Lupang – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Dec 2025 04:33:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จากธุรกิจร้านกาแฟ ทาง ‘พันธุ์ไทย’ เห็นโอกาสอะไร? ถึงประกาศลุย ‘สตรีท ฟู้ดส์’ https://positioningmag.com/1551056 Thu, 11 Dec 2025 04:26:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551056 เมื่อ 8 ปีก่อน ‘พันธุ์ไทย’ คือธุรกิจร้านกาแฟที่เกือบปิดกิจการเพราะขาดทุนต่อเนื่อง แต่สามารถพลิกเกมมากำไรได้ในปีที่ 9 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามอง และมาถึงวันนี้กำลังจะสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าธุรกิจร้านกาแฟหลายเท่าตัว นั่นคือการประกาศเดินหน้าลุย ‘ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์’ อย่างจริงจัง

 

แล้วอะไรที่ทำให้พันธุ์ไทยกล้ากระโดดเข้ามาธุรกิจนี้ ?

 

เพราะแม้ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ จะมีการเติบโตน่าสนใจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ว่า ร้านอาหารสตรีท ฟู้ดส์ที่มีหน้าร้านจะมีมูลค่าอยู่ที่ 261,000 ล้านบาท โต 4.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่าร้านอาหารทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันสูง เนื่องจาก ‘มีตัวเลือกหลากหลาย’ และ ‘คู่แข่งมีมากมาย’

 

“เรามองว่า เทรนด์ปัจจุบันคนไทยไม่ทำอาหารกินเอง และชอบกินอาหารง่าย ๆ ซึ่งสตรีท ฟู้ดส์ตอบโจทย์ เห็นได้จากการเติบโตที่ดี ทำให้พันธุ์ไทยสนใจ และกำลังพิจารณาว่าจะไปในทิศทางไหน มีการขยายอย่างไร เพื่อให้ใช้ทรัพยากร และ eco-system ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวกับ Positioning

พลังที่จะเป็นแรงส่งกันและกัน

 

เมื่อดู Customer Journey ของลูกค้าจะพบว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าร้านกาแฟจะไม่ได้ดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เบเกอรี่ และอาหาร ฯลฯ การเพิ่มตัวเลือกเหล่านี้ จึงเป็นการโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้ และเป็นการนำแบรนด์พันธุ์ไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ‘คอกาแฟ’

 

สำหรับการรุกเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ของพันธุ์ไทย จะดำเนินภายใต้กลยุทธ์ Brand Extension นำชื่อเสียงและการเป็นที่รู้จักของแบรนด์พันธุ์ไทยมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการนำสตรีท ฟู้ดส์ของไทยมาพัฒนาให้มี ‘ความครีเอทีฟ’ ภายใต้ Brand Idea ของพันธุ์ไทย นั่นคือ Creative Thai Taste ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้’ การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย 

 

ขณะเดียวกัน ก็พยายามเชื่อมโยงให้ทั้งสองธุรกิจเป็น ‘แรงส่งซึ่งกันและกัน’ ผ่าน eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG โดยเฉพาะบัตรสมาชิก Max Card ซึ่งมีฐานสมาชิกประมาณ 25 ล้านคนมาเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และกระตุ้นยอดขายของทั้งสองธุรกิจไปพร้อมกัน

โดยต้นปี 2568 ทางพันธุ์ไทยได้เริ่มทดลองเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ผ่าน ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย’ เปิดสาขาแรก ณ รังสิตคลอง 3 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีความชัดเจนมากขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อย ‘บริษัท ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย จำกัด’ เพื่อบุกธุรกิจนี้เต็มกำลัง ด้วยโมเดล ‘ครบจบในที่เดียว’

 

ตามแผนสิ้นปีนี้จะมีการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยให้ครบ 5 สาขา และในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 50 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นสาขาในและนอกปั๊มอย่างละ 50% โดยสาขานอกปั๊มจะเน้นแหล่งชุมชนเมือง ออฟฟิศ และย่านศูนย์กลางธุรกิจ

 

พร้อมสู้ในศึกธุรกิจร้านกาแฟ

 

ขณะที่ในส่วนธุรกิจร้านกาแฟ ทางพันธุ์ไทย ยังเดินหน้าขยายต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2568 จะมีสาขา 2,600 แห่ง  และปี 2569 จะขยายเพิ่มอีก 1,000 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีสาขา 5,000 แห่งภายในปี 2571

 

สุขวสา บอกว่า แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ภาพรวมของธุรกิจร้านกาแฟในไทยยังไปได้ดี อย่างตอนนี้มีมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท โต 8-9% และปีหน้าโตต่อ ส่วนเรื่องการแข่งขันเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ

