Lupang – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Dec 2025 11:55:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808
เทรนด์ ‘หลอกลวงสมัครงาน’ พุ่งสูง โดย ‘รายได้ดี-ได้เงินไว’ เป็นข้ออ้างให้ตกเป็นเหยื่อง่ายสุด https://positioningmag.com/1549374 Sun, 30 Nov 2025 07:18:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549374 นอกจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของ ‘ตลาดงาน’ อีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่หายไปคือ ‘การประกาศงานหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพ’ ซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้น    

 

บริษัท SEEK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jobsdb และ Jobstreet เปิดเผยข้อมูลเทรนด์ล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มกลโกงในการหางานทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย พบว่า มิจฉาชีพมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นตามบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้สมัครงานในแต่ละประเทศ

 

ข้อมูลการวิเคราะห์เทรนด์ในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลภายในของระบบตรวจจับกลโกงบนแพลตฟอร์มของ SEEK ซึ่งรวมถึง Jobstreet และ Jobsdb ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 โดยดึงข้อมูลจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

 

แต่ละประเทศมีรูปแบบการหลอกลวงต่างกันไป

 

สำหรับ ‘ตลาดเอเชีย’ ในภาพรวมยังพบว่า การหลอกลวงด้านการจ้างงานส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง และโลจิสติกส์ (16%) โดยมิจฉาชีพมักฉวยโอกาสจากผู้ที่กำลังต้องการหางานอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ตำแหน่งงานด้านการขาย (7% จากทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญ

 

ขณะที่ ‘ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์’ พบมีการหลอกลวงในกลุ่มงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ที่ 9% สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่มีสัดส่วนเพียง 2%

 

ส่วนประเทศไทยการหลอกลวงด้านการจ้างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังมีรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างออกไป โดยตำแหน่งงานที่พบการหลอกลวงสูงสุด ได้แก่

 

งานด้านการขาย 67%

งานด้านบัญชี 17%

งานด้านสื่อ โฆษณา และศิลปะ 17%

 

ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มิจฉาชีพมักมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สมัครที่กำลังมองหางานอย่างเร่งด่วน หรืองานที่ให้ค่าตอบแทนในรูปแบบค่าคอมมิชชัน ทำให้ผู้สมัครกลุ่มนี้มักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่าย จากข้ออ้างเรื่องรายได้ดีและได้เงินไว

 

โซเชียลมีเดีย ช่องทางหลอกลวงหลัก

 

จากข้อมูล Jobsbd by SEEK พบว่า รูปแบบการหลอกลวงของประกาศงานมักแฝงมาเพื่อชักนำผู้หางานให้เข้าสู่กิจกรรมผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว และกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนากลยุทธ์การหลอกลวงให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ช่องทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ เป็นพื้นที่การประกาศจ้างงาน เนื่องจากขาดระบบตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ

 

สำหรับคำแนะนำ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของประกาศงานหลอกลวง

1.ให้ผู้สมัครใช้เฉพาะเว็บไซต์หางานที่ได้รับการรับรอง

2.หลีกเลี่ยงการติดต่อผ่านแอปแชตส่วนตัว

3.กรอกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงานเท่านั้น พร้อมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย

4.หากพบลักษณะของงานที่น่าสงสัย เช่น ค่าตอบแทนสูงเกินจริง ไม่มีรายละเอียดงานชัดเจน ให้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที

]]>
1549374
สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347
สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ จับมือ PTTEP ส่งโดรนปฏิบัติการลำเลียงถุงยังชีพ-เวชภัณฑ์ช่วยผู้ประสบภัย https://positioningmag.com/1549342 Sat, 29 Nov 2025 10:38:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549342 สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสงขลายังคงน่าเป็นห่วง หลังมวลน้ำระลอกใหญ่เข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 จนส่งผลให้เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด หลายชุมชนตกอยู่ในสภาพที่ยานพาหนะทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ประชาชนหลายพันครัวเรือนติดค้างภายในที่พักอาศัยโดยปราศจากอาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรค

 

