my_bb – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 10:59:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สกสว. เปิดงาน “Venture Rise Thailand 2025” ปลดล็อกงานวิจัยไทยสู่ขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1550358 Thu, 04 Dec 2025 10:58:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550358 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดย กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเวทีใหญ่ “Venture Rise Thailand 2025” ชูเป้าหมายพาไทยหลุด “กับดักรายได้ปานกลาง” ผ่านการดันงานวิจัยออกจากหิ้งสู่ภาคธุรกิจเต็มรูปแบบ ภายใต้กฎหมายใหม่ TRIUP Act ที่เปิดให้ต่อยอดงานวิจัยเชิงพาณิชย์ได้คล่องตัวกว่าเดิม

โดยภายในงานได้รวม 300 นวัตกรรม แบ่งเป็น 3 ไฮไลต์ใหญ่ทั้ง “ธุรกิจ เทคโนโลยีล้ำ เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ดังนี้

1.ด้านธุรกิจ เปิด Investment Gateway ดึงทุนทั่วโลกสู่ Deep Tech ไทย

สกสว. เปิด Innovation Catalog ให้เลือกช้อปงานวิจัยกว่า 300 ชิ้นแบบพร้อมใช้จริง โดยมีหมุดหมายสำคัญคือ

  • New S-Curve ใหม่ของไทย: เน้นอุตสาหกรรมศักยภาพสูง เช่น MedTech, อาหารอนาคต และ Deep Tech ตัวขยาย GDP ในระยะยาว
  • กองทุนร่วมลงทุนรัฐ และเอกชน (Co-investment / Matching Fund): ช่วยลดความเสี่ยงนักลงทุน และดึง FDI ให้บริษัทต่างชาติมาตั้งฐาน R&D ในไทย
  • เวทีลุ้นเข้ารายการ Shark Tank Thailand: เปิดให้สตาร์ทอัพ นักวิจัยมา Pitch ผลงานจริง เพิ่มโอกาสเข้าตาและระดมทุนระดับมหาชน

2.ด้านเทคโนโลยีล้ำ (Deep Tech & MedTech): นวัตกรรมเปลี่ยนเกมฝีมือคนไทย

โชว์เทคโนโลยีที่จับต้องได้และพร้อมขายจริง โดยเฉพาะฝั่งการแพทย์ที่ตลาดโลกต้องการสูง เช่น

  • AI คัดกรองเบาหวานเข้าจอตา (ARDA) ความร่วมมือกับ Google Health และ รพ.ราชวิถี แม่นยำ 95% ใช้เชื่อมต่อระบบดิจิทัล ช่วยป้องกันการตาบอดในผู้ป่วยเบาหวานได้เร็วขึ้น
  • เครื่องตรวจมวลกระดูกแบบพกพา (ครั้งแรกของโลก) พัฒนากับ รพ.จุฬาฯ ใช้แสงอินฟราเรด + AI วิเคราะห์กระดูก รู้ผลใน 1 นาที ปลอดภัยไร้รังสี ตอบโจทย์ Telemedicine
  • หุ่นยนต์ผ่าตัดกระดูก OrthoAssist แขนกลอัจฉริยะ 6 แกน เพิ่มความแม่นยำ ลดผลข้างเคียง และเก็บข้อมูลเป็นฐานสอนแพทย์ในอนาคต
  • วัสดุหนังเทียม PiLeatha จากใยสับปะร งานวัสดุศาสตร์ไทยล้วน โครงสร้าง Monolayer แข็งแรงกว่า PU/PVC ตอบเทรนด์ Sustainability ระดับสากล

3.ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์: งานวิจัยที่แปลงเป็น “กินดี อยู่ดี มีสไตล์”

ดึงภูมิปัญญาไทย–นวัตกรรมมาปั้นเป็นสินค้าที่มีทั้งฟังก์ชันและเรื่องราว เช่น

  • Functional Food “Enzyme Arto” ใช้เอนไซม์แปลงน้ำตาลในน้ำผลไม้ให้กลายเป็นพรีไบโอติก คนรักสุขภาพดื่มได้ไม่ต้องกังวลน้ำตาล
  • แฟชั่นรักษ์โลกจากสีธรรมชาติ อาทิ ผ้าพิมพ์ลายจากสีบัวหลวง (มทร.ธัญบุรี) กันน้ำ, ชุดย้อมสีธรรมชาติ DIY จากคราม (ราชภัฏสกลนคร), ชิโบริแม่อิง (ม.พะเยา) รวมเทคนิคญี่ปุ่นกับสีท้องถิ่น พร้อมไอเทมห้อย “ปลา 8 ตัว” สัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์
]]>
1550358
ไทย ลุยดึง “นักท่องเที่ยวจีน“ ตั้งเป้า 2 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นปลายปี https://positioningmag.com/1550346 Thu, 04 Dec 2025 10:46:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550346 อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้เปิดเกมรุก “Quick Win” หวังพลิกภาพการท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซั่น

โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างน้อย 2 ล้านคนใน 3 เดือน พร้อมเปิด “เส้นทางท่องเที่ยววิถีใหม่” เพื่อชิงกระแสจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

จับ 6 เทรนด์ท่องเที่ยวคนจีน

ทั้งนี้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ จับเทรนด์นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิม โดยแตกไลน์เป็น 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. สำรวจเส้นทางวัฒนธรรม: เน้นการเที่ยวชุมชน วัดวาอาราม เพื่อสัมผัสเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย

2. กินดื่มเที่ยวชิล ๆ: ปักหมุดร้านอาหารท้องถิ่น สร้างโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว

3. การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมกีฬา: เช่น ปีนผา, ขี่จักรยาน, และการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว อย่าง มวยไทย

4. ชมเส้นทางชมธรรมชาติ: นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว Unseen เช่น ทะเลหมอกในพะเยา, แพะเมืองผี (แกรนแคนยอนเมืองไทย)

