กเมนท์ RTD เป็นตลาดน่าสนใจที่สุด เพราะแม้ปัจจุบันจะมีการบริโภคอยู่ในสัดส่วน 12% จากภาพรวมของตลาดกาแฟ แต่ในอนาคตโตแรงแน่นอน ซึ่งเหตุผลเพราะนอกจากช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ ยังมาจากปัจจัยหลัก ดังต่อไปนี้

 

ประเด็นแรก ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน และกลุ่ม Gen Z มีความคุ้นเคยและดื่มกาแฟมากขึ้น โดยจะมีการบริโภคอย่างน้อย 2 แก้วต่อวัน

 

ประเด็นที่ 2 ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบายและความรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้เพิ่มขึ้น

 

ประเด็นที่ 3 การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงมีการออกรสชาติและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น

 

ประเด็นที่ 4 มาจากการขยายตัวของช่องทางจัดจำหน่ายที่มากขึ้น โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ที่ส่วนใหญ่จะมีสินค้ากลุ่ม RTD วางจำหน่าย ทำให้เป็นเพิ่มโอกาสในการขยายตัวของสินค้ากลุ่มนี้ รวมถึงกาแฟ RTD

 

จากปัจจัยทั้งหมด ทำให้มีการประเมินว่า ในอีกสิบปีข้างหน้าตลาดกาแฟพร้อมดื่มจะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปี 2024 มีมูลค่าอยู่ที่ 26,095 ล้านบาท เพิ่มเป็น 62,033 ล้านบาท ในปี 2034 ซึ่งถือเป็นโอกาสน่าสนใจสำหรับทั้งผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและผู้เล่นรายใหม่ที่มองหาช่องทางเข้าสู่ตลาดกาแฟ RTD

 

ทั้งนี้ ตลาดกาแฟ RTD ในบ้านเรา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘กลุ่มแมส’ เป็นตลาดพื้นฐาน เช่น กาแฟดำ กาแฟใส่นม ฯลฯ ราคาอยู่ประมาณ 10 บาท กับ ‘กลุ่มพรีเมียม’ ใช้เมล็ดกาแฟพิเศษ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ระดับราคาอยู่ที่ 30 บาทขึ้นไป ซึ่งสุภนัฐบอกว่า การทำตลาดอยากให้โฟกัสในกลุ่มพรีเมียม เพราะกำไรต่อหน่วยสูงกว่า และยังเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์

โดยการทำตลาดในกลุ่มนี้ สามารถต่อยอดความได้เปรียบด้วยการ Value-added ผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสร้างความแตกต่าง บรรจุภัณฑ์หรูหรา การตลาดแบบเฉพาะเจาะจง หรือการนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์

 

รวมไปถึงพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์เป็น ‘มากกว่ากาแฟ’ ด้วยการเพิ่มคุณประโยชน์อื่นเข้าไปเพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพที่มาแรง ยกตัวอย่าง ประเทศเกาหลีที่มีการใส่ High Protein เข้าไป หรือญี่ปุ่น อีกตลาดที่ใหญ่ของกาแฟ ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ไซด์ลิตรให้บริโภคที่บ้าน และมีการทำกาแฟ Plant-based ขึ้นมา เป็นต้น

 

“ราคา เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ แต่ถ้าสินค้าสามารถตอบโจทย์ความต้องการเขาได้ผู้บริโภคก็พร้อมจ่าย และต้องทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่า เราจะสู้ด้วยกลยุทธ์อะไร เพราะอย่าลืมว่า ตอนนี้ไม่มีแล้วสำหรับ One size doesn’t fit all”

]]>
1502436
‘เวียดนาม’ เอาจริง! สั่งระงับการให้บริการ Shein และ Temu หลังผิดนัดจดทะเบียนธุรกิจ https://positioningmag.com/1502234 Fri, 06 Dec 2024 06:42:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502234 Shein และ Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีน ถูกสั่งระงับการดำเนินงานในเวียดนาม เนื่องจากไม่จดทะเบียนธุรกิจภายในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเข้มงวดกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างประเทศของเวียดนาม