บริษัท สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ (Skyller Solutions) ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือ โดรน ในกลุ่มของบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี (ARV) ร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ “สีแดง” หรือพื้นที่เฝ้าระวังที่รถยนต์และเรือท้องแบนเริ่มพบข้อจำกัด จึงนำเทคโนโลยี”โดรนเพื่อการขนส่ง” (Delivery Drone) และ “โดรนเพื่อการสำรวจและเฝ้าระวัง” ((Surveillance Drone) เข้ามาเสริมทัพ สนับสนุนภารกิจส่งมอบความช่วยเหลือผ่านศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่42 ค่ายเสนาณรงค์ จังหวัดสงขลา ช่วยลำเลียงถุงยังชีพและเวชภัณฑ์ส่งตรง ถึงมือผู้ประสบภัยในจุดที่เข้าถึงได้ยาก เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าและลดความเสี่ยงให้ทีมกู้ภัยหน้างาน

 

คุณาชาติ วิทูรสุนทร หัวหน้าทีมเทคโนโลยีโซลูชันส์ บริษัท สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวถึงปฏิบัติการครั้งนี้ว่า “วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ในครั้งนี้รุนแรงและกินวงกว้างกว่าครั้งที่ผ่านมา เมื่อถนนถูกตัดขาด เรือท้องแบนเข้าถึงพื้นที่ได้ยาก การขนส่งทางอากาศจึงเป็นทางช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโดรน จึงระดมทีมปฏิบัติการนำโดรนลงพื้นที่ เพื่อส่งถุงยังชีพ น้ำดื่มและเวชภัณฑ์ยาให้ถึงมือผู้ประสบภัยให้ได้โดยเร็วที่สุด”

 

ปฏิบัติการเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 โดยทีมงานของ สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ เริ่มต้นภารกิจด้วยการส่ง โดรนเพื่อการสำรวจบินสแกนพื้นที่เพื่อหาพิกัดและเส้นทางบินที่ปลอดภัยและวางแผนร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในพื้นที่ ก่อนจะส่งโดรนเพื่อการขนส่งบรรทุกถุงยังชีพและเวชภัณฑ์ เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายบริเวณพื้นที่เทศบาล 2 และชุมชนใกล้เคียง ซึ่งเป็นจุดที่มีระดับน้ำท่วมสูงและมีรายงานผู้ป่วยรวมถึงเด็กเล็กที่ขาดแคลน นมและอาหารจำนวนมาก

 

โดยศักยภาพของโดรนเพื่อการขนส่งที่ สไกลเลอร์ โซลูชั่นส์ ที่มีระบบนำร่องที่แม่นยำ นำมาใช้ในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทำให้สามารถหย่อนถุงยังชีพ เวชภัณฑ์ยาและน้ำดื่ม ลงส่งของได้อย่างแม่นยำแม้อยู่ในพื้นที่จำกัดท่ามกลางสภาพอากาศที่ฝนตกและลมแรงเป็นช่วง ๆ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางจากเดิมที่ต้องใช้เรือฝ่ากระแสน้ำเชี่ยว ซึ่งมีความอันตรายและความยากลำบากในการเข้าถึงทำให้ลดความเสี่ยงกับทีมกู้ภัยภาคพื้นดิน

 

]]>
1549342
คุยกับ CEO วีรันดา ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ https://positioningmag.com/1548892 Wed, 26 Nov 2025 13:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548892 คุยกับ ‘ภวัฒภ์ องค์วาสิฏฐ์’ CEO บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ถึงมุมมอง ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ และอนาคตธุรกิจท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรในวันนี้ที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมถึงวิธีคิดการพาองค์กรเดินหน้าต่อบนเส้นทางที่มีหลายปัจจัยยังไม่แน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถือเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แต่ตอนนี้กำลังอ่อนกำลังลง จากความท้าทายหลายเรื่องทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวของดาราจีน และเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลงชัดเจน

 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่หายไปตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา จนปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นคืนมาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้มีกระแสพูดถึงในประเด็น ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ด้านการท่องเที่ยวให้กับ ‘เวียดนาม’

 

ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ถูกสั่นคลอน

CEO วีรันดา ยืนยันว่า เขายังเชื่อมั่นใน ‘ศักยภาพ’ ของธุรกิจนี้ในบ้านเรา พร้อมยืนยันไทยยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ และมี ‘จุดเด่น’ ที่หลากหลายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลงรักและกลับมาเที่ยวซ้ำ ขณะที่บางประเทศไปครั้งเดียว ไม่ไปซ้ำอีก