5. นำเที่ยวแบบครอบครัว: ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ปลอดภัย และได้ความรู้สำหรับทุกวัยในครอบครัว

6. โรดทริป (Road Trip): เจาะกลุ่มนักขับรถด้วยเส้นทางเชื่อมต่อ ไทย-จีน-ลาว ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยม

อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

กลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่: สร้างกระแสผ่าน Super App และคอนเทนต์คุณภาพ

แผน Quick Win เน้นการใช้การสื่อสารที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำของจีน อาทิ

  • Dianping/Meituan : ปักหมุดร้าน-สถานที่เที่ยวให้ติดอันดับค้นหา
  • Xiaohongshu : ใช้ Influencer + แฮชแท็ก #泰好了放假游 เพื่อปลุกภาพลักษณ์ “ไทย = เที่ยวง่าย ปลอดภัย ถ่ายรูปสวย”
  • WeTV : เปิดพื้นที่ให้รายการจีนที่มาถ่ายในไทย หวังปั่นยอดเข้าถึงหลักร้อยล้านวิว

ทั้งหมดคือกลยุทธ์ตีตลาด “Generation Z และ Young Travelers” ของจีน ซึ่งกลุ่มนี้ตัดสินใจจากคอนเทนต์สั้น + รีวิวบนโซเชียลเป็นหลัก

เซ็น MOU กับ 2 มณฑล 6 เมืองของจีน

ขณะเดียวกัน ไทยจับมือเซ็น MOU กับ 2 มณฑล รวม 6 เมืองเที่ยวตัวท็อปของจีนอย่าง ซานย่า ไหโข่ว หนานจิง ซูโจว และหางโจว

เพื่อเปิดเส้นทางแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวโดยตรง แบบไม่ต้องรอแคมเปญใหญ่จากส่วนกลาง เป็นการเจาะตลาดแบบ “เมืองถึงเมือง” ซึ่งมาแรงมากในจีนตอนนี้

ปิดจุดอ่อน ไทยทำ Green Zones ย้ำความปลอดภัย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยรู้ดีว่าความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็น Pain Point อันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน จึงทำระบบ SOS แจ้งเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม Wei! Taiguo

  • แจ้งเหตุได้จากมือถือ
  • ดูสถานะความช่วยเหลือได้ทันที
  • เริ่มใช้ใน 27 เมืองท่องเที่ยวหลัก

“การดำเนินการทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างแคมเปญสื่อสารคุณภาพ ที่จะดึงเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย ทั้งความงดงาม รอยยิ้ม น้ำใจ และการต้อนรับแบบไทย กลับคืนสู่สายตานักท่องเที่ยวชาวจีน และบรรลุเป้าหมาย 2 ล้านคน ตามที่ตั้งไว้”

]]>
1550346
กู้ไม่ผ่าน ทำอสังหา ปี 69 เข้าสู่ “ยุคทองการเช่า” เสนาฯ ลุยเพิ่มพอร์ตเช่า 2 พันยูนิต https://positioningmag.com/1550297 Thu, 04 Dec 2025 09:27:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550297 รีเจ็กต์เรตที่อยู่อาศัยพุ่ง 50-80%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายสูงจากแผ่นดินไหว และกำลังซื้อหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้นอกระบบ

ส่งผลให้ อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์ เรต) กลุ่มที่อยู่อาศัยของเสนาฯ เพิ่มขึ้น ดังนี้

  • คอนโดมิเนียม (แบบพร้อมอยู่) รีเจ็กต์ เรต 50%
  • โครงการแนวราบ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.5 ล้านบาท ทำเลบางใหญ่ นนทบุรี รีเจ็กต์ เรต ทะลุ 80%

“พิษหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กดดันลิมิตการใช้จ่ายผู้บริโภคอย่างหนัก แม้ลดราคาสินค้าบ้าน-คอนโดลง 10% ยังช่วยกระตุ้นยอดขายไม่ได้เลย ถ้าสุดท้ายไม่มี Consumer spending”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA

ปีทองแห่งการเช่า เสนา จ่อเพิ่มพอร์ตฯ 30 โครงการ 2 พันยูนิต

จากปัจจัยข้างต้น สร้างอานิสงส์ให้ ‘ตลาดเช่า’ สะท้อนจาก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เสนาฯ ทำโครงการ เช่าออมบ้าน หรือ LivNext ช่วยผู้ซื้อปรับโครงสร้างทางการเงิน ผ่านการผ่อนตรงกับบริษัทฯ และเมื่อสร้างเครดิตทางการเงินได้แล้ว (ภายใน 3 ปี) จึงสามารถกู้ซื้อบ้านได้

โดยเงินที่เช่ากับเสนา สามารถนำมาหักเป็นค่าบ้านได้ทั้งหมด (ยกเว้นเงินค่าดอกเบี้ยที่เสีย 1.8%) เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่อนกับเสนา 5,000 บาท/เดือน รวมเป็น 60,000 บาท/ปี เมื่อถึงเวลากู้ธนาคารก็จะใช้งบเพียง 940,000 บาท เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเช่าออมบ้านกว่า 1,000 ยูนิต ช่วยเพิ่มยอดขาย คล้าย ๆ แบคลอคในอนาคตให้บริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท (รอลูกค้ากู้ผ่านใน 3 ปี) ขณะเดียวกันดึงกระแสเงินสดจากการเช่าได้ 80-100 ล้านบาท

“ตอนนี้เช่าออมบ้านไม่ถึง 3 ปี มีลูกค้าออกจากโครงการ เพราะสามารถกู้ธนาคารได้แล้วราว 100 ยูนิต ดังนั้น โมเดลนี้จึงไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นทางออกใหม่ของตลาด Real Demand ในยุคที่ราคาทรัพย์และรายได้ประชาชนสวนทางกัน”