 

ก่อนหน้านี้ Temu ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ PDD Holdings ได้เริ่มให้บริการในเวียดนามเมื่อเดือนตุลาคม และถูกกำหนดให้ต้องจดทะเบียนกับรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในกำหนด มิฉะนั้นแล้วโดเมนอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันจะถูกบล็อก

 

ล่าสุด Reuters รายงานว่า เวียดนามได้สั่งระงับการดำเนินงานของTemu เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจาก Temu ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายในกำหนด และภาษาเวียดยามได้ถูกถอดจากจากแอปฯ Temu

 

อย่างไรก็ตาม รายงานไม่ได้ระบุว่า การระงับการดำเนินงานจะกินระยะเวลานานแค่ไหน และไม่ได้แจ้งว่า Temu ต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อยกเลิกคำสั่งดังกล่าว

 

เช่นเดียวกับ Shein ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน โดย Shein ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นจะปฏิบัติตามกฎหมายของทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ พร้อมระบุว่า เว็บไซต์ Shein ในเวียดนามจะไม่สามารถเข้าถึงได้ชั่วคราว แต่ลูกค้าในเวียดยามยังสามารถใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มระหว่างประเทศได้

 

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐสภาเวียดนามได้อนุมัติการแก้ไขกฎหมายภาษี เพื่อบังคับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างประเทศที่จะเข้ามาดำเนินการในเวียดนามต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเรียกร้องให้ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าราคาถูกที่นำเข้า

 

อ้างอิง : https://www.reuters.com/business/retail-consumer/temu-told-suspend-vietnam-operations-state-media-reports-2024-12-05/

]]>
1502234
วัดพลัง ‘หมูเด้ง’& ‘น้องเอวา’ นาทีนี้ใครครองใจคนโซเชียลมากกว่ากัน https://positioningmag.com/1502036 Wed, 04 Dec 2024 05:23:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502036 หลังจาก ‘หมูเด้ง’ ได้สร้างปรากฏการณ์ กลายเป็นขวัญใจมหาชนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็มีบรรดาน้อน ๆ สัตว์ตัวอื่นกำลังได้รับความสนใจและเป็นกระแสไวรัลบนโลกโซเชียล โดยเฉพาะ ‘เอวา’ น้องเสือหน้าแป๊วจากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ดาวรุ่งดวงใหม่ที่อาจจะมาเขย่าบัลลังก์หมูเด้งซุปตาร์รุ่นพี่ผู้บุกเบิกให้ผู้คนมาสนใจความน่ารักของสัตว์มากขึ้น

จากข้อมูลของ ‘บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด’ หรือ Wisesight ได้ทำ Social Listening เกี่ยวกับการพูดถึงสองซุปตาร์สาวนี้ไว้ ซึ่ง Positioning จะขอวิเคราะห์ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มก้าวสู่บันไดดาว

เริ่มต้นจากหมูเด้ง เจ้าของแฮชแท็ก #หมูเด้งจะเด้งกี่โมง ข้อมูลจาก Wisesight พบว่า ในช่วงเปิดตัวระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 25 สิงหาคม 2567 มีการพูดถึงหมูเด้ง 6,165 ข้อความ, เฉลี่ยมีพูดถึงวันละ 193 ข้อความ ส่วนเอนเกจเมนต์อยู่ที่ 7,527,718 เอนเกจเมนต์ เฉลี่ยต่อวันมีเอนเกจเมนต์ 235,241 เอนเกจเมนต์

ฝั่งเอวา #เสือหน้าแป๊ว ช่วงเปิดตัวระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน 2567 มีการพูดถึง 2,963 ข้อความ, เฉลี่ยมีการพูดถึงวันละ 99 ข้อความ, มีเอนเกจเมนต์ 15,658,827 เอนเกจเมนต์ เฉลี่ยเอนเกจเมนต์ต่อวันอยู่ที่ 527,961 เอนเกจเมนต์