 

“แต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ต่างกัน ไทยมี Soft power แข็งแรงและหลากหลาย ทั้งอาหาร, วัฒนธรรม, สิ่งแวดล้อม, เสน่ห์ของคนไทย, Hospitality และช้อปปิ้งมอลล์ ผมไม่คิดว่า ไทยด้อยกว่าที่อื่นตรงไหน ส่วนการที่หลายคนมองไทยจะแพ้เวียดนามเรื่องท่องเที่ยว ผมว่าเป็นการมองที่ไกลไป ต้องมองในเชิงลึก เพราะเวียดนามใกล้กับจีน ทำให้ข้ามพรมแดนได้ง่าย ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น เหมือนกับคนมาเลเซียมาเที่ยวไทยเพิ่ม ก็มีผลมาจากคนข้ามดินแดน”

 

ในฐานะนักลงทุน เขาจึงมองธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยยังมีโอกาสอยู่ แค่ใครจะมองเห็นและจับมาเป็นจุดแข็ง เพื่อชิงโอกาสทางธุรกิจได้

 

‘Positioning’ และ ‘จุดแข็ง’ ต้องชัด

 

สำหรับวีรันดาเองวาง Positioning ชัดเจน นั่นคือ การเป็น Lifestyle Destination เน้นเรื่องดีไซน์ และ ‘Instagrammable’ การออกแบบและตกแต่งให้สามารถถ่ายลงอินสตาแกรมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบประสบการณ์ คุณค่า ในราคาเข้าถึงได้

 

นั่นจึงทำให้วีรันดาเติบโตได้ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 9 เดือน ปี 2568 ที่มีรายได้รวม 1,103 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ทาง CEO วีรันดาเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากรัฐบาลช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2568 จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ ‘เที่ยวดีมีคืน 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 2568 ให้นำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

 

นอกจากนี้ การที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’  มาทำหน้าที่ Amazing Thailand Ambassador จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้

 

และแม้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว ก็มีตลาดยุโรป อเมริกา และอินเดียที่โตต่อเนื่องโดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดแห่งความหวังในอนาคตของไทย เนื่องจากจำนวนประชากรกลุ่มระดับกลางมีการขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น บวกกับด้วยอินเดียใกล้ไทย เดินทางง่าย ถ้ามีบินไฟลต์ตรงยิ่งจะให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้นอีก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้าโต 20% อาจไม่ถึงเป้าเดิมที่วางไว้ 25% แต่ทั้งหมดผมมองเป็นภาพบวกนะ หลังจากนี้จะดีขึ้น”

 

AI อีกตัวแปรสำคัญของธุรกิจ

 

อีกส่วนที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ของธุรกิจโรงแรม หนีไม่พ้นเรื่อง AI จากเมื่อก่อนการเข้าถึงลูกค้าจะผ่าน Google search เป็นหลัก แต่ตอนนี้ AI และโซเชียล มีเดียอื่น อาทิ TikTok และ IG ฯลฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แถมมีให้เลือกใช้หลายตัว 

 

ดังนั้น จุดที่ต้องทำ คือ ต้องให้ชื่อและเรตติ้งของโรงแรมติดอันดับเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาผ่าน AI หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวีรันดาศึกษาและให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

 

“เรื่อง AI และโซเชียลอื่นสำคัญ เช่นเดียวกับการใช้อินฟลูฯ หลัง ๆ เองเราใช้อินฟลูฯ ที่เป็นต่างชาติเยอะขึ้น เพราะนอกจากคนไทยเห็น คนประเทศเขาก็เห็น และเราทำแล้วเวิร์คด้วย เพราะเน้นโรงแรมที่เป็นดีไซน์ เน้นรูปถ่าย สถานที่สวยคนชอบแชร์อยู่แล้ว

 

“ส่วนสงครามราคา เราเห็นมาตลอด แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้ให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น เช่น ภูเก็ต ไม่มีใครลงราคาให้นะ และเดี๋ยวนี้มี AI มาตั้งราคาให้ด้วย คือ จะเช็กราคาคู่แข่งในตลาดขึ้นราคาแล้ว ถ้าห้องเหลือน้อย AI จะเปลี่ยนราคาขึ้นให้เลย อันนี้เป็นเรื่องน่าจับตามอง”