 

“เราคุยกับคนในแวดวง Mass coffee เหมือนกันเรื่องมีรายใหม่เข้ามา เพราะตอนแรกเราก็กังวล แต่สรุปยอดขายไม่ตกแถมโตด้วย แสดงว่ามีดีมานด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการดื่มกาแฟกลายเป็นชีวิตประจำของคนไปแล้ว เช่นเมื่อก่อนคนไทยดื่มกาแฟ 180 แก้ว/คน/ปี ตอนนี้เพิ่มเป็น 340 แก้ว อนาคตอาจเป็น 400-500 แก้วก็ได้ เหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ดื่มกาแฟแทนน้ำ”

สำหรับเทรนด์น่าสนใจของธุรกิจร้านกาแฟ คือ การพัฒนาของตลาดจากการที่ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการมาแรงของเซ็กเมนต์ Specialty Coffee และ Premium mass รวมถึงการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น 

 

ประเด็นนี้ สุขวสา บอกว่า มีผลต่อให้แข่งขันในธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต้องการ ‘ของดีมีคุณภาพ’ และมาใน ‘ราคาจับต้องได้’ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องแข่งกันพัฒนา  

 

“กาแฟแก้วมากกว่า 100 บาทน่าจะอยู่ยาก เพราะตอนนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก สำหรับเราเองการรับมือเรื่องนี้ คือ การเปิดตัว ‘ไทยริกาโน’ กาแฟพิเศษสายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในแม่ฮ่องสอน วางขายแก้วละ 65 บาท ซึ่งผลตอบรับดี และเรากำลังจะเพิ่มเมนูใหม่สำหรับเพิ่มความหลากหลาย เช่น เมนูผสมนม เพราะคนไม่ได้ดื่มกาแฟดำอย่างเดียว”

อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าจับตา คือ กลุ่มคนดื่มกาแฟมีอายุ ‘น้อยลง’ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen z สำหรับอินไซต์ของคน กลุ่มนี้ชอบความแปลกใหม่ เมนูถ่ายรูปสวย โดยพันธุ์ไทยได้ตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ด้วยเมนูใหม่ เช่น กาแฟส้ม    มะปี๊ด, ทิงซ่าโดดกำแพง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ สปาร์คกิ้งโซดา มะนาวสด และกระทิงแดงครึ่งขวด ส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ ‘ดีดศาสตร์’ ที่พันธุไทยร่วมมือกับกระทิงแดง เป็นต้น

 

รวมถึงเปิดโมเดลร้านใหม่ อย่าง ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 24 ชั่วโมง’ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา สามารถสร้างยอดขายได้ตลอดทั้งวันและขยายฐานลูกค้าใหม่จากกลุ่มที่มักใช้ร้านสำหรับทำงานหรือพักผ่อนในเวลากลางคืน เริ่มต้นนำร่อง 6 สาขา

 

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมด พันธุ์ไทยต้องการเพิ่มแรงส่งให้ธุรกิจเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ Brand Extension และ eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG มาสร้างความได้เปรียบ 

 

ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ เกิดจากการเห็นโอกาสที่จะสร้างให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ ‘ใหญ่กว่า’ ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งน่าสนใจว่า นอกจากจะมีแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยเป็นหักหอกแล้ว จะมีการขยายต่อไปอย่างไร

]]>
1551056
‘เซ็นทรัล ทำ’ ต่อยอดคุณค่าข้าวไทยพื้นเมือง ร่วมสร้าง New Rice Economy https://positioningmag.com/1550881 Tue, 09 Dec 2025 07:02:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550881 ตอนนี้ New Rice Economy การปรับโครงสร้างของข้าวไทยจากเดิมที่เน้น Volume หรือ ‘ปริมาณการผลิต’ มาสู่ Value การให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ การสร้างอัตลักษณ์ และเรื่องราว กำลังถูกหยิบยกมาพูดถึงเพื่อให้ข้าวไทยพ้นกับดักการใช้ ‘ราคา’ เป็นตัวแข่งขัน และโดดเด่นกว่าคู่แข่งบนเวทีโลก   

 

สำหรับ ‘เซ็นทรัล ทำ’ โครงการด้านความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัล ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมองว่า ข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวพื้นเมือง ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคมายาวนาน 

 

โดยที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ ได้ลงไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสายพันธุ์ข้าวพื้นบ้านและสอนให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้คุณภาพของข้าวที่ดี รวมไปถึงการต่อยอดคุณค่าข้าวไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและกระจายความเสี่ยงหากราคาข้าวตก