RentNext มาแรง ปล่อยเช่าได้ 70-80 ยูนิต/เดือน

นอกจากพอร์ตเช่าออมบ้านแล้ว เสนาได้ทำผลิตภัณฑ์ RentNext ขึ้นมา สำหรับปล่อยเช่าโดยเฉพาะ

แต่อนาคตหากลูกค้าอยากเป็นเจ้าของห้องที่เช่าขึ้นมา สามารถเปลี่ยนสัญญาเป็นซื้อได้ และเงินที่เช่าก็หักเป็นเงินต้นคอนโดได้ทั้งหมด ยกเว้นเปลี่ยนห้องไปยังโครงการอื่น ๆ ของเสนา จะถูกหักค่าเช่า 50% ที่เหลือสามารถนำไปเป็นเงินต้นได้เช่นกัน

“ปี 2568 เสนาตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมพอร์ตเช่าออมบ้านที่เปรียบเสมือนแบคลอคลอย ๆ อีก 2,000 ล้านบาท”

ขณะที่ ปี 2569 เสนามองว่าจะเป็น ‘ยุคทองแห่งการเช่า’ ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าใน กทม. แพงสุดในโลก สูงกว่าฮ่องกง *เมื่อคำนวณค่าเช่าเทียบกับรายได้ประชากร และตลาดยังคงขยายตัวทำให้มีความน่าสนใจมาก

ทำให้ในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมขยายโครงการบ้านและคอนโดที่เข้าร่วมกับ LivNext และ RentNext 30 โครงการ เพิ่มขึ้น 2,000-3,000 ยูนิต จากปัจจุบันมีอยู่ 25 โครงการ ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 2 ล้านบาท

ทำเลที่ไปได้ดี คือ บางนา พระรามเก้า และรังสิต มีราคาเช่าตั้งแต่ 3,000-10,000 บาท/เดือน คิดเป็นยีลด์ 7% ต่อปี และหากคิดเป็นกำไรขั้นต้นจากการเช่าจะอยู่ที่ 15% สูงกว่าการขายที่อยู่อาศัย

เสนา คอนโด

ชะลอลงทุนใหม่ โฟกัสพอร์ตฯ Affordable

สำหรับปี 2569 เสนายังไม่มีแผนลงทุนใหม่ เพื่อรอให้ซัพพลายในตลาดอสังหาเข้าสู่การฟื้นตัว แต่ยังมีแผนเปิดตัวโครงการเดิมที่เลื่อนไปจากปี 2568 ประมาณ 5 โครงการ โดยยังคงเน้นพอร์ต Affordable ราคา 1-2.5 ล้านบาท/ยูนิต ที่เสนาเป็นเจ้าตลาดครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 21%

ทั้งนี้ ปัจจุบันเสนาฯ มีโครงการในมือรวมอยู่ระหว่างสร้างและสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory Supply) ประมาณ 10,000 ยูนิต มูลค่ารวม 20,000 – 30,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการพร้อมอยู่มีจำนวน 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 20% และแนวสูง 80% ซึ่งเสนาฯ จะโฟกัสโครงการที่มีอยู่เสียก่อน โดยอาจพัฒนาใหม่ อาทิ ปรับแปลนห้องให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

“เรามองว่า ‘ยุคทองอสังหาฯ จบลงแล้ว’ ตลาดเข้าสู่เฟสเติบโตเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณ แต่ทุกไซเคิลย่อมมีขาขึ้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี และซัพพลายยังจำกัดแบบปัจจุบัน การดีดตัวรอบใหม่จะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ปัจจุบันแม้ยอดโอนลด แต่กำไรยังคงมี จากการบริหารสต็อกและต้นทุนอย่างรัดกุม”

]]>
1550297
‘เจ้านาง’ รีแบรนด์ใหญ่เจาะ Gen Z ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะ 1 พันล้านบาท https://positioningmag.com/1550307 Tue, 02 Dec 2025 10:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550307 สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลจาก Custom Market Insight พบว่า ตลาดความงามไทย มีมูลค่า 170,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% แบ่งออกเป็น

  • ตลาดสกินแคร์ 120,000 – 130,000 ล้านบาท
  • ตลาดคอสเมติก 40,000 – 50,000 ล้านบาท

โดยทั้ง 2 กลุ่มหลัก มีโอกาสขยายตัวอีกมาก จากดีมานด์ความต้องการเครื่องสำอางและสกินแคร์สูงขึ้น

ขณะที่ จำนวนผู้เล่นในตลาด ก็เพิ่มขึ้น 16.9% ต่อปี ผลักดัน “การแข่งขัน“ ในตลาดความงามดุเดือดขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ ”เจ้านาง“ ต้องปรับยุทธศาสตร์การตลาดครั้งใหญ่ เพื่อจับใจผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เจ้านาง รีแบรนด์ใหญ่ ปรับตัวให้เด็กลง เจาะกำลังซื้อ Gen Z

โดยแผนใหญ่ปี 2568 – 2569 คือ การเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Z ที่ครอบคลุมตั้งแต่เด็กวัยเรียนไปจนถึง First Jobber

อย่างไรก็ดี เจ้านาง ติดภาพจำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่า เข้าถึงยาก และดูมีอายุ ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจ รีแบรนด์ใหญ่ โดยปรับโลโก้ใหม่ เป็นผู้หญิงมีมงกุฎ แต่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น รวมถึงเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดูลักซูรีขึ้น ตามเสียงเรียกร้องของผู้บริโภค

รวมไปถึง การแตกไลน์สินค้าตามอินไซด์ของคนรุ่นใหม่ อาทิ คุชชั่นและแป้งสำหรับผิวเป็นสิว บลัชออนและลิปสติก (จากเดิมเน้นแป้งเป็นหลัก)

ตลอดจน สินค้าไซซ์เล็กลง เช่น คุชชั่นแบบซอง แป้งพัฟทูโกขนาดเล็ก 10 กรัม เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยเรียนที่มีกำลังซื้อจำกัด โดยเจ้านางมีราคาตั้งแต่ 59 – 599 บาท

