Lupang – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 17 Jan 2025 09:29:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 2 เมืองที่ดีที่สุดของโลก ปี 2025 และเป็นมหานครที่ดีที่สุดของเอเชีย https://positioningmag.com/1506868 Fri, 17 Jan 2025 06:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506868 Time Out แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ชื่อดัง ประกาศการจัดอันดับ 50 เมืองที่ดีที่สุดของโลก ประจำปี 2025 โดย ‘กรุงเทพฯ’ ติดอยู่ในอันดับ 2 แซงหน้ามหานครใหญ่อย่างนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ 3 และยังเป็นมหานครที่ดีที่สุดของเอเชีย

 

การจัดอันดับนี้ เป็นการอ้างอิงผลสำรวจความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยในเมืองทั่วโลกจำนวน 20,000 คน ที่ได้แบ่งปันมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ อาหาร ชีวิตกลางคืน วัฒนธรรม ไปจนถึงความคุ้มค่า และบรรยากาศโดยรวมของเมือง

 

Time Out ให้เหตุผลว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะผู้คนที่เป็นมิตร อาหารอร่อย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดี รวมถึงมีเสน่ห์ทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า และประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหล ดึงดูดให้คนอยากมาอยู่อาศัย

 

สำหรับเมืองที่ดีที่สุดของโลก 10 อันดับแรก ได้แก่

 

อันดับ 1 เคปทาวน์, แอฟริกาใต้

อันดับ 2 กรุงเทพฯ, ไทย เอาชนะเมืองดังอย่าง

อันดับ 3 นิวยอร์ก, สหรัฐฯ

อันดับ 4 เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย

อันดับ 5 ลอนดอนอังกฤษ

อันดับ 6 นิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ

อันดับ 7 เม็กซิโก ซิตี้, เม็กซิโก

อันดับ 8 ปอร์โต, โปรตุเกส

อันดับ 9 เซี่ยงไฮ้, จีน

อันดับ 10 โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก

 

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นมหานครที่ดีที่สุดในทวีปเอเชีย แซงหน้าเมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ ที่ติดอยู่อันดับ 9 , ฮ่องกง อันดับ 14 และฮานอย ในอันดับ 21

 

ที่มา

 

https://edition.cnn.com/2025/01/16/travel/time-out-reveals-worlds-50-best-cities-for-2025/index.html

]]>
1506868
กางแผนปี 68 MBK รับมือปีที่ต้องทำธุรกิจอย่าง ‘ระแวดระวัง และรอบคอบ’ https://positioningmag.com/1506763 Fri, 17 Jan 2025 03:14:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506763 แม้หลายธุรกิจจะ (พยายาม) มองว่า ปี 2568 มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า ปีนี้ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย ซึ่งต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ๆ รวมถึง ‘บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)’ หรือ MBK ที่ ‘วิจักษณ์ ประดิษฐวณิช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการฯ บอกว่า ปี 68 เป็นปีแห่งการทำธุรกิจที่ต้องระมัดระวังและรอบคอบ

 

“เราเห็นสัญญาณบวกจากธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีปัจจัยหลายอย่างต้องจับตา เช่น ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก การมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ปีนี้การทำธุรกิจต้องระมัดระวัง รอบคอบ และต้องมีโฟกัสมาก”

 

ปัจจุบันธุรกิจของ MBK มีด้วยกัน 7 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยง ได้แก่ ‘ธุรกิจศูนย์การค้า’ ประกอบด้วย MBK Center , พาราไดซ์ พาร์ค, พาราไดซ์ เพลส, เดอะไนน์ พระราม 9 และเดอะไนน์ ติวานนท์ ‘ธุรกิจโรงแรม’ มี 8 แห่ง อาทิ ปทุมวันปริ๊นเซส, ดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท ฯลฯ ‘ธุรกิจสนามกอล์ฟ’, ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’, ‘ธุรกิจอาหาร’, ‘ธุรกิจการเงิน’ และ ‘ธุรกิจการประมูล’

 

สำหรับธุรกิจที่เติบโตและสร้างรายได้ดี โดยธุรกิจเหล่านี้เติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก็คือ ธุรกิจศูนย์การค้าโต 26%, ธุรกิจโรงแรมโต 22%, ธุรกิจสนามกอล์ฟโต 15% และธุรกิจอาหารโต 34% ซึ่งในปีนี้จะมีการพัฒนาต่อเนื่อง

อย่างธุรกิจศูนย์การค้า ในส่วนของ MBK Center ที่ตอนนี้มีทราฟฟิก 80,000-100,000 คนต่อวัน จากเดิมอยู่ที่ 72,000 คนต่อวัน ซึ่งลูกค้า 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอินเดีย

 

วิจักษณ์บอกว่า นอกเหนือจากการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์แล้ว การทำมาร์เก็ตติ้งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้ Targeted Marketing เน้นทำความรู้จักและตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกร้านค้า และจัดอีเวนท์วัฒนธรรมที่ลูกค้าชอบ เช่น การแข่งขันมวยไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้สำคัญกับการทำตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย และเสิร์ช เอ็นจิ้น ตามเทรนด์ปัจจุบัน

 

เช่นเดียวกับศูนย์การค้าอื่น ๆ  ทั้งพาราไดซ์ พาร์ค, พาราไดซ์ เพลส, เดอะไนน์ พระราม 9 และเดอะไนน์ ติวานนท์ ที่มีการรีโนเวตและดึงแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละศูนย์

 

นอกจากนี้ ในส่วนของ ‘บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด’ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม ที่ทาง MBK ถือหุ้นอยู่ 58% ก็มีแผนจะยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจลักชัวรี่ทั้งในและต่างประเทศ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่

 