 

เพราะเป้าหมายไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เป็นการกระตุ้นให้คนตระหนักรู้ถึงความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวไทย ทั้งพันธุ์คุณค่าสูงและพันธุ์หายากที่ใกล้สูญหาย

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ เชื่อมั่นในพลังของการลงมือทำร่วมกัน ระหว่างภาคธุรกิจ ชุมชน และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าการพัฒนาที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากต้นน้ำ และเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

 

อย่างในงาน Thailand Rice Fest 2025 ทางเซ็นทรัล ทำได้รวบรวมข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์ จาก 7 จังหวัด 8 ชุมชนทั่วประเทศ และมูลนิธิชัยพัฒนา นำมาจัดแสดงและจัดจำหน่าย ภายใน ‘เซ็นทรัล ทำ พาวิลเลียน’ เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้สัมผัสคุณค่าของข้าวไทยทั้งในเชิงรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนกับผืนดินและวัฒนธรรมไทย

สำหรับข้าวไทยพื้นเมืองที่ถูกนำมาจัดแสดงและจำหน่ายภายในงานดังกล่าว เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองเด่นจากทั่วประเทศ อาทิ

  • ข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ : เมล็ดเรียวยาว มีกลิ่นหอมใบเตยเด่น เป็นข้าว GI ที่ขึ้นชื่อด้านรสชาติและสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวผกาอำปึล จ.สุรินทร์ : ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์ที่มีกลิ่นคล้ายข้าวโพดข้าวเหนียว เหนียวนุ่ม ดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • ข้าวหอมมะลิแดง จ.สุรินทร์ : กลิ่นหอมชัด โดดเด่นเรื่องวิตามินบีและการบำรุงเลือด
  • ข้าวฮางหอมมะลิ และข้าวฮางข้าวเหนียว จ.สกลนคร : ข้าวฮางที่ช่วยดึงสารอาหารสูง โดยเฉพาะ GABA ที่ดีต่อสมอง
  • ข้าวสังข์หยด จ.พัทลุง : ข้าวไทยพันธุ์แรกที่ได้ GI หุงนุ่มมากและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวเบายอดม่วง จ.ตรัง :ข้าวเพื่อสุขภาพที่รักษาพันธุ์มากว่า 100 ปี โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ
  • ข้าวไร่ดอกข่า จ.พังงา : ข้าวพื้นเมืองกว่า 100 ปี กลิ่นหอมคล้ายใบเตย อุดมด้วยโอเมก้า 9 และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี) จ.เชียงใหม่ : ข้าวของชนเผ่าปกาเกอะญอ มีกลิ่นหอม ใยอาหารสูง
  • ข้าวหอมปทุมธานี 1 จ.ปทุมธานี : ข้าวหอมคุณภาพสูงที่มุ่งสู่มาตรฐานคาร์บอนต่ำ

การต่อยอดในเรื่อง Value เซ็นทรัล ทำ ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องคุณภาพและความหลากหลายของพันธุ์ข้าวเท่านั้น ยังโฟกัสการเพิ่มมูลค่าในด้านอื่น ๆ อาทิ การดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง ให้มีความสวยงาม ทันสมัย และมีเอกลักษณ์ด้วยสินค้าชุมชน เช่น กระเป๋าสาน ตะกร้าถัก ฯลฯ เพื่อให้เกิดความสวยงาม มีความทันสมัย สำหรับให้คนสามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากหรือของขวัญได้ 

 

ขณะเดียวกัน ก็พยายามสนับสนุนในเรื่องการหาตลาดและช่องทางขาย เช่น จับมือกับไปรษณีย์ไทย เพื่อให้ซื้อข้าวไปแจกเป็นของขวัญช่วงปีใหม่รวมมูลค่าที่ขายได้กว่า 2 ล้านบาท เป็นต้น และในอนาคตอาจมองไปถึงการส่งออก

]]>
1550881
Wingstop แบรนด์ดังจากสหรัฐฯ ขอเป็นน้องใหม่ ชิงตลาดกว่า 2.7 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1550604 Mon, 08 Dec 2025 05:31:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550604 ทำความรู้จัก Wingstop ร้านไก่ทอดแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา ที่จุดขาย คือ มีซอสให้เลือกกว่า 11 รสชาติ    ซึ่งกำลังจะเป็น ‘น้องใหม่’ เพื่อเข้ามาชิงตลาดไก่ทอดในไทย โดยเตรียมเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ณ ชั้น 2 MBK Center

 