 

‘มุ่งมั่นอย่ายอมแพ้’ คาถาฝ่าความท้าทาย

 

มาถึงช่วงท้ายของการพูดคุย เราถามภวัฒภ์ว่า มี ‘หลักคิด’ อะไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย ซึ่งเขาตอบว่า Perseverance ต้องพากเพียร มุมานะ และอย่ายอมแพ้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ปัญหามีเป็นปกติอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามีทางออก’ เพียงต้องพยายามและหาทางไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้ไปต่อไป อย่างช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหนัก

 

ช่วงนั้นทางวีรันดาหันมาโฟกัสตัวเอง ทำให้องค์กร Lean มีไขมันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายและโอกาสมา ทำให้วีรันดาสามารถวิ่งได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น

 

ส่วนผู้นำที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

 

ทาง CEO วีรันดา ไม่ได้จำกัดความไว้ แต่มองว่าผู้นำที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้วีรันดาผ่านวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง 

 

“แต่ละวิกฤตสอนไม่เหมือนกัน แต่บทเรียนที่ได้เรียนรู้หลัก ๆ คือ มาแบบไหนก็ต้องอยู่ได้ ต้องปรับตัวให้เร็ว และทันสถานการณ์ คนต้องรู้จักยืดหยุ่น ทำให้ได้หลายหน้าที่ อีกอย่างที่ผมพยายามถ่ายทอดให้ทีม คือ ความคิดแบบเจ้าของ หรือ Entrepreneur เพราะเมื่อมีจะทำให้เราทุ่มเท มองรอบด้าน และเป็นนักสู้มากขึ้น

 

“อย่างช่วงโควิดผมลงมาดูรายละเอียดทุกอย่างอย่างใกล้ชิด ทั้งค่าใช้จ่าย การจัดการหารายได้ และกลยุทธ์การตลาดหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือ เราต้องเน้นลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ทำ แพ็กเกจโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำไลฟ์ขายวอเชอร์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆ และปรับรูปแบบการทำงานของทีมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเพื่อความรวดเร็วในการทำงานและผ่านช่วงที่ท้าทายนี้ไปได้”

]]>
1548892
เทรนด์ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ ทำคนไทย ‘ก่อหนี้’ เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว https://positioningmag.com/1548657 Tue, 25 Nov 2025 12:11:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548657 ‘ภาระหนี้’ ยังเป็นประเด็นน่าห่วง และน่ากังวลสำหรับคนไทย โดยเฉพาะการก่อหนี้จากเทรนด์ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ (Buy Now Pay Later) อีกหนึ่งบริการของอีคอมเมิร์ซที่ทำให้การก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น แม้กระทั่ง ‘กาแฟหนึ่งเดียว’ หรือ ลิปสติกแท่งละ 150 บาท ก็ยังผ่อน

 

จากการเก็บข้อมูลของ ‘บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด’ หรือ ‘เครดิตบูโร’ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า ช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 คือ วิกฤตหนี้หนักสุดของไทย ซึ่งมีการก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นภาระหนี้สะสม ทั้งการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลมาซ่อมแซมบ้านและสถานประกอบการ จากนั้นถูกซ้ำเติมอีกครั้งจากวิกฤตโควิด-19 เป็นปรากฏการณ์ ‘income shock’ หรือ ‘ตกหลุมรายได้’ ทำให้ผู้คนมีรายได้ลดลงโดยที่ยังมีการะหนี้ที่ดอกเบี้ยยังเดินอยู่

 

สำหรับสาเหตุของภาระหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นของคนไทย ‘สุรพล โอภาสเสถียร’ ผู้อำนวยการใหญ่ เครดิตบูโร บอกว่า ส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘นโยบายทางการเมือง’ ในอดีต เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก และการรับจำนำข้าว เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ยังมาจาก ‘สถาบันการเงิน’ และ ‘ผู้ปล่อยสินเชื่อ’ มีการกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้คนก่อหนี้ โดยเฉพาะปัญหาการก่อหนี้ที่น่ากลัวจากเทรนด์ใหม่ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ หนึ่งในบริการของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทำให้ก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น กระทั่ง ‘กาแฟหนึ่งแก้ว’ หรือ ‘ลิปสติกแท่งละ 150 บาท’ และสินค้าอื่นๆ ก็สามารถผ่อนได้