ส่วนธุรกิจโรงแรม ได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักคิดเป็นสัดส่วน 90% ของลูกค้าทั้งหมด นอกจากปรับปรุงห้องพักให้ทันสมัยอยู่เสมอแล้ว MBK ยังได้ลงทุนโรงแรมใหม่อีก 1 แห่ง นั่นคือ ทินิดี เทรนดี้ กรุงเทพฯ ข้าวสาร

 

ขณะที่ธุรกิจที่มีการชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ -33%, ธุรกิจการประมูล -12% และธุรกิจการเงิน -5% ตามแผนของ MBK ในปีนี้ต้องมีการปรับแผนหันมาโฟกัสในเรื่องการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เน้นลงทุนเพิ่ม

เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทาง MBK จะไม่เน้นเร่งสร้างโครงการใหม่ แต่พยายามขายโครงการเดิมที่มีอยู่ อย่าง ‘โครงการเดอะ พาโน’ ย่านกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ที่เป็นพูลวิลล่า ลักชัวรี่ จำนวน 28 ยูนิต มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ฯลฯ

 

ส่วนธุรกิจการประมูล ‘แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น’ ปีนี้ได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เน้นเรื่องการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมไปถึงมีระบบคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มข้นมากขึ้น

 

สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานของ MBK ช่วง 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้รวม 8,391.41 ล้านบาท มีกำไร 2,111.63 ล้านบาท ส่วนผลดำเนินการในปี 2568 ตั้งเป้าจะเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 15%

]]>
1506763
‘เกียวโต’ เล็งขึ้นภาษีค่าที่พักสูงสุด 2,200 บาท/คน/คืน หลังเจอปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง https://positioningmag.com/1506461 Wed, 15 Jan 2025 04:28:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506461 ‘ทางการเกียวโต’ ได้ประกาศแผนเตรียมจะปรับขึ้นภาษีค่าที่พัก ซึ่งเป็นความพยายามในการบรรเทาปัญหาจากมีนักท่องเที่ยวแห่เข้ามามาท่องเที่ยวจนล้นเมือง เพื่อบริหารจัดการทรัพยากร และรักษาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ โดยคาดว่า จะประกาศใช้ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2569

 

ความจริงแล้วเมืองเกียวโตได้เริ่มเก็บภาษีแขกที่มาพักในโรงแรม เกสต์เฮาส์ ไปจนที่พักอื่น ๆ แบบรายบุคคลมาตั้งแต่เมื่อปี 2561 โดยอัตราปัจจุบันแบ่งออกเป็น

 

ที่พักราคา ไม่เกิน 20,000 เยน หรือ 4,440 บาทต่อคืน จะเสียภาษี 200 เยน หรือราว 44 บาทต่อคนต่อคืน

ที่พักราคา 20,000 – 49,999 เยน หรือราว 4,440 – 11,000 บาทต่อคืน จะเสียภาษี 500 เยน หรือราว 110 บาทต่อคนต่อคืน

ที่พักราคา 50,000 เยน หรือราว 11,000 บาทขึ้นไปต่อคืน จะเสียภาษี 1,000 เยน หรือราว 220 บาทต่อคนต่อคืน

 

สำหรับอัตราใหม่ที่จะเตรียมจะปรับขึ้นนั้น แบ่งเป็น

 

ที่พักราคา 20,000 – 50,000 เยน หรือราว 4,440 – 11,000 บาทต่อคืน จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในอัตรา 1,000 เยน หรือราว ๆ 220 บาทต่อคนต่อคืน

ที่พักราคาสูงกว่า 100,000 เยน หรือราว 22,023 บาท ต่อคืน จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 10 เท่า ที่ 10,000 เยน หรือราว 2,202 บาทต่อคนต่อคืน

 

ตามแผนทางการเมืองเกียวโต จะยื่นขอแก้ไขกฎหมายภาษีนี้ต่อสภาเมืองที่จะเปิดประชุมในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากได้รับการอนุมัติ จะเริ่มมีการประกาศขึ้นภาษีที่พักอัตราใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ของปี 2569

 

ทั้งนี้เกียวโต เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ทั้งความงดงามทางวัฒนธรรม วัดโบราณอันเก่าแก่และการแสดงเกอิชาที่มีชื่อเสียง แต่การหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากได้ส่งผลกระทบและสร้างปัญหาความอึดอัดให้กับคนในท้องถิ่น ซึ่งการปรับขึ้นภาษีค่าที่พักใหม่นี้ นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวแล้ว ทางการเมืองเกียวโตยังคาดว่า จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเมืองกว่า 10,000 ล้านเยนต่อปี

 

ที่มา

 

https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20250109_02/

https://english.kyodonews.net/news/2025/01/b88d3bb64968-kyoto-eyes-raising-city-lodging-tax-to-up-to-10000-yen-per-night.html#google_vignette

]]>
1506461
‘โมชิ โมชิ’ กับการเทคออฟสู่ปีที่ 9 แบบไม่แคร์เศรษฐกิจ ไม่กลัวคู่แข่ง และหมุดหมายต่อไปการเติบโต ‘นอกประเทศ’ https://positioningmag.com/1506211 Mon, 13 Jan 2025 08:55:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506211 จากร้านเล็กๆ ที่เปิดสาขาแรก ณ แพลตตินั่ม ประตูน้ำ มาถึงตอนนี้ ‘โมชิ โมชิ’ (Moshi Moshi) กลายเป็นร้านไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยที่สามารถต่อกรกับร้านดังทั้งจากญี่ปุ่นและจีนได้แบบไม่หวั่น ซึ่งในปีนี้โมชิ โมชิ กำลังก้าวสู่ปีที่ 9 และมีหลายเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง รวมถึงการไปเติบโต ‘นอกประเทศ’

 

ปัจจุบันร้านโมชิ โมชิ มีสาขารวมแล้วประมาณ 158 สาขา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 65 จังหวัด ส่วนผลประกอบการก็มีเติบโตทุกปีทั้งในส่วนของรายได้และกำไร โดย

 