‘ไก่ทอด’ ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่สุดของธุรกิจ ‘อาหารจานด่วน’ หรือ QSR ในบ้านเรา โดยปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ  27,600 ล้านบาท และโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ทำให้ตลาดนี้เป็นที่สนใจ มีแบรนด์ดังระดับโลกและแบรนด์เกิดใหม่เข้ามาในตลาดกันอย่างคึกคัก

 

รวมถึง Wingstop ร้านไก่ทอดแบรนด์ดังสัญชาติอเมริกัน ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจในปี 1994 จากการก่อตั้งของ Antonio Swad และ Bernadette Fiaschetti ที่หลงใหลในการกินปีกไก่ และอยากพัฒนาซอสสูตรต่างๆ ไว้กินคู่กัน โดยเปิดสาขาแรก ณ เมืองการ์แลนด์ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา

 

สำหรับจุดขายของ Wingstop นอกจากไก่ทอดที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แล้ว ก็คือ การมี ‘ซอสซิกเนเจอร์’ ให้เลือกได้ตามใจถึง 11 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Hickory Smoked BBQ, Lemon Pepper Teriyaki และ Atomic ซอสรสเผ็ดจัดจ้านแสบทรวง รวมถึงมีซอส Dips ให้จุ่มเพิ่ม เช่น ซอสแรนช์, ซอส Bleu Cheese, ซอส Honey Mustard และซอส Cheese เป็นต้น

 

ปัจจุบัน Wingstop มีสาขากว่า 2,800 แห่ง หลัก ๆ จะอยู่ในสหรัฐอเมริกา และมีสาขานอกประเทศ เช่น อังกฤษ, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ฯลฯ

 

ส่วนการเข้ามาปักหมุดธุรกิจในไทย ทาง Wingstop เตรียมเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ณ บริเวณชั้น 2 MBK Center ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากว่า แบรนด์ดังแบรนด์นี้ จะสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไก่ทอดในไทย ที่ถือเป็น ‘ทะเลเลือด’ ได้มากน้อยแค่ไหน

 

เพราะเจ้าตลาดอย่าง KFC ที่มีสาขากว่า 1,052 แห่งก็มีความแข็งแกร่ง ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะเกาหลี เช่น Bonchon, BHC Chicken, Choongman chicken, Pelicana ฯลฯ ก็รุกตลาดไม่หยุด

 

จนก่อนหน้านี้แบรนด์ดังสัญชาติอเมริกันที่มาจากรัฐเดียวกันอย่าง Texas Chicken จำเป็นต้องถอยออกจากตลาดไปเป็นที่เรียบร้อย 

 

อ้างอิง

https://ir.wingstop.com/

]]>
1550604
‘ปางขอน-ผาลั้ง’ ต้นแบบกาแฟยั่งยืน โมเดลที่ OR ตั้งใจปั้นเพื่อพลิกชีวิตชุมชน https://positioningmag.com/1550597 Mon, 08 Dec 2025 05:25:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550597 ถอดรหัสการปั้นต้นแบบกาแฟยั่งยืนในไทยของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กับสองชุมชนบนดอยจากเชียงราย ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ ซึ่งไม่เพียงพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟ แต่เปลี่ยนชีวิตของคน ในชุมชนให้มีรายได้มั่นคง จากต่อครอบครัวมีรายได้หลัก ‘หมื่นบาท’ ต่อปี มาเป็น ‘แสนบาท’ ต่อปี  

 

ช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา OR ใช้ความเชี่ยวชาญของทีม Café Amazon เดินหน้าทำงานร่วมกับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั้งเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และชุมพร ในรูปแบบ ‘พัฒนาไปด้วยกัน’ ตั้งแต่ให้ความรู้ การพัฒนาคุณภาพผลผลิต การรับซื้ออย่างเป็นธรรม และได้ส่งต่อกาแฟคุณภาพไปสู่ร้าน Café Amazon กว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเสิร์ฟกาแฟรวมกันกว่า 400 ล้านแก้วทั่วโลกต่อปี

 

ความร่วมมือรูปแบบนี้ เป้าหมายไม่เพียงทำให้คุณภาพกาแฟดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และทำให้กาแฟเป็นอาชีพที่มั่นคงในระยะยาวจริง ๆ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน

โมเดลนี้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? 