จะเห็นได้ว่า ช่วงเปิดตัวหมูเด้งมีการพูดถึงมากกว่า แต่มีเอนเกจเมนต์น้อยกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงแรก ๆ ที่กระแสกำลังจุดติดขณะที่เอวามาทีหลังน่าจะได้รับอานิสงส์จากความแรงของหมูเด้ง ทำให้คนสนใจและเอนเกจ มากกว่า

ส่วน ณ นาทีนี้ ระหว่าง ‘หมูเด้ง-ศิษย์เขาเขียว’ กับ ‘เอวา-เสือหน้าแป๊วแห่งค่ายเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี’ ใครสามารถครองใจและถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลมากกว่ากัน

ทาง Wisesight ได้มีการวิเคราห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียในประเด็นการพูดถึงการเปรียบเทียบฟอร์มระหว่างสองซุปตาร์สาวคนดังระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2567 พบว่า

เอวาถูกพูดถึง 3,094 ข้อความ, มีเอนเกจเมนต์ 15,664,069 เอนเกจเมนต์, เฉลี่ยมีเอนเกจเมนต์ 870,226 เอนเกจเมนต์/วัน โดยมาจาก Facebook 57%, X 6%, Instagram 9%, TikTok 4% อื่น ๆ 6% ซึ่งเรื่องราวที่พูดถึงเอวา ส่วนใหญ่จะเป็นความน่ารัก ตาแป้ว และดาวดวงใหม่ของเชียงใหม่ซาฟารี รวมถึงยอดเข้าชมสวนสัตว์มากขึ้น และคอนเทนต์ที่พาไปทำความรู้จักกับน้องเอวา

ขณะที่ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน โลกโซเชียลมีการพูดถึงหมูเด้ง 33,638 ข้อความ, มีเอนเกจเมนต์ 13,130,877 เอนเกจเมนต์, เฉลี่ยมีเอนเกจเมนต์ 729,493 เอนเกจเมนต์/วัน มาจาก Facebook 63%, X 18%, Instagram 7%, TikTok 2% อื่น ๆ 2%

จากสถิตินี้จะเห็นได้ว่า หมูเด้งมีการถูกพูดถึงมากกว่าหลายช่วงตัว ทว่ามีเอนเกจเมนต์น้อยกว่า ซึ่ง เอนเกจที่น้อยกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่า เพราะกระแส ‘หมูเด้งฟีเวอร์’ เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่น้องเอวาเพิ่งเริ่มมาแรง โดยทางเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้โพสต์ภาพครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 และพีคขึ้นในวันต่อมา จากนั้นกระแสเริ่มลดลงมา และไต่ขึ้นบ้างในบางวัน

เมื่อดูจากข้อมูลแล้ว ตอนนี้หมูเด้งยังแรงและโดดเด้งในใจคนโซเชียล โดยสาเหตุที่ยังทำให้ความฟีเวอร์ยังคงอยู่แม้จะมีกระแสมาพักนึงแล้ว ต้องยกเครดิตให้กับ ‘ทีมนักปั้น’ ของหมูเด้งที่มีการโพสต์ และครีเอตสร้างเรื่องราวในการเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่อง บวกกับคาแรกเตอร์ ความโดด ความเด้ง ความน่ารักของหมูเด้งเอง ทำให้ซุปตาร์สาวแห่งสวนสัตว์เขาเขียวยังสามารถครองใจผู้คนจำนวนมากได้อยู่

‘เบนซ์-อรรถพล หนุนดี’ พี่เลี้ยงของหมูเด้ง และแอดมินเพจ ‘ขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง’ ผู้อยู่เบื้องหลังความโด่งดังของหมูเด้ง บอกกับ Positioning ว่า สิ่งเหล่านี้มาจากการสะสมประสบการณ์ในการทำเพจมากว่า 7 ปี นำเสนอแบบไหนคนถึงจะชอบ แบบไหนคนไม่ชอบ