 

ขณะเดียวกัน สุรพลได้เตือนว่า นโยบายการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะข้อเสนอให้แก้ไขระบบเครดิตบูโร ที่ต้องการให้ ‘ลบประวัติเสียทันที’ หากชำระหนี้ครบ หรือผ่อนต่อเนื่อง 6 เดือน ซึ่งเป็นความเสี่ยง เพราะผู้ให้สินเชื่อไม่รู้ว่า ลูกหนี้ดีกับลูกหนี้เสีย จะถูกลบประวัติเหมือนกัน ทำให้ปล่อยกู้ยากกว่าเดิม

 

หนี้สินเสมือน ‘ไฟ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์

 

ด้าน ‘ศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์’ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พูดถึง ‘วัฒนธรรมหนี้ 2 ทศวรรษของข้อมูลเครดิตกับเศรษฐกิจไทย’ โดยฉายภาพของการก่อหนี้ว่า หนี้สินเสมือน ‘ไฟ’ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ และตอนนี้เป็นปัญหาที่น่ากังวล นั่นคือ

 

-อดีตคนไทยก้าวเข้าสู่ระบบหนี้ครั้งแรกจาก ‘หนี้ก้อนใหญ่’ จากการซื้อบ้านหรือรถ แต่มาจากหนี้ก้อนเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘การเช่าซื้อ’ เพื่ออุปกรณ์ไอที, โทรศัพท์มือถือ, หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ

-คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 25 ปี ถูกดึงเข้าสู่ระบบหนี้ด้วยการผ่อนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าห่วงคือ หนี้จากการผ่อนซื้อทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากมีปัญหาเรื่องเครดิตบูโร เพราะมีการผ่อนมากขึ้นจนไม่สามารถจ่ายได้

-กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือ ‘นักจ่ายขั้นต่ำ’ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลพบว่า คนที่จ่ายขั้นต่ำกว่า 30% ของยอดคงค้าง มีอัตราการมีปัญหาเป็นหนี้เสียสูงถึง 43.89% และมีระยะเวลาที่เริ่มมีปัญหาเร็วกว่ากลุ่มอื่น

 

สำหรับทางออก รศ.ดร.ธานีบอกว่า ก่อนก่อหนี้ต้อง ‘ประเมินตนเอง’ และต้องมีความรู้ทางการเงิน เพื่อไม่ให้เล่นกับไฟ จนควบคุมไม่ได้

]]>
1548657
KFC ประกาศเลิกใช้ Spork กลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิม หลังลูกค้าบ่น https://positioningmag.com/1548461 Tue, 25 Nov 2025 05:29:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548461 เป็นประเด็นเรียกร้องมานานพอสมควรกับการอยากให้ ‘KFC’ กลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิม หลังจากทางแบรนด์เปลี่ยนมาได้ ‘Spork’ หรือ ‘ช้อนผสมส้อม’ ซึ่งล่าสุด KFC ประเทศไทยก็ได้ประกาศยกเลิกการใช้ Spork อย่างเป็นทางการแล้ว

 

สำหรับจุดเริ่มต้นของ Spork เกิดจากทางแบรนด์ตั้งใจจะทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารของลูกค้าสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเปิดตัว Spork ได้ไม่นาน ก็มีผู้บริโภคหลายคนไม่ค่อยถูกใจ Spork เพราะเมื่อใช้งานจริงผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ด้วยรูปทรงกึ่งช้อนกึ่งส้อมทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพทั้งสองด้าน

 

จนเกิดการพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ทั้งเรื่อง ‘การตักข้าวไม่ค่อยสะดวก’, ‘ตักซอสก็ไม่ค่อยขึ้น’, ‘จิ้มไก่ที่ลำบากกว่าที่ควร’ จึงเกิดเป็นเสียงเรียกร้องจำนวนมากให้ KFC หันกลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิมอีกครั้ง และเป็นที่มาของการประกาศเลิกใช้ดังกล่าว

 