 

ต้นแบบความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโมเดลดังกล่าว เห็นชัดจาก ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ สองชุมชนบนดอย จังหวัดเชียงราย โดย OR ได้นำโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟยั่งยืน มาสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ

 

เดิมทีปางขอนปลูกกาแฟมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่เป็นการปลูกแบบปล่อยให้ธรรมชาติดูแล ขาดความรู้และขาดตลาดรับซื้อที่มั่นคง ทำให้กาแฟเป็นเพียง ‘รายได้เสริม’ แบบพึ่งพาโชคชะตาของคนในพื้นที่เท่านั้น

 

กระทั่งปี 2560 ทาง OR ได้ทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับชุมชน นำองค์ความรู้ และเริ่มรับซื้อกาแฟควบคู่กับการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากปางขอนเป็นครั้งแรก ซึ่งเริ่มต้นปางขอนมีไม่กี่สิบครัวเรือนที่ปลูกกาแฟเป็นอาชีพเสริม แต่วันนี้จำนวนครอบครัวผู้ปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 ครัวเรือน และมีรายได้ต่อครอบครัวจาก 10,000-20,000 ต่อปี เพิ่มเป็นกว่าแสนบาทต่อปี

เช่นเดียวกับผาลั้ง ที่อดีตจะพึ่งพารายได้จากการปลูกลิ้นจี่ ซึ่งมีผลผลิตและการรับซื้อไม่แน่นอน หลังจากปี 2561 ได้ร่วมโครงการกับ OR โดย Café Amazon ปัจจุบันผาลั้งปลูกกาแฟกัน 100% กว่า 200 ครัวเรือน และมีรายได้เฉลี่ยหลักแสนบาทต่อปีต่อครัวเรือนเฉพาะจากการขายเมล็ดกาแฟ

 

ที่สำคัญ ด้วยการปลูกกาแฟ ต้องอาศัยร่มเงา ความชุ่มชื้นและระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในการเติบโต ทำให้เกษตรกรต้องดูแลป่าไปโดยอัตโนมัติ ทั้งรักษาต้นไม้ใหญ่ ปลูกไม้ร่มเงาเพิ่มและไม่ทำการเผาป่า ส่งผลให้ป่าของทั้งสองชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่ป่าไปในตัว

 

ในอนาคต OR พยายามขยายความร่วมมือกับชุมชนให้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละชุมชน และจะพัฒนาภายใต้ Café Amazon Standard ที่ครอบคลุมทั้งการพัฒนาคุณภาพ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เป็นมาตรฐานกลางที่ยกระดับกาแฟไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางของการปลูกไปจนถึงปลายทาง

 

  • ต้นน้ำ: ใส่ใจตั้งแต่การคัดเมล็ดเชอรี่ การจัดร่มเงา การดูแลต้นกาแฟ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี ช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีตั้งแต่ต้นทาง
  • กลางน้ำ: กระบวนการแปรรูป ควบคุมความชื้น คัดเกรด และคั่วภายใต้มาตรฐานเดียวกันที่ศูนย์ OASYS ก่อนต่อ ยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เมล็ดกาแฟคั่วสำเร็จ กาแฟกลุ่ม Home Used เช่น ดริปและแคปซูล
  • ปลายน้ำ: การส่งต่อประสบการณ์ผ่านกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคผ่านกว่า 4,500 สาขาของ Café Amazon พร้อมการสื่อสารที่จริงใจ ทำให้ผู้ดื่มมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างกาแฟในแก้วกับชีวิตของเกษตรกรบนดอยจริง ๆ

มาตรฐานนี้จะทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่สะท้อนคุณภาพจริง ผู้บริโภคได้กาแฟที่ดีขึ้น และระบบกาแฟไทยสามารถเดินหน้าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอน สอดคล้องกับแนวทางของ Café Amazon นั่นคือ ‘กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก’  

 

โดยความสำเร็จของปางขอนและผาลั้ง ถือเป็นโมเดลต้นแบบกาแฟยั่งยืนที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อเกษตรกรมีความรู้ โอกาส และตลาดที่เป็นธรรม ไม่เพียงจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ทว่ายังสามารถ ‘พลิกชีวิต’ และสร้าง ‘ความยั่งยืน’ ให้กับผู้คนและชุมชนได้จริง

]]>
1550597
ไทยเร้นท์อะคาร์เดินหน้าปักธง “จักรวาลรถเช่าของคนไทย” https://positioningmag.com/1550593 Mon, 08 Dec 2025 05:17:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550593 ไทยเร้นท์อะคาร์ (Thai Rent A Car) บริษัทรถเช่าของคนไทย ที่มีรถยนต์มากกว่า 4,000 คัน เดินหน้าขยายศักยภาพบริการครั้งใหญ่ ด้วยการเพิ่มรถใหม่กว่า 200 คันทั่วประเทศ เพื่อตอบรับความต้องการเดินทางที่เติบโตขึ้นของนักท่องเที่ยวไทยควบคู่กับนักเดินทางจากต่างชาติ

 