“การทำสินค้ารูปแบบซอง สอดรับกับกำลังซื้อวัยเรียน และเปิดการเข้าถึงฐานลูกค้าใหญ่ขึ้น ที่อยากทดลองใช้สินค้าเจ้านาง โดยเฉพาะในผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีแบรนด์รอยัลตี้ต่ำลง และชอบทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ หากกลุ่มนี้ใช้สินค้าเราแล้วดี ท้ายสุดก็จะเกิดแบรนด์รอยัลตี้ตามมาได้”

เจ้านาง โลโก้และแพ็กเกจจิ้งแบบใหม่

ทั้งนี้ ปัจจุบันเจ้านางมี โปรดักส์ฮีโร่ขายดีสุด คือ กลุ่มรองพื้น คุชชั่น และแป้ง อาทิ เจ้านางแอรี่คุชชั่น เพิ่งเปิดตัว 2 เดือน ยอดขายทะลุ 1 ล้านชิ้น

แต่โดยเฉลี่ยเจ้านางทำยอดขายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ 350 บาท เพิ่มขึ้น 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากการขยายไลน์สินค้า และมุ่งทำการตลาดออนไลน์ ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์อยู่ที่ 50 : 50

ปี 2568 เราตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท ครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องสำอาง 1% ที่มีมูลค่าประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ก่อนที่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ที่ลอนช์สินค้ามากขึ้น จะมีมาร์เก็ตแชร์เป็น 3-5%

ขณะเดียวกัน เรามีแผนใช้งบการตลาด 10-20% จากยอดขาย เพื่อทำการสื่อสารถึงคนรุ่นใหม่ให้หนักขึ้น โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาหาพรีเซ็นเตอร์หลายราย เจาะกลุ่ม Gen Z ครอบคลุมทั้งกลุ่มนักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์

แตกไลน์บุกสกินแคร์-เพอร์ชันนอลแคร์ ครั้งแรก

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่า ในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมลอนช์สินค้าเครื่องสำอางเพิ่มอีก 8 ชิ้น รวมถึงการแตกไลน์สินค้า ทำสกินแคร์ครั้งแรก นำร่อง เซรั่ม และ ครีม ในรูปแบบซอง

ขณะที่อีก 2-3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2570-2571) เจ้านาง มองไปถึงการนำแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคตั้งแต่หัวจรดเท้า ผ่านการขยายสินค้าสู่ Personal Care อาทิ ยาสระผม สบู่

ตลาดสกินแคร์ และตลาด Personal care มีขนาดใหญ่กว่าตลาดเครื่องสำอาง ถือเป็นโอกาสการเติบโตของเจ้านางในการขยายตลาดให้กว้างขึ้น

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เบื้องต้น ในปี 2568 เจ้านางเริ่มเปิดโรงงานผลิต ที่จังหวัดขอนแก่น มูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อเดินเครื่องการผลิตในส่วนเครื่องสำอาง อาทิ ลิปสติก บลัชออน และอนาคตอาจเพิ่มการผลิตไลน์สกินแคร์ จากปัจจุบันมีการผลิตสินค้าเอง สัดส่วน 10% และอีก 90% เป็นการจ้างผลิต (OEM) ในจีนและเกาหลีใต้

จากแผนข้างต้น เจ้านาง ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ ดังนี้

  • ปี 2568 รายได้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 67% จากปีก่อนที่ทำได้ 239 ล้านบาท
  • ปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาท เติบโต 100%
  • ปี 2570-2571 ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

“แผนใหญ่ของเจ้านาง คือ การตั้งเป้านำแบรนด์ไทยบิวตี้ไปสู่ระดับโลก ขณะนี้ได้เริ่มขยายไปยังประเทศจีน สปป.ลาว และเมียนมา อนาคตมองการบุกประเทศอื่น ๆ ที่มีอินไซด์ผู้บริโภคคล้ายคนไทย เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น”

]]>
1550307
คาราบาว ปี 68 ขึ้นเบอร์ 1 เครื่องดื่มชูกำลังไทย ชี้ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำยอดขายหายหลัก 100 ล้านบาท/เดือน https://positioningmag.com/1546987 Thu, 13 Nov 2025 11:38:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546987 เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง “คาราบาวแดง” ในไทย ปี 2568 ทำยอดขายนิวไฮ ส่งผลให้มาร์เก็ตแชร์ในตลาดมีสัดส่วนถึง 30% จากเดิม 24-25% ขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังครั้งแรก ปัจจัยหลักมาจากการคงราคาขาย 10 บาท ช่วงกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว

อย่างไรก็ดี ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมกลับตรงกันข้าม จากกรณีความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ทำให้ยอดขายเป็นศูนย์ ทั้งปัญหาการปิดชายแดน และโดยเฉพาะ “กระแสการแบนสินค้าไทย” ของคนกัมพูชา

เสถียร คาราบาว
เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว

ช่วงกระแสชาตินิยมรุนแรง อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา ทำคลิปถือกล้องไปจ่อใส่คนในประเทศเขาที่ต้องการซื้อสินค้าไทย ทำให้ยอดขายกัมพูชาหายไปเลย จากปกติเรามียอดขายในกัมพูชา หลักหลาย 100 ล้านบาท/เดือน

จากที่ผ่านมา คาราบาว เข้าไปทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชากว่า 20 ปี จนเป็นเจ้าตลาดเบอร์ 1 ของกัมพูชา ทำยอดขาย 4,000-5,000 ล้านบาท/ปี

ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดงมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

  • ยอดขายในไทย 60% (จากเดิม 40%)
  • ยอดขายต่างประเทศ 40% (จากเดิม 60%)
คาราบาว
เครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวที่ขายในยุโรป