ปี 2564 ทำรายได้ไป  1,263.84 ล้านบาท กำไร 131.27 ล้านบาท

ปี 2565  ทำรายได้ไป  1,895.89 ล้านบาท กำไร 253.17 ล้านบาท

ปี 2566 ทำรายได้ไป  2,543.26 ล้านบาท กำไร 401.51 ล้านบาท

9 เดือน ปี 2567 ทำรายได้ไป 2,076.47 ล้านบาท กำไร 314.74 ล้านบาท

 

ความเข้าใจลูกค้าคือกุญแจความสำเร็จ

 

‘สง่า บุญสงเคราะห์’ ผู้ก่อตั้ง และ CEO  บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโมชิ โมชิ เล่าให้ Positioning ฟังว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจช่วงปลายปี 2559 เขาต้องการให้ร้านแห่งนี้เป็น ‘เบอร์ 1 ของธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์’ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยการเข้าใจตลาดและสามารถตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยได้อย่างตรงใจ ภายใต้จุด ‘จุดขาย’ ที่เป็น ‘จุดแข็ง’ ของร้าน นั่นคือ ‘สวย ถูก ดี’

 

โดย ‘สวย’ หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้าหรือการจัดหน้าร้าน ต้องมีดีไซน์สวยงาม อยู่ในเทรนด์แฟชั่นที่ผู้บริโภคชื่นชอบ, ‘ถูก’ หมายถึง ราคาสินค้าต้องจับต้องได้และเข้าถึงง่าย, ‘ดี’ หมายถึง สินค้าต้องมีคุณภาพ นั่นทำให้โมชิ โมชิ สามารถแจ้งเกิดและแซงหน้าคู่แข่งขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ภายใน 3 ปีแรกของการทำธุรกิจ

เน้นออกสินค้าใหม่ บวก Collab แก้โจทย์ ‘คนไทยเบื่อง่าย’

 

อย่างไรก็ตาม ณ วันที่เริ่มต้นธุรกิจ จนมาถึงวันนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และการทำธุรกิจยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปี 2568 การรับมือกับการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้กับโมชิ โมชิ สง่ายังให้ความสำคัญกับการยึด ‘ผู้บริโภค’ เป็นแกนหลัก ดูตั้งแต่ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ไปจนถึงชอบหรือไม่ชอบอะไร เพื่อนำมาพัฒนาและออกแบบสินค้าให้โดนและตรงใจลูกค้ามากที่สุด โดยตอนนี้คนอายุ 13-17 ปีถือเป็นฐานลูกค้าหลักของโมชิ โมชิ รองลงมาเป็นกลุ่ม 18-35 ปี

 

“คนไทยแตกต่างจากคนชาติอื่น คือ คนไทยขี้เบื่อ อย่างลูกค้าบางคนมาร้านเราแทบทุกวัน บางคนมา 2-3 วันครั้ง แต่หากมาแล้วไม่เห็นสินค้าใหม่ พวกเขาจะรู้สึกว่า ไม่รู้จะซื้ออะไร ทำให้เราต้องเติมสินค้าใหม่ตลอดเวลา”

 

ปัจจุบันโมชิ โมชิ มีจำนวนสินค้าค้ารวมแล้วมากกว่า 20,000 รายการ ซึ่งปีนี้จะมีการเพิ่มจำนวน รายการสินค้าให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้มีการพัฒนาไปแล้วกว่าหมื่นรายการ จากเดิมวางแผนจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ประมาณ 800-1,000 รายการต่อปี

 

ขณะเดียวกัน ยังเลือกใช้กลยุทธ์ Collaboration จับมือกับพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ในการพัฒนาและออกสินค้าร่วมกัน โดยเป้าหมายต้องการเพิ่มความหลากหลายไม่เฉพาะหมวดสินค้าเท่านั้น ยังหมายถึงความหลากหลายด้านดีไซน์ อีกทั้งต้องการ Value added ให้ตัวสินค้า และขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ ๆ ด้วย

 

อย่างช่วงที่ผ่านมาได้จับมือกับหลากหลายพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ค่ายดิสนีย์, ซาริโอ, วอเนอร์บาร์เธอร์, การ์ตูน เน็ตเวิร์ค, สนูปปี้ รวมถึงศิลปินเกาหลีอย่าง NCT Dream ทำโปรเจกต์ Moshi x NCT DREAM DREAM และ TEN (เตนล์) ในโปรเจกต์ Moshi Moshi x TEN & CANELE รวมถึงศิลปินไทยอย่างแบรนด์ ‘Butterclub’ (บัตเตอร์คลับ), แบรนด์ Fluffy Omelet (ฟลัฟ ฟี่ ออม เล็ต) และ Jukka and Friends

เดินหน้าขยายสาขา แบบ ‘ลูกค้าอยู่ตรงไหน จะไปบุกที่นั่น’

 

นอกจากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าทั้งหมวดหมู่และดีไซน์แล้ว ‘การขยายสาขา’ ถือเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับโมชิ โมชิ โดยจะเน้นเปิดแบบ ‘ลูกค้าอยู่ตรงไหน จะไปบุกที่นั่น’

 

สง่าเล่าว่า ตอนนี้โมชิ โมชิ มีสาขารวมแล้วประมาณ 158 สาขา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 65 จังหวัด ซึ่งตามแผนในปีนี้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา เพื่อให้มีสาขาครบ 200 สาขา โดยเฉพาะในรูปแบบ ‘สแตนอะโลน’ ที่จะมีการขยายพื้นที่เป้าหมายจาก ‘มหาวิทยาลัย’ ไปยัง ‘พื้นที่ตามชุมชน’

 

“ตอนนี้ร้านสแตนด์อะโลนมี 5 แห่ง ซึ่งช่วงเริ่มต้นเราเน้นพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาอยู่อย่างน้อย 15,000 คน ขนาดร้านราว ๆ 80-100 ตร.ม. แต่ตอนนี้เราจะขยายไปเปิดตามชุมชน ที่จะเห็นในช่วงไตรมาส 1 ของปี 68 ย่านชุมชนโรงเรียนวัดเทียนดัด อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งจะเป็นสแตนด์อะโลนที่มีพื้นที่ใหญ่ประมาณ 300 ตร.ม.”