พร้อมประกาศเปิดตัวบริการรถเช่า Low Cost ราคาประหยัดครั้งแรกภายใต้ชื่อ “SUPER SAVE” ที่มุ่งช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงการเดินทางด้วยรถเช่าคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น ในช่วงที่พฤติกรรมผู้บริโภคและสภาพเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

รถยนต์ใหม่ที่เสริมเข้ามา ครอบคลุมรุ่นยอดนิยมที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ ได้แก่ Toyota Yaris Ativ, Toyota Yaris Cross และ Toyota Veloz โดยรถทุกคันผ่านมาตรฐานการตรวจเช็กจากศูนย์บริการอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย สะดวกสบาย และเหมาะสำหรับทั้งการเดินทางในเมืองและการท่องเที่ยวต่างจังหวัด

บริการใหม่ SUPER SAVE ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของไทยเร้นท์อะคาร์ในการเปิดตลาดกลุ่มรถเช่าแบบ Low Cost อย่างเป็นทางการ เนื่องด้วยแนวโน้มของพฤติกรรมผู้ใช้รถมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

 

คนไทยจำนวนมากเริ่มหันมา “เช่าใช้ตามจริง” มากขึ้น แทนการซื้อรถเป็นภาระระยะยาว ทั้งจากปัจจัยด้าน เศรษฐกิจภายในประเทศ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และ ภาระผ่อนรถที่หนักเกินไป ดังนั้นบริษัทจึงพัฒนา SUPER SAVE เพื่อเป็น Segment ใหม่ที่ราคาเข้าถึงง่ายที่สุด แต่ยังคงไว้ซึ่ง มาตรฐานคุณภาพรถของไทยเร้นท์อะคาร์ การบริการที่ได้มาตรฐานเดียวกับฟลีตหลัก SUPER SAVE จึงเป็นบริการที่ออกแบบมา “เพื่อคนไทยจริง ๆ” โดยเน้นราคาที่จับต้องได้ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ครอบครัว คนทำงาน และที่ต้องการตัวเลือกการเดินทางที่คุ้มค่า โดยมีขั้นตอนการจอง–รับรถที่รวดเร็วและใช้งานง่ายผ่านระบบออนไลน์ครบวงจร

 

ไทยเร้นท์อะคาร์ยังขยายศักยภาพบริการสู่ระดับสากลผ่านความร่วมมือกับ Enterprise Rent-A-Car, Alamo และ National ซึ่งเป็นกลุ่มแบรนด์รถเช่าระดับโลกที่มีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้มีผลเพียงแค่ทำให้คนไทยจองรถเช่าต่างประเทศได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการนำ มาตรฐานระดับโลกและเทคโนโลยีใหม่ เข้ามาพัฒนาบริการของไทยเร้นท์อะคาร์อย่างต่อเนื่อง

 

บริษัทได้รับถ่ายทอด Know-how ด้านระบบการจอง, เทคโนโลยีบริหารรถยนต์, การอบรมบุคลากร และมาตรฐานการให้บริการระดับ Global ทำให้ลูกค้าชาวไทยได้รับประสบการณ์ที่สะดวกขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการจองไปจนถึงการรับ–คืนรถ ไทยเร้นท์อะคาร์ยังปรับโฉม เว็บไซต์ใหม่ thairentacar.com และ enterprise.th ทำให้ลูกค้าชาวไทยสามารถเช่ารถขับต่างประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านเว็บไซต์ enterprise.th ด้วยมาตรฐานราคาและบริการเดียวกับที่ได้รับในประเทศไทย เพิ่มความสะดวกสำหรับผู้ที่เดินทางเพื่อท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ

 

การพัฒนาด้านบริการและการเพิ่มผลิตภัณฑ์ SUPER SAVE ในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ

ไทยเร้นท์อะคาร์ที่ตั้งใจสร้าง “จักรวาลธุรกิจรถเช่า” ครอบคลุมทุกประเภทการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรถท่องเที่ยว รถใช้ในชีวิตประจำวัน รถทดแทนระหว่างซ่อม รถสำหรับองค์กรและภาคธุรกิจ ไปจนถึงรถระดับพรีเมียม เพื่อทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการเดินทางที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

 

ปัจจุบันไทยเร้นท์อะคาร์ให้บริการแล้วใน 10 สาขาทั่วประเทศ สามารถจองรถได้ผ่านเว็บไซต์ www.thairentacar.com หรือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท ได้แก่ Facebook: Thai Rent A Car, Instagram: @thairentacar_thailand และ LINE Official: @thairentacar