แต่ความสนใจคือ KFC ประเทศไทยไม่ได้ประกาศเลิกใช้แบบธรรมดา แต่หยิบมาเป็นแคมเปญที่มีกิมมิก โดยบอกว่าการยกเลิกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘ผู้พันแซนเดอร์สมาเข้าฝัน!’ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของแบรนด์ที่ตั้งใจรับฟังผู้บริโภคมาโดยตลอด เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนหลังร้าน KFC นั้นเกิดจากการหยิบยกเอาคอมเมนต์ของชาวเน็ตท่านหนึ่งที่โพสต์อธิษฐานว่า

 

“ถ้าดวงวิญญาณผู้พันมีจริง ช่วยดลบันดาลให้บอร์ดบริหารยกเลิกส้อน (ส้อม+ช้อน) อันนี้ด้วยเถอะ ไร้ประโยชน์มากกก ตักก็ยาก จิ้มก็ไม่ติด”

 

โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และเกิดเป็นประเด็นไวรัล ทำให้ KFC หันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนตัดสินใจยกเลิกการใช้ Spork อย่างเป็นทางการ แถมจะประกาศเรื่องนี้ และออกมาเล่าเรื่องหลอนหลังร้าน ผ่านรายการ The Ghost Radio ด้วย

 

เรียกได้ว่า เป็นการครีเอทเปลี่ยน ‘จุดอ่อน’ ให้มาเป็น ‘จุดแข็ง’ ได้ดีทีเดียว

]]>
1548461
‘เซ็นทรัลพัฒนา’ สร้าง Dream destinations ดันการใช้จ่ายปลายปี https://positioningmag.com/1548205 Fri, 21 Nov 2025 11:32:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548205 ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยกำลังมาถึง เซ็นทรัลพัฒนา จับมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ ประเทศไทย ทุ่มกว่า 800 ล้านบาท เปิดตัว The Magical Stars อาณาจักรดิสนีย์ที่เซ็นทรัลทั่วประเทศ เพื่อสร้าง Dream destinations ดันการใช้จ่ายและท่องเที่ยวไทยให้คึกคัก

ปีนี้เป็นปีที่เซ็นทรัลพัฒนาครบรอบ 45 ปี จึงอยากนำคาแรกเตอร์ที่ผู้คนผูกพันมายาวนานมาร่วมเฉลิมฉลอง บวกกับการไปดิสนีย์ แลนด์ถือเป็นความใฝ่ฝันของคนที่อยากไปเยือนสักครั้ง จึงเป็นที่มาของ The Magical Stars เพื่อสร้าง Dream destinations โดยไฮไลต์ ได้แก่

  • The Magical Thai Pride ต้นคริสต์มาสอัตลักษณ์ท้องถิ่น ฝีมือชุมชนทั่วประเทศ ร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเป็นครั้งแรกของมิกกี้ เมาส์–มินนี่ เมาส์ สูง 3 ม. ในชุดผ้าไทยที่ 8 สาขาทั่วประเทศ
  • อาณาจักร ‘Magic Storyland’ สร้าง Sensory Living เหมือนอยู่ในโลกของดิสนีย์ ด้วยทุกประสาทสัมผัสภาพ แสง สี เสียง และกลิ่น
  • เซ็นทรัลเวิลด์ จะรวมคาแรกเตอร์ดิสนีย์สุดฮิตทั่วโลกไว้ในที่เดียว ถือเป็นงานที่จัดนอกดิสนีย์ที่ใหญ่สุดในเอเชีย     บนพื้นที่กว่า 3,500 ตร.ม.
  • Mickey & Friends ใน ‘Magic Town’ ที่เซ็นทรัล 24 สาขา และ ‘Magic Castle’ ปราสาทคริสต์มาสของเหล่าเจ้าหญิงดิสนีย์ ที่ 17 สาขา

ครั้งนี้ ทางเซ็นทรัลพัฒนาต้องการช่วยขับเคลื่อน Festival Economy หนึ่งในกลไกสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค ผ่านพลังของเทศกาลต่าง ๆ ตลอดทั้งปี