 

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายขยายสาขาของร้านให้ครบพื้นที่ 77 จังหวัดหรือครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในเร็ว ๆ นี้ด้วย

 

ขอโตนอกประเทศ

 

ณ วันนี้ แม้โมชิ โมชิ จะมีการเติบโตทั้งการขยายสาขาและรายได้ แต่ด้วยภาพที่สง่ามองตลาดไลฟ์สไตล์เป็น ‘ตลาดค่อนข้างใหญ่’ หากทำดี ๆ จะสามารถขยายตลาดได้มากและกว้างกว่านี้ โดยเป้าหมายสูงสุดของเขา คือ ต้องการทำให้โมชิ โมชิ เป็น One stop shopping มีสินค้าครบที่สุด และเป็นแบรนด์ในใจของผู้บริโภค

 

แน่นอนว่า เป้าหมายที่วางไว้จะไม่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่หมายถึงการไปปักหมุดธุรกิจให้เติบโตในตลาดต่างประเทศด้วย เบื้องต้นจะโฟกัสในภูมิภาคเอเชีย และ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยรูปแบบที่จะไปจะเป็น Join venture หรือการร่วมทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา

 

“แผนไปต่างประเทศเราศึกษาตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว ในเรื่องสินค้าไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อาจจะปรับ เช่น ความต้องการ พฤติกรรม การใช้จ่ายของคนในแต่ละประเทศมากกว่า และมีโอกาสไปได้สูงที่ในอีก 3 ปีต่อจากนี้จะเห็นการเปิดสาขาของโมชิ โมชิในต่างประเทศ”

 

พร้อมสู้ทั้งเศรษฐกิจและคู่แข่ง

 

คุยมาถึงตรงนี้ เราถามผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ โมชิ โมชิ ว่า ในปี 2568 อะไรคือความท้าทายในฐานะผู้นำและคนทำธุรกิจแบบเขา

 

สง่าตอบว่า ความท้าทายในปี 2568 ของเขา คือ การเข้ามาของ ‘ผู้เล่นรายใหม่’ ที่คาดว่า ในปีนี้จะเข้ามาอย่างน้อย 2-3 ราย แต่ไม่ได้รู้สึกกังวล เพราะมีการติดตามศึกษาคู่แข่งและวางแผนรับมือ เพื่อให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งและพร้อมสู้มาโดยตลอด

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจหรือกำลังซื้อ เป็นเรื่องปกติที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ และแม้ในปีที่เศรษฐกิจไม่ดี หรือกระทั่งปีที่เกิดวิกฤตโควิด โมชิ โมชิ ก็สามารถเติบโตได้ทุกปี เฉลี่ยปีละ 10-20% อย่างในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15-20%

 

“ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อนวันที่เริ่มต้นธุรกิจโมชิ โมชิ ก็มีผู้เล่นเข้ามาในบ้านเราจำนวนมากทั้งจากญี่ปุ่น และจีน โดยเฉพาะจีน ที่ตอนนั้นมีเข้ามา 4-5 ราย แต่ตอนนี้เหลือ 2 รายที่แข็งแรง ขึ้นอยู่กับเราจะปรับตัวได้มากแค่ไหน”

 

สำหรับโมชิ โมชิ เอง การเข้าใจ ‘ตลาด’ และ ‘ลูกค้า’ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับการแข่งขันและสร้างการเติบโต โดยในปีนี้นอกจากจุดขายเดิม ‘สวย-ถูก-ดี’ แล้ว ยังเพิ่ม ‘ความยั่งยืน’ เข้าไป โดยตอนนี้สินค้าของโมชิ โมชิ นอกจากสวย ราคาถูก และมีคุณภาพดี ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และต้องมีประโยชน์ต่อชุมชนด้วย

 

เพราะความยั่งยืน ถือเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ และเป็นโจทย์ที่องค์กรต่าง ๆ ต้องนำมาคิด เพื่อกำหนดเป็นหนึ่งในนโยบายสำหรับทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน

]]>
1506211
รับได้ไหม? หากบริษัทให้ทำงานแบบ hybrid แต่จะลดเงินเดือน 5-15% https://positioningmag.com/1506205 Mon, 13 Jan 2025 04:24:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506205 ปัจจุบันมีหลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มจะลดเงินเดือนลงหากพนักงานมีความต้องการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote ที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นประจำทุกวัน

 

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โลกของการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2025 แนวโน้มใหม่กำลังเกิดขึ้น คือ คนทำงานเต็มใจที่จะทำงานจากที่บ้าน และยอมรับเงินเดือนที่น้อยลง

 

Fortune ระบุว่า มนุษย์เงินเดือนบางคนยอมรับเงินเดือนน้อยลง 5-15% เพื่อแลกกับการทำงานแบบยืดหยุ่นไม่ต้องเข้าออฟฟิศประจำ โดยเฉพาะคนที่ให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการงาน หรือในคนที่ต้องการประหยัดค่าเดินทาง ซึ่งทำให้หลายบริษัทมีแนวโน้มจะใช้เรื่องนี้เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาทำงานด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม การคิดว่า การเสนอเงินเดือนที่น้อยลงกว่ามาตรฐานเพื่อแลกกับการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นประจำ โดยหวังจะสร้างแรงจูงใจคนทำงานยุคใหม่ให้มาทำงานด้วยนั้น ก็อาจสร้างความเสี่ยงให้กับบริษัทได้เช่นเดียวกัน 

 