]]>
1550593
Hungry Hub สตาร์ทอัพไทยที่เกือบล้มละลาย แต่พลิกเกมได้เพราะ ‘พาทีมไปกินข้าว’ https://positioningmag.com/1550589 Mon, 08 Dec 2025 05:15:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550589 จากสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่เคยเกือบล้มละลาย ปัจจุบัน Hungry Hub กลายเป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารที่เติบโต รวมถึงสามารถสร้างยอดขายให้ร้านค้ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และได้ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศไปยังสิงคโปร์, มาเลเซีย และในปี 2026 จะเพิ่มอีก 2-3 ประเทศ เพื่อก้าวสู่โจทย์ใหญ่ นั่นคือ การเป็น OTA (Online Travel Agent) ด้านร้านอาหารระดับโลก

 

 อะไรทำให้ Hungry Hub พลิกสถานการณ์และเดินหน้าธุรกิจต่อได้?

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Hungry Hub ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2014 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้บริการระบบจองโต๊ะร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Hungry Hub เล่าว่า มาจากเขามองเป้าหมายไม่ตรงกับร้านอาหาร

 

“ทุกร้านที่มาใช้บริการเรามีประเด็นเดียวกัน คืออยากได้ลูกค้ามากขึ้น แต่เรากำลังให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อให้จองโต๊ะได้ง่ายขึ้น และเมื่อก่อนการดึงลูกค้าส่วนใหญ่ของแพลตฟอร์มจะให้ส่วนลด ซึ่งดีต่อผู้บริโภค แต่ไม่ดีกับร้านอาหารเพราะไม่เหลือมาร์จิน ทำให้แพลตฟอร์มพวกนี้กระแสดีมากสำหรับผู้บริโภค แต่ไปเร็วมากสำหรับร้านอาหาร”

 

ทางสุรสิทธิ์เองก็พยายามแก้ pain point ที่เกิดขึ้น และได้เห็นอีกโอกาสหนึ่งในมุมของผู้บริโภคเมื่อพาทีมงานไปกินข้าว โดยปัญหาที่พบเจอทุกครั้ง คือ ‘การคุมงบ’ 

 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจาก ‘โครงสร้างราคา’ ของร้านอาหารในไทย ถูกสร้างมาสำหรับพฤติกรรมการกินของคนยุโรปหรือสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละคน เห็นราคา สั่งเอง กินเอง จ่ายเอง และไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับแชร์ริ่ง หรือเลี้ยง ทำให้การจ่ายแต่ละมื้อสูงกว่าที่คิด

 

เมื่อเห็นโอกาส ทำให้เขาปรับโมเดลธุรกิจของ Hungry Hub ใหม่ในปี 2017 ด้วยการร่วมมือกับร้านอาหารสร้างแพ็กเกจเปลี่ยนจาก A la carte เป็นบุฟเฟต์เฉพาะลูกค้าที่จองผ่าน Hungry Hub แบ่งระดับเป็นเทียร์

 

ปรากฏว่า โมเดลนี้เวิร์กได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทสามารถพลิกสถานการณ์จากกำลังจะล้มละลายกลับมามีกำไร และในปี 2018 มีการระดมทุน เพื่อมีแผนขยายต่างประเทศ แต่ปี 2020 ต้องหยุดชะงักไปจากวิกฤตโควิด และได้เริ่มดำเนินการอีกครั้งเมื่อปลายปี 2024 กับการขยายธุรกิจไปยังสิงคโปร์

 

Hungry Hub โตน่าสนใจแค่ไหน?

-ปัจจุบัน Hungry Hub มีร้านอาหารและโรงแรมเป็นพันธมิตรกว่า 2,500 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่มีอยู่ 1,700 ร้าน แบ่งเป็นบุฟเฟต์ 50%, ไฟน์ไดนิ่ง 20% ที่เหลือ เป็นประเภทอื่นๆ

-สร้างยอดขายให้กับร้านค้าได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท

-มีผู้ใช้ 1.2 ล้านคน ตอนนี้เปิดใช้หลายภาษารวม 15 ภาษา

-ค่าใช้จ่ายต่อบิลของคนไทยอยู่ที่ 1,100 บาท/คน/ครั้ง

-ร้านอาหารระดับต้นๆ ที่ทำรายได้สูงบน Hungry Hub สามารถทำรายได้ 1 ล้านบาท/เดือน และทำรายได้ 10 ล้านบาท/เดือน มากกว่า 10 ร้าน

 

สำหรับรายได้ปี 2024 อยู่ที่ 90 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ 110-120 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่า จะเติบโตประมาณ 50-60%

 

เดินหน้าสู่ OTA ร้านอาหารระดับโลก

 