อย่างที่ผ่านมาได้มีการสร้าง ‘เทศกาลระดับชาติ’ ต่อเนื่อง อาทิ ตรุษจีน, สงกรานต์, Pride Month, Grand Sale, Halloween และ Countdown ที่เซ็นทรัลเวิลด์-Time Square of Asia ฯลฯ ซึ่งช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปีที่คาดว่าจะมีทราฟฟิกเพิ่มขึ้นกว่า 25–30% ทั่วประเทศ และดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่าน Tourist malls 12 แห่งทั่วประเทศ ทั้งกลุ่ม Short-haul เช่น มาเลเซีย จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน และกลุ่ม High Potential จากตะวันออกกลาง 

รวมถึงเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอย่าง พัทยา สมุย ภูเก็ต และกระบี่ ที่ดึงดูดตลาดยุโรปที่นิยมท่องเที่ยวเป็นพิเศษช่วงปลายปี

]]>
1548205
‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะโตเร็วที่สุด ถ้าว่องไวและทำให้เกิด Value มากพอ https://positioningmag.com/1548198 Fri, 21 Nov 2025 11:28:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548198 ไม่บ่อยนักที่ ‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ จะขึ้นมาแชร์มุมมองในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ที่พา Potato Corner ในไทยเติบโตได้เร็วมาก ยังไม่รวม UNO Coffee และข้าวโซอิ ซึ่งขณะที่หลายคนกำลังบ่นและกังวลเรื่องสภาพเศรฐกิจ เขากลับบอกว่า เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะสามารถโตได้อย่างเร็ว ถ้าว่องไวและพยายามทำให้เกิด Value มากพอ

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า แม้ Personal Branding หรือการมีชื่อเสียง จะส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์และทำให้ธุรกิจเติบโต แต่นั่นเป็นสิ่งสำคัญเฉพาะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เพราะในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

เรื่องราวเหล่านี้ ‘พีช-พชร’ ได้แชร์บนเวทีเสวนาเรื่อง ทางรอด SMEs ไทย ในงาน BITKUB SUMMIT 2025 โดยเริ่มต้นเล่าถึงการเข้ามาในธุรกิจอาหารว่า เป็นความฝันตั้งแต่เป็นเด็กประถมที่อยากมีร้านอาหารเป็นอย่างตัวเอง เพราะเป็นคนชอบกิน และเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เจอเพื่อนกลุ่มนึงจึงอยากลองทำธุรกิจดู

“ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเรียนด้านธุรกิจ แล้วช่วงนั้นมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาชวนว่า อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วไปอาจจะตั้งวงดนตรี แต่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เลยมองหากิจกรรมอื่นทำด้วยกันแทน”

กิจกรรมที่ว่า ก็คือ การทำร้านอาหาร โดยตอนแรกลองทำหลายโมเดล ทั้งร้านอาหารแบบ full service, ร้าน dining เต็มรูปแบบ แต่ด้วยประสบการณ์น้อยเมื่อลงมือทำจริงกลับพบปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการ ทั้งสต็อกวัตถุดิบและต้นทุนที่คุมยาก ทำให้ปรับโมเดลเรื่อย ๆ

กระทั่งเจอโปรดักต์ที่เหมาะกับตัวเอง นั่นคือ ‘ของกินเล่น’ ที่บริหารจัดการง่าย ไม่ซับซ้อน และตรงกับความชอบส่วนตัวของเขาที่ชอบกินสแน็กอยู่แล้ว จึงรวมตัวกันทำธุรกิจ ‘Potato Corner’ แฟรนไชส์ชื่อดังจากประเทศฟิลิปินส์

“โชคดีที่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เพราะนั่นทำให้ได้มาทำธุรกิจด้วยกันจนถึงทุกวันนี้” 

เขาเล่าอีกว่า Potato Corner ในฟิลิปปินส์ จะเป็นร้านรถเข็นหรือคีออสขนาดเล็กมีรูปแบบง่าย ๆ ตั้งขายอยู่ตามตลาด ไม่มีที่นั่งกิน และแม้แบรนด์ดังกล่าวจะมี Playbook จาก Global Brand อยู่แล้ว แต่ด้วยคนไทยรสนิยมและพฤติกรรมการกินแตกต่างจากประเทศอื่น ทำให้การนำ Potato Corner เข้ามาไทยต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องสูตรอาหารและบรรยากาศของร้าน