เพราะพนักงานยังคงต้องการทั้งสวัสดิการที่ดีและเงินเดือนที่เหมาะสมอยู่นั่นเอง โดยจากผลการวิจัยของ Robert Half เผยให้เห็นว่า ผู้สมัครงาน 76% ยินดีที่จะทำงานในออฟฟิศเต็มตัวเพื่อแลกกับเงินเดือนที่สูงขึ้น โดยการขอปรับเงินเดือนขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 23% 

 

ที่มา

https://fortune.com/2025/01/05/job-recruiters-managers-pay-remote-work-from-home-return-to-office/

https://www.techspot.com/news/106207-employees-accept-lower-wages-work-home-flexibility-amid.html

]]>
1506205
ซิกเว่ เบรกเก้ Come Back ประเทศไทย คุม ‘กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือ CP’ มีผล 1 มี.ค. เป็นต้นไป https://positioningmag.com/1505884 Thu, 09 Jan 2025 07:44:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505884 ‘เครือเจริญโภคภัณฑ์’ หรือ ‘เครือ CP’ ประกาศแต่งตั้ง ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ (Sigve Brekke) ให้ดำรงตำแหน่ง ‘ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือ CP รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นตรงกับ ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยจะมีผลในวันที่ 1 มีนาคม 2568

 

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือ CP เปิดเผยว่า การเข้ามาของซิกเว่ เบรกเก้ครั้งนี้ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเครือ CP ซึ่งมั่นใจในวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของซิกเว่ที่จะพาเครือ CP สู่การเป็น Technology Company ชั้นนำระดับโลก พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

 

สำหรับบทบาทและความรับผิดชอบของซิกเว่ จะครอบคลุมถึงการดูแลรับผิดชอบธุรกิจที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล เป็นต้น

 

ทั้งนี้ ซิกเว่ เบรกเก้ เคยดำรงตำแหน่ง ‘ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’ ของเทเลนอร์กรุ๊ปเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่ง ‘รองประธานบริหารและหัวหน้าภูมิภาคเอเชีย’ รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ‘ดีแทคในประเทศไทย’ และเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งในกลุ่มเทเลนอร์ ทั้งยังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ GSMA ตั้งแต่ปี 2017 ถึงปี 2024

 

ที่มา : เว็บไซต์ We are CP

]]>
1505884
เมื่อการทำตลาดในปี 68 ไม่ใช่เรื่องง่าย ‘ผู้บริหาร’ ต้องวางแผนสู้อย่างไรให้ ‘ธุรกิจอยู่รอด’ https://positioningmag.com/1505874 Thu, 09 Jan 2025 07:00:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505874 ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับวงการธุรกิจ จากหลายปัจจัย ซึ่งสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย หรือ MAT บอกว่า การตลาดในปี 2568 ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ ต้องรอบคอบและระมัดระวัง สะท้อนจากผลสำรวจ Marketing Trends : 2025 Way Forward ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL ที่ได้สอบถามข้อมูลจาก ผู้บริหารระดับสูงด้านการตลาด จำนวน 111 ราย

 

• มุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2025 พบว่า 55% ของผู้บริหารมองว่า ‘โตยาก’ และคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไว้เพียง 1.65%

• ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการตลาดไทยอย่างมีนัยสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ ‘สภาพเศรษฐกิจโลก’, ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’ โดยเฉพาะ AI และ ‘การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค’

 

• จากภาพที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริหารถึง 77.6% ระบุปีนี้จะไม่เพิ่มงบในทำการตลาด และจะลดงบในส่วนนี้ลง 0.41%

 

 

เมื่อไม่เพิ่มงบการตลาด แล้วผู้บริหารหันมาลงทุนกับอะไร

• อันดับ 1 Content Platform 73%

• อันดับ 2 Commerce Platform 63.1%

• อันดับ 3 Payment Systems 29.1%

 

ทาง MAT ย้ำว่า ผู้บริหารและนักการตลาดต้องทำ Content ไปพร้อมกับการทำ Commerce เพราะปัจจุบันผู้บริโภคเสพ Content ไปพร้อม ๆ กับการจับจ่ายซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Commerce Platforms ต่าง ๆ

 

• พวกเขายังมองอีกว่า ผู้บริโภคในปี 2025 จะให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.สุขภาพ ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางอารมณ์ 2.เทคโนโลยีดิจิทัล 3.คุณภาพของสินค้าและบริการ

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้บริหารและนักการตลาดให้ความสำคัญกับ 3P ได้แก่ Profit – เน้นสร้างผลกำไรเป็นหลัก สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ, People – สังคม ชุมชน และผู้คน Planet – สิ่งแวดล้อม

 

ส่วนอุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve ของไทย ได้แก่

1.Heath & Wellness 88.3%

2.Quality Tourism 73.9%

3.Agri & Biotech 63.1%

สำหรับหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในปี 2025 ต้องยึดหลัก A-B-C-D ประกอบด้วย

 

A (AI) : ใช้ปัญญาประดิษฐ์ AI ยกระดับ Customer Experience ผ่านการใช้ปัญญาประดิษฐ์และ Personalized Marketing เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวทั้งกับลูกค้าและคู่ค้า

B (Balance) : ช้า-เร็ว ระวังหลัง สร้างความสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความรอบคอบในการดำเนินกลยุทธ์และลงทุนกับการจัดการความเสี่ยง ซึ่งต้องเร็วและอยู่บนความเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง

C (Clear) : ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ วางแผนการใช้งบการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ มีโฟกัสแบบไม่หว่าน

D (Data) : ชิงชัยด้วยข้อมูล เก็บ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีคุณภาพ เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึกกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘แบรนด์เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง’

]]>
1505874
เปิด ’10 อาชีพมาแรง’ ที่ไม่ตกยุคและตลาดต้องการตัวเป็นอย่างมาก https://positioningmag.com/1505503 Mon, 06 Jan 2025 09:24:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505503 ยุคนี้เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีในหลากหลายวงการ ไม่เว้นกระทั่ง ‘โลกของการทำงาน’ อย่างที่จะเห็นได้ว่า ทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการทำงานไม่น้อย รวมถึงเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดแรงงาน จากอาชีพที่เคยโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป 