อย่างไรก็ตาม คาราบาว ได้กระจายความเสี่ยง มุ่งเน้นทำตลาดในประเทศอื่น ๆ มากขึ้น อาทิ ยุโรป และจีน โดยจีนได้ร่วมกับ Tsingtao Brewery เจ้าของเบียร์ชิงเต่า เพื่อแลกเปลี่ยนนำสินค้าของกลุ่มคาราบาว ทั้งเครื่องดื่ม ชูกำลังและเบียร์ เข้าไปบุกตลาดจีนมากขึ้น โดยเฉพาะมณฑลซานตง และยูนนาน

“เรามีคุยกับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ปี 2569 คาดว่ายอดขายต่างประเทศจะมาจากจีนและยุโรปมากขึ้น”

คาราบาว โรงงาน
ภาพภายในโรงงานคาราบาว
]]>
1546987
“ซีเจ” ลงทุน 4.8 พันล้านบาท สปีดสาขา 600 แห่ง/ปี ตั้งเป้า 3 ปี รายได้ 1 แสนล้านบาท https://positioningmag.com/1546694 Wed, 12 Nov 2025 12:22:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546694 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อของ “ซีเจ” ของกลุ่มคาราบาว ยังคงเติบโตอย่างสวยงาม สะท้อนจากผลประกอบการของ บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ขยายตัวต่อเนื่อง (อ้างอิงข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์) ดังนี้

ปี 2563

  • รายได้ 18,417 ล้านบาท โต 33% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 933 ล้านบาท โต 161% (YoY)

ปี 2564

  • รายได้ 29,723 ล้านบาท โต 61% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 1,364 ล้านบาท โต 46% (YoY)

ปี 2565

  • รายได้ 35,556 ล้านบาท โต 19% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท โต 29% (YoY)

ปี 2566

  • รายได้ 44,464 ล้านบาท โต 25% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 2,623 ล้านบาท โต 48% (YoY)

ปี 2567

  • รายได้ 59,550 ล้านบาท โต 33% (YoY)
  • กำไรสุทธิ 3,858 ล้านบาท โต 47% (YoY)

ในช่วงระยะ 5 ปี ซีเจ มีการเติบโตรายได้เฉลี่ย (CAGR) 33.4% ต่อปี และกำไรสุทธิขยายตัวสูงถึง 42.5% ต่อปี

ปี 69-70 สปีดสาขา 600 แห่ง/ปี ปั้นรายได้สู่แสนล้านบาท

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว กล่าวว่า ปี 2568 ธุรกิจค้าปลีก ‘ซีเจ’ ขยายตัวราว 30% ทำให้ประเมินรายได้อยู่ที่ 60,000-70,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 1,900 แห่งทั่วไทย

แผนใหญ่จากนี้ไป ปี 2569-2570 คือ การเร่งขยายสาขาประมาณ 600 สาขาต่อปี เฉลี่ย 8 ล้านบาท/แห่ง หรือคิดเป็นงบประมาณลงทุน 4,800 ล้านบาท/ปี

โดยมุ่งเน้นโมเดลเรือธงอย่าง ‘ซีเจ มอร์’ (CJ More) ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใหญ่สุดราว 1-2 ไร่ มีสินค้ากว่า 10,000 SKU และมีที่จอดรถ รวมถึงบริการอื่น ๆ ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้มียอดขายดีสุดเมื่อเทียบกับโมเดลอื่น ๆ

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว

ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เราจะขยายสาขาในอัตราเร่ง 600 สาขา/ปี จากปี 2568 ขยาย 420 สาขาต่อปี และปี 2567 ขยาย 300 สาขาต่อปี

จากยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะช่วยหนุนการเติบโตด้านรายได้ให้ซีเจไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี โดยประมาณการว่า ปี 2569 จะมีรายได้ราว 80,000 ล้านบาท และปี 2570 จะมีรายได้แตะ 100,000 ล้านบาท ในที่สุด

]]>
1546694
ประเทศไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก! “ไอคอนสยาม” ติด 1 ใน 3 รางวัล MAPIC โครงการทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี https://positioningmag.com/1546519 Wed, 12 Nov 2025 08:16:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546519 ครั้งหนึ่ง ฝั่งธนบุรี เคยเป็นย่านเงียบสงบริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่หลายคนมองข้าม แต่วันนี้กลับกลายเป็น โกลบอลเดสติเนชั่นจากการเข้ามาของโครงการไอคอนสยาม โครงการร่วมทุนของกลุ่มสยามพิวรรธน์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และบมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ฯ (MQDC)

ไอคอนสยาม ขึ้นแท่นศูนย์การค้าทรงอิทธิพลที่สุดในโลกรอบ 30 ปี

ล่าสุด ไอคอนสยาม ติดโผ 1 ใน 3 โครงการศูนย์การค้าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี หรือ Most Influential Retail Property Project of the Past 30 Years จากเวทีระดับโลก MAPIC Awards 2025 ซึ่งเป็นเวทีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรางวัลออสการ์ของวงการ Retail”

ไอคอนสยามเป็นโครงการเดียวจากเอเชียที่ติด Finalist ขณะที่อีก 2 อันดับ คือ โครงการ Westfield London (อังกฤษ) และ โครงการ Puerto Venecia (สเปน) อยู่ในภูมิภาคยุโรป

โดยก่อนหน้านี้ ไอคอนสยาม ก็เคยคว้ารางวัล Best Shopping Centre in the World ปี 2019 จากเวทีเดียวกันมาแล้ว

เบื้องหลังความสำเร็จนี้ นำโดย ชฎาทิพ จูตระกูลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสยามพิวรรธน์ ซึ่งคว้ารางวัลเกียรติยศระดับโลก PIONEERS OF PLACES จาก MAPIC ได้เช่นกัน โดยเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติระดับLifetime Achievement ในฐานะคนไทยและชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับเกียรติอันทรงคุณค่านี้

นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กริมเจ้าพระยา แห่งนี้ ไม่ได้เป็นแค่ศูนย์การค้า แต่คือสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

สยามพิวรรธน์ ไอคอนสยาม
ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสยามพิวรรธน์