ส่วนกลัวกระแสตกหรือไม่ เขาตอบว่า เมื่อมี ‘ขึ้น’ ก็ย่อมมี ‘ลง’ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อโตขึ้น สัตว์จะมีความน่ารักลดลง โดยตัวเขาเองไม่ได้ ‘กลัว’ หรือ ‘กังวล’ กับเรื่องนี้ ยังคงตั้งใจนำเสนอ Story ความน่ารักของหมูเด้ง รวมถึงสัตว์ตัวอื่น ๆ ต่อไป

อย่างตอนนี้กำลังปั้น ‘ซุปตาร์’ ตัวใหม่ขึ้นมา นั่นคือ กะปิปลาร้า (คาปิบาร่า) ที่ได้มีการโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดียไปแล้วว่า อยากดังแบบหมูเด้ง และยังมีคู่ของ ‘หมูตุ๋น’ พี่ชายของหมูเด้ง กับ ‘หมูมะนาว’ ฮิปโปแคระจากสวนสัตว์โคราชที่กำลังจะเข้าประตูวิวาห์เร็ว ๆ นี้ ก็ได้มีการวางเรื่องราวนำเสนอไว้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับกระแสความแรงของสัตว์จากสวนสัตว์อื่น ๆ ที่เกิดตอนนี้ ผู้ปั้นหมูเด้งให้โด่งดังบอกว่า ถือเป็น ‘เรื่องดี’ เพราะนอกจากทำให้ผู้คนหันมาสนใจสัตว์ต่าง ๆ มากขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีภาพรวมของสวนสัตว์ ซึ่งอยากให้ทุกสวนสัตว์หันมาสร้าง story นำเสนอความน่ารักของสัตว์ให้มากขึ้นด้วย

]]>
1502036
บางกอกแอร์เวย์ส ชี้ธุรกิจการบินเห็นสัญญาณบวก มั่นใจปีหน้า โต 10 -12% https://positioningmag.com/1501883 Tue, 03 Dec 2024 11:57:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501883 หลังจากถูกมรสุม ‘โควิด’ ซัดอย่างหนัก ตอนนี้ธุรกิจสายการบินเริ่มมีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ธุรกิจการบินของประเทศไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย

‘พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ’ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้อัปเดตภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินทุกภูมิภาคทั่วโลกในปี 2567 ว่า มีแนวโน้มเติบโตขึ้น และจากข้อมูลของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) พบว่า การเดินทางระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 19.7% และการเดินทางระหว่างประเทศจากยุโรปสู่ทวีปเอเชียมีอัตราการเติบโตสูงสุด 23.1%

ปัจจัยเหล่านี้ เป็นอานิสงส์ให้ธุรกิจการบินของประเทศไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยผลดำเนินงานของบางกอกแอร์เวย์สช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 เป็นไปในทิศทางที่ดี มีจำนวนผู้โดยสาร 3.31 ล้านคนเพิ่มขึ้น 10 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเป็นสัดส่วน 75 % ของช่วงก่อนโควิด

ส่วนอัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) อยู่ที่ 82 % ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 จุด สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งมีอัตราขนส่งผู้โดยสารที่ 68% และมีรายได้ผู้โดยสาร 14,006 ล้านบาท เติบโตขึ้น 26% หรือคิดเป็นสัดส่วน 96% ของช่วงก่อนโควิด-19

จากผลดำเนินการช่วง 9 เดือนของปีนี้ บวกกับสถานการณ์ของธุรกิจการบินที่มีแนวโน้มดี ทำให้มั่นใจว่า บางกอกแอร์เวย์สจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปี 2567 มีจำนวนเที่ยวบิน 48,000 เที่ยวบิน มีจำนวนผู้โดยสาร 4.5 ล้านคน รายได้จากการขายตั๋ว 17,800 ล้านบาท มีราคาขายตั๋วเฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท

เตรียมลดราคาตั๋ว 30%ช่วงสิ้นปี

ขณะที่ปัญหา ‘ราคาตั๋วแพง’ ในช่วงเทศกาลหรือไฮซีซั่น ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ทางพุฒิพงศ์ บอกว่า ราคาตั๋วเป็นเรื่องที่ต้องบาลานช์ระหว่างความเหมาะสมกับความอยู่รอด เพราะถ้าตั้งราคาแพงไป ตั๋วจะขายไม่ได้ สายการบินก็อยู่ไม่ได้

ในทางกลับกัน หากราคาถูกไปก็จะกระทบต่อความอยู่รอดของสายการบิน เนื่องจากตอนนี้มีต้นทุนการดำเนินการหลายอย่างขึ้นไปแล้ว ทั้งอุปกรณ์ ค่าซ่อมบำรุง และค่าอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังมาถึง ทางบางกอกแอร์เวย์ส จะร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมที่ได้ขอความร่วมมือกับสายการบินต่าง ๆ ให้เพิ่มเที่ยวบินและดูแลเรื่องราคาตั๋วแพง โดยจะลดราคาตั๋วลง 30% เริ่มให้จองตั้งแต่วันที่ 5-7 ธันวาคม 2567 และสามารถเดินทางได้ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมไปจนถึง 5 มกราคม 2568 เพื่อช่วยลดปัญหาเรื่องดังกล่าว

ตั้งเป้าปีหน้าโต 10-12%

สำหรับปี 2568 ยังมองแนวโน้มทิศทางการท่องเที่ยวเป็นบวก จากยอดการสำรองที่นั่งบัตรโดยสารล่วงหน้าที่สะท้อนภาพรวมการท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 นี้ ต่อเนื่องจนถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ที่มีอัตราการจองเติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการจองในเส้นทางสมุยเติบโตสูงสุดอยู่ที่ 25%

ในปีหน้าบางกอกแอร์เวย์สตั้งเป้าการเติบโตของรายได้และจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 10-12 % โดยจะมีการเช่าเครื่องบินแอร์บัสเอ 320 และเอ 319 อีก 2 ลำ เพื่อขยายความถี่ของเที่ยวบินเพิ่มขึ้นคาดว่าจะเริ่มนำเข้ามาในช่วงกลางปี 2568

ปัจจุบันบางกอกแอร์เวย์มีเส้นทางการบิน 25 เส้นทาง แบ่งเป็นในประเทศ 17 เส้นทาง และต่างประเทศ 8 เส้นทาง ครอบคลุมจุดหมายปลายทางทั้งหมด 19 จุด แบ่งเป็นใน 11 จุด อีก 8 จุด เป็นต่างประเทศ ซึ่งมีแผนการเปิดเส้น ทางอื่นๆ ในอนาคต โดยได้มีการอยู่ศึกษาเส้นทางที่ศักยภาพและทยอยกลับมาเปิดให้บริการในเส้นทางที่เคยบินในช่วงก่อนโควิด -19

อย่างในปีนี้ได้มีการเปิดเส้นทางที่กลับมาบินใหม่ ได้แก่ เส้นทางเชียงใหม่และกระบี่ ที่เริ่มกลับมาบินตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ส่วนเส้นทางที่จะกลับมาบินใหม่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568 คือ เส้นทาง ‘สมุย-กัวลาลัมเปอร์’

ขณะที่อุตสาหกรรมการบินอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า คาดการณ์การเดินทางระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 17.2% ซึ่งสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ และจากทิศทางดังกล่าว ในปี 2568 จะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยคาดว่ามีการเติบโตสอดคล้องเป็นไปตามแนวโน้มของอุตสาหกรรมการบินในระดับภูมิภาค