 

บทความนี้เราจึงอยากพาไปดูว่า จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สายงานอาชีพใดมาแรง กลายเป็น ‘อาชีพแห่งอนาคต’ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานบ้าง

 

10 อาชีพมาแรงในอนาคต ประกอบด้วย 

 

1.Software Developer

 

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น แน่นอนว่า Software Developer จึงเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการเป็นอันดับต้น ๆ เพราะธุรกิจหรือองค์กรส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง เพื่อเป็นช่องทางสื่อสาร ตลอดจนเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของตนเอง 

 

สำหรับทักษะที่อาชีพนี้ต้องมีติดตัวไว้ อย่างเช่น Coding Language, Machine Learning, Analytical Skills และ Mathematics และ Statics เมื่อทำงานไปสักระยะ Software Developer อาจต่อยอดไปสู่สายงานอย่าง Programmer Analysts ได้เช่นกัน

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-140,000 บาท/เดือน

 

2.AI & Machine Learning Engineer

 

หากพูดถึงโลกอนาคต ณ เวลานี้คงหนีไม้พ้นเรื่องของ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเป็นผลให้ AI Engineer และ Machine Learning Engineer เป็นอาชีพมาแรงที่ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการตัวสูง โดยอาชีพนี้ จะอาศัยความเชี่ยวชาญในการด้านการผลิตและการเรียนรู้เครื่องจักรกล เพื่อเป็นการร่วมกันผลิตผลงานโดยมนุษย์และ A​I ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ขณะที่ทักษะที่อาชีพนี้จำเป็นต้องมี เช่น Coding และ Computer Skill, Marketing Skill, Machine Learning หรือ Mathematics และ Statics ฯลฯ ส่วนเส้นทางการต่อยอดในสายอาชีพนั้น สามารถเติบโตไปสู่การเป็น Machine Learning Engineer หรือ Data Engineer ได้ในอนาคต

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-80,000 บาท/เดือน

 

3.Data Analysts

 

ยุคปัจจุบัน เป็นโลกของ Big Data ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้การทำการตลาด หรือการทำธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยวางแผนในการดำเนินด้านกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและชนะคู่แข่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชีพ Data Analysts จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน

 

สำหรับหน้าที่ของ Data Analyst คือต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็น Insights เพื่อตอบรับเรื่องของการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์เรื่องยอดขาย ผสานกับการดูแลเรื่องต้นทุนในธุรกิจของบริษัท รวมไปถึงรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่มี เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมการทำงานของฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดการธุรกิจ หรือแผนกที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเออร์ 

 

ทักษะของสายอาชีพนี้ที่ต้องมี ได้แก่ Mathematics และ สถิติ, Analytical Skill, Communication Skill, Storytelling, Microsoft Excel และ SQL รวมไปถึงการเข้าใจเรื่องของกระบวนการธุรกิจ ในอนาคตหากอยากเติบโตสายอาชีพนี้ก็สามารถพัฒนาไปยังตำแหน่ง Business Development หรือ Static Analysis ได้เช่นกัน

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-80,000 บาท/เดือน

 

4.Data Scientists

 

อีกหนึ่งอาชีพที่มาแรง ได้แก่ Data Scientists ที่มองเผิน ๆ อาจคล้ายกับ Data Analyst แต่ความจริงมีความแตกต่างกันอยู่ โดย Data Scientists จะเปรียบเหมือน ‘นักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล’ ก่อนจะนำข้อมูลไปสรุปผลออกมาเป็นรายงานที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปต่อยอดในส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการทำตลาด หรือการวางแผนธุรกิจ

 

หลัก ๆ อาชีพนี้จะทำหน้าที่ 2 ส่วน คือ การวิเคราะห์ผสานโมเดลการทำนายผล และวิเคราะห์เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนให้คำปรึกษาและข้อมูลที่แม่นยำแก่ทุกฝ่ายสำหรับนำไปต่อยอดในการกระตุ้นยอดขาย หรือสร้างแคมเปญโปรโมตสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด

 

ทักษะที่ Data Scientists ต้องมีคือ Mathematics และ Statics, Machine Learning, Software Engineering, Data Analysis, Data Visualizations รวมไปถึงการเข้าใจด้านการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ส่วนการต่อยอดในอาชีพสามารถพัฒนาไปยังอาชีพ Data Engineer หรือ Programmer 

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 35,000-80,000 บาท/เดือน

 

5.Digital Marketing

 

อาชีพ Digital Marketing เข้ามาบทบาทมากในทำการตลาดในโลกยุคดิจิทัล โดยผู้ที่ทำอาชีพนี้ จะต้องมีความรู้ด้าน Digital Marketing รวมไปถึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือโปรโมตธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ในการคิดคอนเทนต์ หรือเนื้อหาต่าง ๆ ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ได้ด้วย

 

อาชีพนี้ จึงต้องมีทักษะ เช่น Marketing Skill, Technical Skill, Creative Data Analytic Skill, Digital Presentation Skill, Content Creator Skill, E-Commerce, SEO/SEM, Graphic Designer รวมไปถึงความรู้ในการใช้ Tools หรือเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตและดึงข้อมูลด้านการตลาดออนไลน์ เป็นต้น

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-80,000 บาท/เดือน

 

6.Digital Marketing Analyst

 

Digital Marketing Analyst จะเป็นอาชีพที่ผสมผสานระหว่าง Data Analyst และ Digital Marketing เข้าไว้ด้วยกัน โดยหน้าที่หลักคือ จะต้องหาข้อมูล Insight เกี่ยวกับตัวผู้บริโภคและลูกค้าของธุรกิจ รวมถึงทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดในธุรกิจที่ดูแล และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ ก่อนการทำการตลาดออนไลน์ และทำหน้าที่เสนอแผนงานให้ฝ่าย Sales & Marketing หรือ ฝ่าย Business Development ของบริษัทเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