ไอคอนสยามจากโครงการที่ถูกปรามาสว่า ต้องเจ๊งสู่ โกลบอลแลนด์มาร์กที่คนทั่วโลกอยากมาเยือน

ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสยามพิวรรธน์ กล่าวว่า การริเริ่มโครงการ ไอคอนสยามครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่า ฝันใหญ่เกินไป ด้วยการทำโครงการศูนย์การค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ขนาดใหญ่ 55 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 750,000 ตารางเมตร มูลค่าลงทุนรวม 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • ปี 2555 ริเริ่มโครงการ วางงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ 35,000 ล้านบาท
  • ปี 2557 ประกาศชื่อโครงการ ไอคอนสยาม เพิ่มงบลงทุนเป็น50,000 ล้านบาท
  • ถัดมาได้เพิ่มการลงทุน ICS ฝั่งตรงข้ามไอคอนสยาม รวมการลงทุน 60,000 ล้านบาท

แรก คนคิดว่าทำไอคอนสยามออกมาจะเจ๊งหรือเปล่า แต่หลังโควิด ไอคอนสยาม กลับเติบโตถึง 24% และปีถัด ไปก็เติบโตทุกปีระดับ Double Digit (ตัวเลข 2 หลัก)”

พร้อมกันนี้ ไอคอนสยามยังได้เสริมการเติบโตด้านเศรษฐกิจฝั่งธนฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ เมื่อ 9 .. 61 ดังนี้

  • ราคาที่ดินฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จาก 250,000 บาท/ตารางวา (ปี 2561) สู่ราคา 700,000 บาท/ตารางวา (ปี 2568)
  • อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของโรงแรมระดับ 4-5 ดาว รอบไอคอนสยาม แตะระดับ 85-90% ตลอดทั้งปี
  • ธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาเติบโต 60%
  • เกิดการจ้างงานมากกว่า 400,000 อัตรา
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไอคอนสยามกว่า 115 ล้านคน/ปี สู่ประเทศไทย
  • สร้างแรงกระตุ้นให้เกิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรัศมี 1 กม. เพิ่มถึง 60 โครงการ
ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

แบรนด์ระดับโลก แห่เปิดสาขาแรกในไอคอนสยาม มูลค่าลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท

ชฎาทิพ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทย ปี 2568 ยังมีความท้าทายสูง แต่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จะยังมีแบรนด์ระดับโลกเข้ามาเปิดตัวในไอคอนสยามเพิ่มอีก 51 แบรนด์ ดึงเงินลงทุนได้กว่า1,500 ล้านบา อาทิ

1.แฟล็กชิปสโตร์ใหม่

  • Hermes ที่ตั้งอยู่บริเวณ ICONLUXE โดยมีพื้นที่สองชั้น(Duplex) เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ปรับขยายพื้นที่พร้อมนำเสนอคอนเซปต์ใหม่
  • Prada จะเพิ่มพื้นที่เป็น Duplex แห่งแรกในไทย
  • Tiffany & Co. ขยายพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วยคอนเซปต์ดีไซน์ใหม่

2.ร้านขนาดใหญ่ที่สุด

  • Loro Piana เปิดสาขาที่ไอคอนสยามโดยจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย
  • GIORGIO ARMANI ยกระดับประสบการณ์ ด้วยห้อง Made-to-Measure เปิดให้บริการให้คำปรึกษาและตัดเย็บสูทส่วนบุคคล ครอบคลุมทุกหมวดหมู่และมีขนาดใหญ่ที่สุด
  • Moncler Flagship Store แบรนด์แฟชั่นเสื้อกันหนาวจากประเทศอิตาลี

3.คอนเซ็ปต์ใหม่ในเอเชีย

  • Fendi เปิดตัว New Concept in Region ซึ่งเป็นคอนเซปต์ใหม่ล่าสุดและเป็นที่แรกในเอเชีย

4.แบรนด์ระดับโลกเปิดสาขาแรกในไทย

  • Brunello Cucinelli แบรนด์แฟชั่นหรูจากอิตาลี
  • Zimmermann แบรนด์เสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์ชื่อดังของออสเตรเลีย
  • ON Official Store แห่งแรก และเป็น Flagship ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทุบสถิติยอดขายเปิดร้านวันแรกสูงที่สุดในโลก
POP MART Global Landmark Store ที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

5.Global Landmark Store และใหญ่ที่สุดของโลก

  • POP MART Global Landmark Store ใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่นอก POPLAND ประเทศจีน

6.เมกะสโตร์ใหญ่ที่สุดในไทย

  • Gentle Monster และ Tamburins Store แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7.คอนเซ็ปต์ใหม่ครั้งแรกในโลก

  • The North Face กับคอนเซปต์ร้าน ONE BOX PRO Concept Store

เดิมแบรนด์ลักซูรี มักเปิดสาขาแห่งแรกใจกลาง กทม. แต่ตอนนี้หลายแบรนด์เลือกปั้นสาขาแรกหรือสาขาแฟล็กชิปที่ไอคอนสยาม สะท้อนศักยภาพโครงการที่สามารถพลิกฟื้นพื้นที่ฝั่งธนบุรี ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ระดับโลกได้”

ดังนั้นฝั่งธนบุรีไม่ได้เป็นแค่ย่านเงียบสงบอีกต่อไป แต่กลายเป็นภาพจำใหม่ของมหานครริมแม่น้ำที่มีชีวิต ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญของเดสติเนชั่นโกลบอลอย่างไอคอนสยาม นั่นเอง

]]>
1546519
‘คาราบาว’ คาดธุรกิจเบียร์ เลิกขาดทุนในปี 69 หลังทำธุรกิจ 2 ปีติดลบ 1,000 ล้าน https://positioningmag.com/1545920 Tue, 11 Nov 2025 16:04:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545920 ‘คาราบาว’ คาดธุรกิจเบียร์ เลิกขาดทุนในปี 69 หลังทำธุรกิจ 2 ปีติดลบ 1,000 ล้าน