สำหรับกลยุทธ์ในปี 2026 Hungry Hub จะเดินหน้าสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก ซึ่งการขยายตลาดต่างประเทศนั้น นอกจากจะเป็นการสร้าง Network Effect ให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการเติบโตจากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต

 

แผนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อปี 2024 Hungry Hub ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยัง ‘สิงคโปร์’ ที่ภายในปีเดียวสามารถมีพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร 250 ร้านค้า ส่วนปีนี้คาดว่า จะสามารถสร้างยอดขายให้ร้านอาหารที่สิงคโปร์ได้ 20 ล้านบาท ก่อนจะแตะ 100 ล้านบาทในปีหน้า

 

ขณะที่ช่วงปลายปีนี้ จะเข้าไปขยายตลาดใน ‘มาเลเซีย’ อย่างจริงจัง โดยปัจจุบันมีพันธมิตรร้านค้าประมาณ 50 ร้านค้า พร้อมกับตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2026 จะขยายธุรกิจไปในอีก 2-3 ประเทศ

 

นอกจากขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศแล้ว เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ทาง Hungry Hub ได้เปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่

 

1) Multi-currency : ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง 

2) Dynamic Pricing : ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล

 

นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ AI มาช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง

]]>
1550589
TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808
เทรนด์ ‘หลอกลวงสมัครงาน’ พุ่งสูง โดย ‘รายได้ดี-ได้เงินไว’ เป็นข้ออ้างให้ตกเป็นเหยื่อง่ายสุด https://positioningmag.com/1549374 Sun, 30 Nov 2025 07:18:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549374 นอกจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของ ‘ตลาดงาน’ อีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่หายไปคือ ‘การประกาศงานหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพ’ ซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้น    

 

บริษัท SEEK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jobsdb และ Jobstreet เปิดเผยข้อมูลเทรนด์ล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มกลโกงในการหางานทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย พบว่า มิจฉาชีพมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นตามบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้สมัครงานในแต่ละประเทศ

 

ข้อมูลการวิเคราะห์เทรนด์ในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลภายในของระบบตรวจจับกลโกงบนแพลตฟอร์มของ SEEK ซึ่งรวมถึง Jobstreet และ Jobsdb ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 โดยดึงข้อมูลจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

 

แต่ละประเทศมีรูปแบบการหลอกลวงต่างกันไป

 

สำหรับ ‘ตลาดเอเชีย’ ในภาพรวมยังพบว่า การหลอกลวงด้านการจ้างงานส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง และโลจิสติกส์ (16%) โดยมิจฉาชีพมักฉวยโอกาสจากผู้ที่กำลังต้องการหางานอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ตำแหน่งงานด้านการขาย (7% จากทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญ

 

ขณะที่ ‘ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์’ พบมีการหลอกลวงในกลุ่มงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ที่ 9% สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่มีสัดส่วนเพียง 2%

 

ส่วนประเทศไทยการหลอกลวงด้านการจ้างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังมีรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างออกไป โดยตำแหน่งงานที่พบการหลอกลวงสูงสุด ได้แก่

 

งานด้านการขาย 67%

งานด้านบัญชี 17%

งานด้านสื่อ โฆษณา และศิลปะ 17%

 

ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มิจฉาชีพมักมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สมัครที่กำลังมองหางานอย่างเร่งด่วน หรืองานที่ให้ค่าตอบแทนในรูปแบบค่าคอมมิชชัน ทำให้ผู้สมัครกลุ่มนี้มักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่าย จากข้ออ้างเรื่องรายได้ดีและได้เงินไว

 

โซเชียลมีเดีย ช่องทางหลอกลวงหลัก

 

จากข้อมูล Jobsbd by SEEK พบว่า รูปแบบการหลอกลวงของประกาศงานมักแฝงมาเพื่อชักนำผู้หางานให้เข้าสู่กิจกรรมผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว และกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนากลยุทธ์การหลอกลวงให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ช่องทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ เป็นพื้นที่การประกาศจ้างงาน เนื่องจากขาดระบบตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ

 

สำหรับคำแนะนำ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของประกาศงานหลอกลวง

1.ให้ผู้สมัครใช้เฉพาะเว็บไซต์หางานที่ได้รับการรับรอง

2.หลีกเลี่ยงการติดต่อผ่านแอปแชตส่วนตัว

3.กรอกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงานเท่านั้น พร้อมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย

4.หากพบลักษณะของงานที่น่าสงสัย เช่น ค่าตอบแทนสูงเกินจริง ไม่มีรายละเอียดงานชัดเจน ให้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที

]]>
1549374
สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347