 

สำหรับทักษะที่ Digital Marketing Analyst ควรมี ได้แก่ Data Analytical Skill, Data Visualization, Marketing Skill, Communication Skill, Presentation Skill ตลอดจนการใช้ ​Tools ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 50,000-80,000 บาท/เดือน

 

7.Business Operations

 

อาชีพ Business Operations จะเน้นการสื่อสารและพัฒนาภายในองค์กรเป็นหลัก โดยจะทำหน้าที่ในการดูแลระบบการทำงานภายในองค์กร คอยจัดการขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพมากที่สุด และป้องกันการเกิดปัญหาภายในองค์กรให้น้อยที่สุด เพราะหากภายในบริษัทมีระบบรากฐานที่ดี ก็จะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้อาชีพนี้มาแรง เป็นที่ต้องการของตลาด

 

ผู้ที่ต้องการก้าวสู่สายอาชีพนี้ ต้องมีทักษะ เช่น Business Development, Project Management, Communication Skill หรือ Presentation Skill ฯลฯ และในอนาคต Business Operations ยังสามารถต่อยอดด้านอาชีพไปเป็น Project Manager และ Business Development ได้ด้วย

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-50,000 บาท/เดือน

 

8.Organization Development

 

แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานมากขึ้น แต่เรื่องของการบริหารมนุษย์นั้น ยังไงมนุษย์ด้วยกันเองก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่า AI แน่นอน ดังนั้นสายงานด้าน Organization Development จึงไม่มีทางตกเทรนด์ และเป็นอาชีพที่ต้องการในอนาคตต่อไป

 

สำหรับทักษะที่จำเป็นต้องมีหากอยากจะอยู่ในสายอาชีพนี้ ก็คือ Human Resources, Project Management, Communication Skill, Training Skill หรือ Business Development ฯลฯ

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-60,000 บาท/เดือน

 

9.Cybersecurity

 

ยุคนี้โลกของเราไม่เพียงต้องเจอการระบาดของโรคภัยแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย Cybersecurity จึงเป็นอีกอาชีพที่มาแรง แถมในตอนนี้ยังขาดแคลนในตลาดแรงงานทั่วโลกอีกด้วย 

 

โดยทักษะที่จำเป็นที่ต้องมีสำหรับอาชีพ Cybersecurity ได้แก่ ทักษะ Programming หรือ Coding ความรู้ด้านระบบอินเทอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านซอฟต์แวร์และการใช้เครื่องมือ Cybersecurity ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-100,000/เดือน 

 

10.Content Creator

 

Content Creator เป็น ‘อาชีพมาแรงแห่งยุค’ เพราะจะเห็นได้ว่า เป็นอาชีพที่คนต้องการทำและมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน ทั้งคนที่ทำอาชีพนี้กันอย่างจริงจัง หรือทำเป็นอาชีพเสริม ซึ่งหากทำแล้วปัง ก็สามารถหารายได้แบบเป็นกอบเป็นกำได้ไม่ยาก

 

สำหรับทักษะหลัก ๆ ที่ Content Creatorจำเป็นต้องมี ได้แก่ Writing Skill, Copywriting Skill, การพูด, การดำเนินรายการ, การทำกราฟิก, การตัดต่อวิดีโอ, Motion Effect, Marketing Skill, Communication Skill ฯลฯ ซึ่งอาชีพนี้สามารถต่อยอดหรือเติบโตไปเป็น Content Manager, Content Marketing หรือ Creative Director ได้ในอนาคต

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-50,000 บาท/เดือน

 

ที่มา : Jobsb

 

]]>
1505503
ปีใหม่ทั้งที มาทำตัวเองให้เก่งขึ้น เปิดไอเดีย ‘ปณิธานปีใหม่’ เพื่อพิชิตความสำเร็จในอาชีพ https://positioningmag.com/1505282 Sun, 29 Dec 2024 08:02:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505282 เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ หลายคนจะมีการตั้ง New Year’s Resolution หรือ ‘ปณิธานปีใหม่’ ตั้งเป้าหมายว่า ในปีใหม่นี้ต้องการปรับปรุงหรือมีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับตัวเองพัฒนาไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง ซึ่งบทความนี้เราจะมาเสนอไอเดียการตั้งปณิธานปีใหม่ที่จะช่วยสร้างความสำเร็จทางด้านการงาน

 

ตั้งเป้าให้ตัวเองกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น

 

เมื่อพูดถึงเป้าหมายความก้าวหน้าในอาชีพ หากไม่แน่ใจจะเริ่มต้นอย่างไรกับปณิธานด้านอาชีพในปี 2025 อาจเริ่มต้นด้วยการมุ่งมั่นที่จะลงมือทำให้มากขึ้น เพิ่มความกระตือรือร้นและลดความเฉื่อยชาลง โดยอาจจะตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว หรือระดมความคิดสำหรับการพัฒนาอาชีพที่คุณต้องการทำในปี 2025 เพื่อกำหนดกรอบและทิศทางพัฒนาตัวเองได้อย่างชัดเจน

 

เรียนรู้ทักษะใหม่

 

ด้วยยุคปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงมากมายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากต้องการความสำเร็จหรือก้าวหน้าในอาชีพ ประเด็นสำคัญ คือ ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะ Upskill และ Reskill โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ตอนนี้มีหลายอย่างเข้ามาดิสรัปต์คนทำงาน เพราะหากคุณตามไม่ทันอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสเติบโต หรือบางครั้งต้องสูญเสียงานไปก็ได้

 

ลดการผลัดวันประกันพรุ่ง

 