]]>
1501883
หาดทิพย์ ทุ่ม 3 พันล้าน สร้างต้นแบบ ‘โรงงาน’ ผลิตเครื่องดื่มที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1501465 Mon, 02 Dec 2024 04:17:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501465 ปัจจุบัน Sustainability ไม่ใช่แค่นโยบายองค์กรที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ทว่าได้กลายเป็นหนึ่งในกฏเกณฑ์ของการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเวทีระดับชาติ ทำให้องค์กรต่าง ๆ วางเรื่องนี้ไว้เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ

 

รวมถึง ‘บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)’ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์โคคา-โคล่าใน 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งได้ใช้เงินราว 3,000 ล้านบาท ลงทุนในโรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่ยั่งยืน ทั้งเปิดไลน์การผลิตขวดแก้วแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการยกเครื่องบรรจุภัณฑ์ให้ลดการใช้พลาสติกและเพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิลให้มากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ก็มีการนำเทคโนโลยี ตลอดจนแนวคิดต่าง ๆ มาใช้ภายในโรงงานแห่งนี้ เพื่อให้สามารถลดปริมาณการใช้น้ำและพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อโลก รวมถึงสร้างการเติบโตทางธุรกิจแบบยั่งยืน

 

ต้นแบบโรงงานยั่งยืนของหาดทิพย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 315 ไร่ เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2556 สำหรับรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและให้บริการผู้บริโภคในภาคใต้ตอนบน มีด้วยกัน 6 ไลน์การผลิต รองรับการผลิตทั้งขวด PET กระป๋อง ขวดแก้วชนิดคืนขวดและไม่คืนขวด รวมไปถึง Fountain หัวเชื้อเข้มข้นสำหรับตู้กดน้ำ และมีคลังสินค้าพื้นที่ 22,000 ตร.ม.

 

การขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนในโรงงานแห่งนี้ จะดำเนินการผ่านหลายแนวทาง ได้แก่

 

การบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์

หาดทิพย์มีเป้าหมายต้องการการออกแบบและคิดค้นบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% และมีส่วนประกอบจากพลาสติกรีไซเคิลให้ได้อย่างน้อย 50% ภายในปี 2573 ตลอดจนจัดเก็บบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อนำมารีไซเคิลในปริมาณที่เทียบเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ออกสู่ตลาดให้ได้ ภายในปี 2573

 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว หาดทิพย์ได้ดำเนินการผ่านหลายแนวทาง หนึ่งในนั่น คือ การเปิดไลน์การผลิตขวดแก้วใหม่ ที่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของหาดทิพย์ เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วชนิดคืนขวดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในช่องทางโรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคารในพื้นที่ภาคใต้ อีกทั้งยังเป็นประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่หาดทิพย์มีศักยภาพในการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่ง และยังช่วยเสริมความสามารถในการบริหารต้นทุนบรรจุภัณฑ์ในระยะยาวให้ดียิ่งขึ้นด้วย

 

สำหรับสายการผลิตขวดแก้วใหม่ที่เพิ่งเปิดดำเนินการเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน มีกำลังการผลิตขวดแก้ว 800 ขวดต่อนาที และมีการเปลี่ยนมาใช้ฉลากกระดาษที่ย่อยสลายได้บนขวดแทนการสกรีนสี เพื่อให้สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยขวดแก้วแบบใหม่นี้จะทยอยออกสู่ตลาดภายในสิ้นปี 2567 และหลังจากนี้ จะมีการทยอยปรับการผลิตเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วจากที่โรงงานหาดใหญ่มายังโรงงานพุนพิน คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2567

 

ขณะที่การส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ได้มีการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้บรรจุภัณฑ์หมุนเวียน พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ได้พัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อลดปริมาณและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ 

 

นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา หาดทิพย์สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ลงถึง 911 ตัน และลดการใช้อะลูมิเนียมลง 404 ตัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4,670 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ส่วนในปี 2567 บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักพลาสติกในบรรจุภัณฑ์ลงให้ได้ 800 ตัน โดยล่าสุดสามารถลดน้ำหนักพลาสติกที่ใช้ผลิตฝาขวดน้ำอัดลมจาก 2.45 กรัม เหลือ 1.75 กรัม ช่วยลดการใช้พลาสติกได้ 28%

 

การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

โรงงานใหม่นี้ ถูกออกแบบมาให้ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการที่ลดการใช้และหมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำได้ 100% ในการผลิตที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของเครื่องดื่ม

  • ลดการใช้น้ำในการผลิต โดยตั้งเป้าลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต จากปัจจุบัน 1.54 ลิตรต่อหน่วยการผลิต ให้เหลือ 1.39 ลิตรต่อหน่วยการผลิต ภายในปี 2573 ผ่านการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น การปรับขนาดหัวฉีดล้างขวดแก้ว การติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบแผ่น และการติดตั้งระบบล้างรถอัตโนมัติที่ใช้น้ำจากการหมุนเวียน
  • โครงการ UF Recover Backwash ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ไส้กรอง Ultrafiltration ซึ่งสามารถนำน้ำสะอาดกลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ถึง 44,513 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เมื่อเทียบกับระบบเดิมในปี 2565 ช่วยลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลงได้ถึง 9%
  • ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อปรับเสถียร บนพื้นที่ 26 ไร่ ซึ่งใช้พลังงานต่ำ โดยใช้แบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic) ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย สามารถรองรับน้ำทิ้งได้เพียงพอกับกำลังการผลิตของโรงงาน และเป็นไปตามมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม

 การจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

การบริหารจัดงานทางด้านนี้ หาดทิพย์ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารผลิต และแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ จำนวนมากกว่า 9,000 แผง ที่โรงงานพุนพิน ช่วยผลิตพลังงานทดแทนมาใช้ภายในโรงงานได้ 19% ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มเติม โดยคาดว่า จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานได้ 28% ก่อนสิ้นปี 2568

 

ขณะที่การใช้พลังงานทดแทน เช่น เพิ่มการใช้รถยกไฟฟ้าในคลังสินค้า จำนวน 29 คัน และใช้รถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิง NGV จำนวน  8 คัน นอกจากนี้ โรงงานพุนพินยังติดตั้งหม้อไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิง LPG รวมถึงระบบหมุนเวียนความร้อนกลับมาใช้ใหม่

การดำเนินการทั้งหมด จะมีการประเมินผลอย่างจริงจัง  เช่น การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมขององค์กรที่จะมีการประเมินเป็นประจำทุกปี เพื่อพัฒนาการดำเนินงาน และขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้ขอการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของหน่วยสินค้าจำนวน 83 ประเภท

]]>
1501465
สรุปสถิติ-เทรนด์น่าสนใจจาก #FacebookIRL https://positioningmag.com/1501451 Fri, 29 Nov 2024 12:30:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501451 FacebookIRL หรือ Facebook In Real Life เป็นโครงการระดับโลกของ Meta เพื่อตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนหลายพันล้านทั่วโลก ซึ่งถูกจัดขึ้นใน 4 ประเทศทั่วโลก และ ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 3 ประเทศนอกสหรัฐอเมริกาที่มีการจัดงานนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบ้านเราต่อ Meta

 

ภายในงานได้มีการแชร์สถิติสำคัญ และเทรนด์น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในไทยเร็ว ๆ นี้ ยกตัวอย่าง Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยที่จะเปิดตัวภายในสัปดาห์หน้า พร้อมเผยถึงเทคนิคในการสร้าง Engagement บน Facebook

 

สถิติน่าสนใจ

 

– Meta มีผู้ใช้จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมแล้ว 3.29 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 5% ทุกปี โดยเป็นผู้ใช้ Facebook มากกว่า 2 พันล้านคน

สำหรับในประเทศไทย Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 60 ล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 5%จากปีก่อน และมีผู้ใช้งาน Messenger กว่า 56 ล้านคนต่อเดือน