ที่ผ่านมา ตลาดเบียร์มีมูลค่าสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท แม้จะเป็นธุรกิจใหญ่ที่น่าสนใจ แต่การแข่งขันก็สูงตาม ด้วย 2 ผู้เล่นรายใหญ่ครองมาร์เก็ตแชร์ราว 95% ของตลาดเบียร์

ทำให้ ‘คาราบาว’ หนึ่งในทุนใหญ่ที่รุกธุรกิจเบียร์ เมื่อปี 2566 กับฝันใหญ่ตั้งเป้าเป็นเบียร์ขั้วที่ 3 ของไทย อาจจะยังไปไม่ถึงฝัน…

ขาดทุน 2 ปีรวม 1,000 ล้านบาท คาดปี 69 เลิกขาดทุน

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจเบียร์ 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2566 – 2567) ยังเผชิญการแข่งขันสูง ทั้งจากการห้ำหั่นแข่งขันในตลาด รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายจำกัด ส่งผลให้ยังขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากการรุกขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งช่องทางค้าปลีก/โชห่วย (Off-premise) และร้านอาหาร ผับบาร์ (On-premise) ส่งผลให้ยอดขายค่อย ๆ เติบโตในทุกเดือน

ทำให้คาดการณ์ว่า ในปี 2569 ธุรกิจเบียร์ จะทำรายได้ 4,500 ล้านบาท และเลิกขาดทุนในที่สุด

“เราต้องเร่งทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่คนมักซื้อสินค้าในร้านโชห่วย ส่วนใหญ่      ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย และมักเลือกสินค้าตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านด้วยซ้ำ“

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว

รับ OEM ชิงเต่า-เพิ่มขายเบียร์สด กระจายเสี่ยง

โดยแผนสำคัญ ปี 2568 คือการเปิดตัว ‘เบียร์สดตะวันแดง’ ที่ขายนอกโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงครั้งแรก ปัจจุบันได้จับมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอาหารและโรงแรมเกือบ 100 ราย เพื่อนำสินค้าไปขายแล้ว

“เรามีจุดแข็งในเรื่องการกระจายสินค้า จากการจำหน่ายสินค้าอย่างเครื่องดื่มชูกำลังและคาราบาว จึงสามารถส่งสินค้าเบียร์สดได้ภายใน 72 ชม.”

คาราบาว
ตัวอย่างเบียร์สดตะวันแดง

รวมถึงการจับมือกับเบียร์ชิงเต่า’ เจ้าตลาดเบียร์สัญชาติจีน เพื่อ OEM เบียร์ชิงเต่าในไทย คาดเริ่มจัดจำหน่ายในไตรมาส 1 ปี 2569 และหากผลตอบรับดี อาจชิงเต่าอาจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อกระจายสินค้าในภูมิภาคได้

ขณะเดียวกัน การร่วมมือกับเบียร์ชิงเต่าจะช่วย นำสินค้าคาราบาวทั้งเบียร์และเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไปตีตลาดจีนได้ในหลายมณฑล อาทิ ซานตง ยูนนาน

“การที่คาราบาว OEM เบียร์ชิงเต่า การทำเบียร์สด รวมถึงการเร่งกระจายสินค้าเบียร์ในช่องทางต่าง ๆ มากขึ้น เป็นการกระจายความเสี่ยง และช่วยหนุนให้ธุรกิจเลิกขาดทุน จากกำลังการผลิตของโรงงานเบียร์ในปัจจุบันมีอยู่ 300 ล้านลิตร แต่ใช้ไปเพียง 20% หากจะคุ้มต้องมีการเดินสายผลิตในสัดส่วน 30% ของกำลังผลิตขึ้นไป”

เบียร์ชิงเต่า
]]>
1545920
นิตยาไก่ย่าง ร้านส้มตำพันล้าน จ่อขยายสาขาต่างประเทศครั้งแรก https://positioningmag.com/1546699 Tue, 11 Nov 2025 15:19:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546699 ภเดช กันตจินดา กรรมการบริหารร้านนิตยาไก่ย่าง เปิดเผยว่า ตลาดร้านอาหารในไทย (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) มีมูลค่าราว 562,000 ล้านบาท เติบโต 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

ทั้งนี้ เมนู “ส้มตำ” เป็นเมนูฮอตฮิตของคนไทยนานกว่า 20 ปี สอดคล้องกับข้อมูลยอดสั่งอาหารจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรีอาหาร LINEMAN และ GRAB ที่พบว่า ติด Top 3 อาหารยอดนิยมในปีที่ผ่านมา!

อาหารไทย-อีสาน มีโอกาสเติบโตสูง ด้วยเป็นเมนู Comfort zone ของคนไทย ที่กินได้เกือบทุกวัน สะท้อนจากฐานสมาชิกของนิตยาไก่ย่าง (จำนวน 2 แสนคน) มีผู้มาทานซ้ำสูงสุด 130 ครั้ง/ปี หรือเฉลี่ย 2-3 วัน/สัปดาห์ โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ 800-900 บาท

ส่งผลให้ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นิตยาไก่ย่าง เติบโตต่อเนื่อง ดังนี้

  • ปี 2564 รายได้ 628 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 814 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 933 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 986 ล้านบาท
  • ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

หากเทียบปี 2564 กับปี 2567 พบว่ารายได้เติบโตถึง 56.9%

เมนูในร้านนิตยาไก่ย่าง

จ่อขยายสาขาต่างจังหวัด-ต่างประเทศ พร้อมรีโนเวตสาขาเดิม

ปัจจุบันนิตยาไก่ย่าง มีสาขารวม 31 แห่ง โดย Top 3 สาขาขายดีสุด คือ ประชานุกูล พระนั่งเกล้า และประชาชื่น ส่วน 3 เมนูขายดีสุด ได้แก่ ส้มตำไทยไข่เค็ม ไก่ย่างต้นตำรับ และต้มโย้งไก่ย่าง