การผลัดวันประกันพรุ่ง ด้วยการเลื่อนภารกิจหรืองานที่ต้องทำในแต่ละวันออกไปก่อน ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จหรือก้าวหน้าในอาชีพการงาน ดังนั้น ปณิธานปีใหม่หลายคนจึงตั้งเป้าที่จะลดพฤติกรรมนี้ออกไป ซึ่งมีหลายวิธีที่จะพัฒนาตัวเองทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง

 

ยกตัวอย่างเช่น ใช้เวลา 5-10 นาทีสุดท้ายของวันทำงาน เขียนสิ่งที่คุณทำสำเร็จ สิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามแผน และ 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในวันนี้ เพื่อประมวลผลการทำงานในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความสำเร็จในแต่ละวัน เป็นกระบวนการง่าย ๆ ที่จะเพิ่มกำลังใจในการทำงาน และอีกส่วนจะเป็นเหมือนคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำในวันพรุ่งนี้

 

อุทิศเวลาให้กับการทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น

 

บางครั้งการทำงานในแต่ละวัน เราต้องเสียเวลาไปกับงานที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น การประชุมที่ยืดเยื้อ ไม่มีทิศทางและข้อสรุป ดังนั้น หากต้องประชุมควรจะมีการกำหนดเวลาชัดเจน รวมไปถึงการตั้งเป้าหมายและกรอบของการระดมความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อสรุปและเป็นไปตามเป้าหมายทีต้องการ

 

จงใจดีกับตัวเองมากขึ้น ทั้งในที่ทำงานและในชีวิต

 

การทำงานที่เคร่งเครียดและกดดันตัวเองจนเกินไป ไม่ได้ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงานและอาจส่งผลกระทบเชิงลบให้กับชีวิตของเรา ฉะนั้น คุณควรจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความสุขและเป้าหมายของชีวิตคืออะไร? คุณมักจะวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองถึงสถานการณ์การทำงานหรือไม่? ตั้งเป้าหมายสูงเกินไปหรือเปล่า? ทำไมไม่ลดแรงกดดันลงบ้างในปี 2025? ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อชีวิตของตัวเองมากกว่า

 

สำหรับวิธีตั้งเป้าหมายปีใหม่ให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เขียน ‘สิ่งที่ต้องการทำ’ แต่ต้องอาศัยการวางแผน การลงมือทำ และการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการวางกรอบเวลาที่อยากจะบรรลุปณิธานไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วค่อยขยายไปสู่เป้าหมายใหม่ เพื่อให้มีกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่วางไว้ให้ประสบความสำเร็จ

]]>
1505282
โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดตัวงาน Gift Fair Festival ส่งต่อความรู้สึกดีๆ ท้ายปีด้วยสถานีส่งความสุข https://positioningmag.com/1505277 Sun, 29 Dec 2024 07:59:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505277 โอเรียนทอล พริ้นเซส (Oriental Princess) ส่งความสุขให้กับทุกคนให้เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในงาน Gift Fair Festival เนรมิตลานโปรโมชัน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต ให้เป็นมหกรรมแห่งความสุขที่รวบรวมความสนุกสนาน และความทรงจำอันน่าประทับใจ ภายใต้แนวคิด #OPสถานีส่งความสุข เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษผ่านขบวนรถไฟส่งความสุข ด้วยของขวัญที่ตอบโจทย์ทุกโอกาสสำคัญ

 

เพราะเชื่อว่า “มากกว่าของขวัญ คือการส่งต่อความรู้สึกดีๆ” ผ่านเซตของขวัญไอเทมความหอม และกล่องของขวัญดีไซน์สุดพิเศษ เพราะ #OPของขวัญนัมเบอร์วัน ของขวัญที่มอบให้คนสำคัญได้ทุกโอกาส

 

งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ถึง 3 มกราคม 2568 ณ ลานโปรโมชัน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต ร่วมเติมเต็มความสุขในทุกโอกาสและส่งต่อความประทับใจด้วยของขวัญจาก โอเรียนทอล พริ้นเซส พร้อมกิจกรรมที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความอบอุ่น และความหอมแบบเฉพาะตัว

 

ไฮไลต์ภายในงาน ได้แก่ เซตของขวัญแทนใจและไอเทมความหอม BEST SELLER ภายในงานมีผลิตภัณฑ์ความหอมขายดีให้เลือกสรร และเซตของขวัญสุดพรีเมียม อบอวลด้วยความหอมจากสารสกัดธรรมชาติ Beauty Celebration Value Set 2025  ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความประทับใจให้คนพิเศษของคุณ แรงบันดาลใจจากจุดแลนด์มาร์ค 5 ภาค 5 ดีไซน์ ให้คุณเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของแต่ละภาค พร้อมแสดงความรักและห่วงใยได้ทุกโอกาส พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก โอเรียนทอล พริ้นเซส เพื่อซื้อของขวัญแทนความรู้สึกให้คนที่คุณรัก

 

PHOTO BOOTH สุดสร้างสรรค์ ตู้เดียวในโลก! สัมผัสประสบการณ์ถ่ายภาพสุดพิเศษ ที่จะพาคุณไปท่องเที่ยวแลนด์มาร์คทั่วไทยภายในแชะเดียว มาพร้อมเทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว (Motion Photo) ที่จะทำให้ทุกภาพถ่ายของคุณเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ส่งต่อความทรงจำสุดประทับใจได้ไม่รู้ลืม

 

SHOP & UNLOCK YOUR CHANCE TO WIN!  ล็อคเกอร์ลุ้นรางวัลสุดเซอร์ไพรซ์ มอบความสนุกสนานและสร้างความตื่นเต้นด้วยล็อคเกอร์สุดเซอร์ไพรซ์  ให้คุณได้ช้อปเพลิน พร้อมลุ้นรางวัลของพรีเมียมพิเศษสุดฟิน

 

SNAP & SHARE เพื่อรับฟรี ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าขนาดทดลอง ใช้ได้นาน 7 วัน

]]>
1505277