– บน Facebook มี Group มากกว่า 43 ล้านกลุ่ม และ 25 ล้านกลุ่มเป็นสาธารณะ ซึ่งในแต่ละเดือนมีผู้ใช้กว่า 1.8 ล้านคนมีส่วนร่วมในกลุ่ม

– Facebook มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Young Adult หรือคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 19-29 ปี

คนรุ่นใหม่ใช้เวลา 60% เพื่อดูวิดีโอบน Facebook และ 50% ดู Reels

 

เทรนด์ที่มาแรง บน Facebook

 

– พฤติกรรมการใช้ Facebook ของกลุ่ม Gen Z เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมใช้เพื่อเชื่อมต่อกับผู้คน ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น Expand & Explore ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ของกลุ่มนี้ โดยจะเน้นสำรวจความสนใจและค้นหาสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงใช้ขยายคอมมูนิตี้ และคอนเน็กชันของตัวเอง

– Reel มาแรง และคนรุ่นใหม่เกินครึ่งจะดู Reels เป็นหลัก ที่สำคัญจะดูทุกวัน

– ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จะแชร์วิดีโอในสาธารณะ แต่ตอนนี้พวกเขาจะแชร์เฉพาะตัวเองหรือกลุ่มเฉพาะ ทำให้เทรนด์ Private Sharing เติบโตขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน

– 4 ฟีเจอร์บน Facebook ที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้ ได้แก่ Market Place, Group, Event และ Messenger

ไฮไลต์ของ Meta AI มีอะไรบ้าง

 

– Meta ได้ลงทุนเงินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเรื่อง AI เพื่อจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกทางด้านนี้

– ตอนนี้มีผู้ใช้งาน Meta AI อยู่ประมาณ 500 ล้านคน

– บน Facebook มีผู้ใช้ราว 15 ล้านคน ใช้ Generative AI สำหรับทำคอนเทนต์และโฆษณา

Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยกำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า

– Meta AI จะมีฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยให้ Admin สามารถบริหารจัดการคอมเมนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือและฟีเจอร์อื่น ๆ อาทิ Imagine yourself ที่ AI จะช่วย Gen ภาพตามที่ต้องการ และ AI Comment Summary สำหรับช่วยสรุปเนื้อหา และไฮไลต์คอนเทนต์หลักในโพสต์ เป็นต้น

 

อัปเดตเทรนด์ Creator สร้างรายได้น่าสนใจ

 

ทาง Facebook เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีครีเอเตอร์กว่า 4 ล้านคนที่สร้างรายได้บน Facebookโดยระหว่างปี 2023 จนถึงปี 2024 Facebook ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้ครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวส่วนมากเป็นคอนเทนต์ Reels ที่เติบโตสูงถึง 80%

นอกจากนี้ Facebook ยังได้แนะนำครีเอเตอร์ที่ต้องการปั้นช่องและสร้างรายได้ว่า ให้เปิด Professional Mode เพื่อให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและข้อมูลอินไซต์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์แต่ละตัว รวมไปถึงการสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มด้วยรูปแบบต่าง ๆ

ขณะเดียวกัน Facebook ยืนยันว่า สนับสนุนครีเอเตอร์ที่โพสต์คอนเทนต์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ภาพ วิดีโอ และวิดีโอสั้น ซึ่งประสิทธิภาพของคอนเทนต์ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจ และการทำได้อย่างตรงจุด ไม่ได้เกี่ยวกับรูปแบบของการโพสต์

ยกตัวอย่างที่มีครีเอเตอร์หลายครีเอเตอร์ โดยเฉพาะสื่อ นิยมโพสต์คอนเทนต์ในรูปแบบสเตตัส เพราะเชื่อว่า เอนเกจจะดีกว่ารูปแบบบทความ ถือเป็นความเชื่อที่ไม่ตรงกับความจริง

 

 

]]>
1501451