สำหรับรสชาติอาหาร แบรนด์จะมี 4 รสชาติหลักที่เป็นเอกลักษณ์และเปลี่ยนไม่ได้ แต่ในรายละเอียดของรสชาติเรามีการปรับสูตรใหม่ทั้งหมดใช้เวลาทำ R&D นานถึงปีครึ่ง เพื่อให้ตรงกับรสนิยมการกินของคนไทยถึงเปิดตัวจริง และทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนได้สิ่งที่ถูกปากถูกใจลูกค้าไทย

ดังนั้น Potato Corner ในไทย จึงเป็นการ Localization ปรับให้เข้ากับคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากสูตรอาหารแล้ว    ยังรวมไปถึงรูปแบบร้าน และวิธีทำการตลาด ที่เรียกว่า ต้องออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคไทยโดยเฉพาะ

“การแข่งขันของตลาด F&B ในไทยดุเดือดมาก ดังนั้นต้องจัดหนักกว่าตลาดอื่น ๆ ทั้งความคิดสร้างสรรค์และความละเอียดในการสื่อสาร แบบที่เรียกได้ว่า แทบจะต้องรื้อ Playbook จากต่างประเทศทิ้ง แล้วเขียนขึ้นใหม่ให้เหมาะกับบริบทของบ้านเรา”

หลายคนอาจมองว่า การเป็นคนดังมีชื่อเสียง พ่วงด้วยตำแหน่ง ‘ทายาทตระกูลจิราธิวัฒน์’ น่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีกับธุรกิจของพีช-พชร ซึ่งเขาบอกว่า Personal Branding เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

“ผมมองว่า Personal Branding ช่วยให้การเริ่มต้นของแบรนด์เดินได้เร็วขึ้น เพราะคนรู้จักเรา แต่วันหนึ่งถ้าเราไม่อยู่ แบรนด์จะไปต่อยังไง ถ้ามันผูกติดอยู่กับตัวเรามากเกินไป โดยสิ่งที่ผมคิดถึงความยั่งยืนในระยะยาวของธุรกิจ คือจะสร้างระบบยังไงให้แบรนด์อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวเรา”

เพราะในฐานะเจ้าของธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อทีมงาน ต่อคนที่ร่วมเดินทางกับเรา หากวันหนึ่งหากอยากไปทำอย่างอื่น หรือหลีกไปทำบทบาทอื่น ระบบที่สร้างไว้จะทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเอง เป็นของที่ส่งต่อให้เขาได้จริง ๆ

ส่วนการใช้ Personal Branding เข้ามาช่วยสร้างธุรกิจจะดีหรือไม่ดี?

พีช-พชร มองว่า ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละธุรกิจและแนวคิดของแต่ละคน แต่สิ่งที่เขาเชื่อ คือ ถ้าไม่ผูกตัวเองกับแบรนด์มากเกินไป จะมีอิสระในการสร้างสรรค์มากขึ้นเพราะแบรนด์จะมี flexibility และ agility ในการเติบโต

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจไม่ดี จนหลายคนออกปาก ‘เป็น SMEs ลำบาก’ ทว่าเขากลับมองต่างออกไป โดยเชื่อว่า เวลานี้คือช่วงเวลาที่ SMEs จะโตได้เร็วที่สุด เพราะองค์กรใหญ่จะขับเคลื่อนได้ยากลำบากกว่า จากต้นทุนและภาระต่าง ๆ ที่แบกเอาไว้สูง

ขณะที่ SMEs สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า คล่องตัวกว่า และถ้าว่องไว พยายามทำให้เกิด Value ให้มากสุด ซึ่งพีช-พชร บอกว่า นั่นคือโอกาสทอง

“ช่วงนี้หลายคนเหนื่อย หลายคนท้อ ผมอยากให้กำลังใจว่า มันคือเวลาของเราจริง ๆ คือเวลาที่ทุกคนต้องสู้”

เมื่อมองย้อนมาดูผลประกอบการของบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์จะพบว่า มีการเติบโตที่ดี

  • ปี 2564 รายได้ 414.2 ล้านบาท กำไร 1.7 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 528.2 ล้านบาท กำไร 25.3 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 652.9 ล้านบาท กำไร 35.4 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 790.5 ล้านบาท กำไร 62.1 ล้านบาท
]]>
1548198