เบื้องต้น บริษัทฯ มีแผนรีโนเวตสาขาเดิม และขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท/สาขา ดังนี้

  • รีโนเวตสาขาเดิม ปี 2568 เริ่มทำในสาขาซอยสายลม รังสิต พระนั่งเกล้า นวมินทร์ โดยปี 2569 มีแผนรีโนเวต 3-4 สาขาเพิ่มเติม อาทิ สาขาประชาชื่น เป็นต้น
  • ขยายสาขาใหม่ เน้นทำเลต่างจังหวัด ปี 2568 นำร่องสาขาโลตัส สระบุรี และปี 2569 มีแผนขยาย 1-2 สาขา แต่อาจต้องดูควบคู่กับสภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น ๆ ด้วย

นอกจากนี้ นิตยาไก่ย่าง ยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนความเป็นไปได้ในการ “เปิดสาขาในต่างประเทศครั้งแรก” หลังจากมีคนติดต่อมาให้ไปเปิดในหลายพื้นที่ ส่วนจะเป็นประเทศไหนกำลังศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง

“ปัจจุบันมีคนเสนอพื้นที่ให้เราไปเปิดสาขาจำนวนมาก แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จึงต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง ทำเลที่เปิดต้องมั่นใจจริง ๆ อีกสิ่งที่ปีนี้มุ่งเน้น คือการเมนเทนยอดขายของสาขาเดิมให้ดีขึ้น”

]]>
1546699
หมดยุค Overpriced คอนโดหรู คนรวยก็คิดเยอะ ราคาถูกกว่าตลาด 20% ถึงขายดี https://positioningmag.com/1545842 Fri, 07 Nov 2025 03:00:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545842 ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ กลุ่มมีเงินสดในมือยังพอไปได้ ส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์

“แม้ตอนนี้ยังมีคนหาซื้อบ้าน แต่ตลาดก็ช็อตเยอะขึ้น จากการประเมินว่าเศรษฐกิจปีหน้าอาจไม่ดี คนชะลอซื้อ นิยมถือเงินสดมากขึ้น”

อวสาน Overpriced ซัพพลายล้น ทำผู้ซื้อจัดสินใจนาน ราคาต่ำกว่าตลาด 20% ขายดี

ประกอบกับ สถานการณ์โอเวอร์ซัพพลาย ของที่อยู่อาศัยบางทำเล ทำให้ใช้เวลาคนตัดสินใจนานขึ้น เพราะมีสินค้าเปรียบเทียบจำนวนมาก ถ้าไม่รีบก็ยังไม่ซื้อจนกว่าจะเจอดีลดี หาก Overpriced ราคาสูงเกินไปก็จะทำยอดขายได้ช้าลง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ยังไปได้ดี คือ อสังหาที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดราว 20% เปรียบเทียบง่าย ๆ หากกลุ่ม Mid Market มีราคาเฉลี่ย 120,000 บาท/ตร.ม. ถ้ามีคนขายราคา 90,000-100,000 บาท/ตร.ม. คนก็แห่ไปซื้อ ถือเป็นช่วงที่ดีของตลาดผู้ซื้อ

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

เปิดตัว “มาวิสต้า พร้อมพงษ์” คอนโดอัลตร้าลักซูรี

ล่าสุด เมเจอร์ฯ เปิดตัวโครงการใหม่ “มาวิสต้า พร้อมพงษ์” ทำเลซอยสุขุมวิท 39 มูลค่า 4,000 ล้านบาท เป็นคอนโดที่มีห้องพักรูปแบบ Penthouse ทุกยูนิต จำนวน 45 ยูนิต สูง 32 ชั้น ขนาดห้องเริ่มต้น 204-517 ตร.ม. จำนวน 3-5 ห้องนอน มีราคาตั้งแต่ 70 – 200 ล้านบาท

ปัจจุบันเปิดขายรอบ VVIP มียอดขายเกือบ 50% ประมาณ 2,000 ล้านบาท

“ห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดพื้นที่ 517 ตร.ม. ราคากว่า 200 ล้านบาท Sold Out เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างปี 2569 และแล้วเสร็จปี 2572 เราคาดหวังก่อนสร้างเสร็จจะทำยอดขายได้ราว 85-90%”

มาวิสต้า พร้อมพงษ์

ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยของ มาวิสต้า พร้อมพงษ์ อยู่ที่ 400,000 บาท/ตร.ม. ไม่ได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการเปิดตัวคอนโดระดับเดียวกันที่มีราคาเปิด 800,000 – 1,000,000 บาท/ตร.ม. เนื่องจาก มองว่าหากตั้งราคา Overpriced อาจทำยอดขายได้ช้าลง

“เราเปิดตัวโครงการที่พร้อมพงษ์ เนื่องจาก ซัพพลายอัลตร้าลักซูรีแทบไม่มีแล้ว ถ้ามีจะเป็นโครงการเก่า ประกอบกับเราเคยทำโครงการย่านนี้ราวปี 2556 พบว่า มีดีมานด์ห้องใหญ่สูง จึงเป็นที่มาการเปิดตัวมาวิสต้าครั้งนี้”

เน้นทำตลาดโครงการเดิม ชี้ 2-3 ปีนี้ชะลอตัวโครงการใหม่

สำหรับเมเจอร์ฯ ปัจจุบันมีแบ็คล็อกในมือ 10,000 ล้านบาท ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ปี 2568 จากโครงการย่านลาดพร้าว และอีกทีจะเป็นปี 2570 จากโครงการมารุจุฬา และปี 2572 กับโครงการมาวิสต้า พร้อมพงษ์

“ประเมินว่าปิดปี 2568 จะมีรายได้อยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม แผนหารดำเนินงานถัดจากนี้ คงชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป 2-3 ปี เพื่อเน้นทำตลาดโครงการเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน

]]>
1545842