my_bb – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 07 Jan 2025 17:26:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 BUTTERBEAR ดัน “น้องหมีเนย” คาแรกเตอร์ระดับโลก ทำบ้านหมีเนยกลางสยาม ตกมัมหมีไทย-เทศ https://positioningmag.com/1505627 Tue, 07 Jan 2025 17:26:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505627 หากกล่าวถึง หนึ่งในคาแรกเตอร์มาแรงในปีที่ผ่าน หนีไม่พ้น “น้องหมีเนย” จาก BUTTERBEAR ไอดอลสาวที่คว้าใจเหล่ามัมหมีได้

ในปี 2568 แผนใหญ่ของแบรนด์ คือ การปั้นน้องหมีเนย ที่เป็นตัวแทนคาแรกเตอร์ไทยไปสู่ระดับโลกให้ได้

สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา ก็มีคาแรกเตอร์จากต่างชาติที่ไปถึงระดับโลกได้ อาทิ Hello Kitty หรือกระทั่ง Disney

ดัน “น้องหมีเนย” ไอคอนคาแรกเตอร์ระดับโลก

“ธนวรรณ วงศ์เจริญรัตน์” ประธานเจ้าหน้าบริหาร BUTTERBEAR เล่าให้ฟังว่า น้องหมีเนย มีคาแรกเตอร์คล้าย 3 ขวบ ที่สร้างความสุขและฮีลใจผู้คน จนสร้างฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ได้ หลัก ๆ เป็นไทย 50% และจีน 50% รวมไปถึงค่อย ๆ ขยายความนิยมไปสู่ตลาดใหม่ อาทิ แม็กซิโก อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ที่เริ่มมีแฟนคลับติดตาม

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่แบรนด์อยากทำให้ “น้องหมีเนย” เป็นไอคอนสร้างความสุขให้กับคนทั่วโลก และเป็นตัวแทนคาแรกเตอร์จากไทยที่ไปสู่ระดับสากลมากขึ้น

“ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นของจากไทยได้ไปประเทศอื่น แต่ตอนนี้เรามีโอกาสที่หลายประเทศให้ความสนใจน้องหมีเนย”


น้องหมีเนย ไม่เพียงแต่สร้างแบรนด์เลิฟเวอร์ ให้ BUTTERBEAR แต่ยังสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจไปหลายเส้นทาง โดยเตรียมเปิดสาขา Pop-up แห่งที่สองในจีนเพิ่ม ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ หรือเมืองอื่น

ส่วนในไทยมีการสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ นิทรรศการ “BUTTERY WORLD PRESENTED BY 7-11” เปิดบ้านน้องหมีเนยครั้งแรก 7 ห้อง + 1 สวนดอกไม้ ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. – มิ.ย. 68

อย่างไรก็ดี แบรนด์ยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจร้านอาหาร โดยมีแผนทำขนมรูปแบบของฝากมากขึ้น และจะพัฒนาเป็นกล่องจุ่มกับน้องหมีเนย เพื่อเป็น Merchandise ซึ่งปัจจุบันแบรนด์มีรายได้หลักจากธุรกิจร้านอาหาร 70% คาแรกเตอร์ 15% และ Merchandise 15%

เปิดบ้านหมีเนยแห่งแรก

“เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ BUTTERBEAR เนรมิตบ้านน้องเนยใจกลางเมือง ที่สยามพารากอน คอนเซ็ปต์บ้าน “A Magical Journey to Our Buttery World”

เบื้องต้น ใช้งบประมาณ 50-60 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 800 ตร.ม. ภายในมีทั้งรูปแบบชั้นเดียวและสองชั้น และมีห้องไฮไลต์ อาทิ ห้องแห่งความสุข มีส่วนของครัว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยัยหนูเนยชอบแอบมากินป๊อกโกแลต รวมถึงมีส่วนให้ผู้เข้าชมค้นหาการบ้านแช่แข็งของน้องเนยได้อีกด้วย

สำหรับกลุ่มลูกค้าวางเป้าเป็นคนต่างชาติ 60% และคนไทย 40% โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชม 1,400 คน/วัน ประเมินขายบัตรเข้าชมได้ไม่ต่ำกว่า 60,000 ใบ หากผลตอบรับดีอาจไปแสดงต่อจีนหรือฮ่องกง

]]>
1505627
SABECO น่านน้ำใหม่ไทยเบฟ? รายได้กำไรกระฉูด แม้ภาษีเบียร์เวียดนามสูง 65% https://positioningmag.com/1505533 Tue, 07 Jan 2025 02:30:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505533 ดูเหมือน SABECO เจ้าของเบียร์ไซ่ง่อน เวียดนาม จะกลายเป็นอนาคตสดใสของไทยเบฟ (ThaiBev)

SABECO กำไรสูงสุดในรอบ 2 ปี

หลังก่อนหน้านี้ ในปี 2560 กลุ่มไทยเบฟ ของตระกูลสิริวัฒนภักดี ได้เข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 54% ของ SABECO มูลค่าสูง 1.6 แสนล้านบาท จากรัฐวิสาหกิจของเวียดนาม

ท่ามกลางการสัญญาณสดใสของเศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นแรงส่งส่วนหนึ่งให้ SABECO เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ภาษีเบียร์สูง 65%

สะท้อนช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา SABECO รายงานว่า ทำรายได้ 324 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.12 หมื่นล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.7% (YoY)

ทว่ากำไรหลังหักภาษีมีจำนวน 52.8 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30.2% จากเดิม 29.9%

“ไตรมาส 2 ปี 67 กำไร SABECO สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส หรือ 2 ปี (นับแต่ไตรมาส 4 ปี 2565)”

จากเป้าหมายทั้งปี SABECO วางรายได้ไว้ 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือราว ๆ 4.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY) และกำไรสุทธิ 190 ล้านดอลลาร์ 6.57 พันล้านบาท เติบโต 8% (YoY)

โรงงานผลิตเบียร์ไซ่ง่อน

ไทยเบฟ เบียดขึ้นเบอร์ 1 แบรนด์เบียร์ในเวียดนาม 6 เดือนติดต่อกัน

จากข้อมูลสรุปผลการดำเนินงานปี 2567 ของไทยเบฟ รูปแบบ Earnings Call พบว่า ตั้งแต่ มิ.ย. 67 “ไทยเบฟ กลายเป็นแบรนด์เบียร์อันดับ 1 ในเวียดนาม 6 เดือนติดต่อกัน“

โฟกัสผลประกอบการปีงบประมาณ 2567 ไทยเบฟ ทำรายได้รวม 340,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) และมีกําไรสุทธิ 35,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% (YoY)

“เวียดนาม” เป็นตลาดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม เป็นรองแค่เพียงประเทศไทยเท่านั้น

ตลาดเบียร์เวียดนามท้าทายสูง จ่อขึ้นภาษี 100% ปี 73

แม้ว่าปัจจุบันเวียดนามยังเผชิญความท้าทายสูงจากมาตรการรัฐที่ตั้งใจลดอุบัติเหตุ ส่งผลให้ปัจจุบันตั้งภาษีบริโภคเบียร์และสุราสูงถึง 65% โดยกระทรวงการคลังเวียดนาม เตรียมเสนอปรับฐานภาษีเพิ่มขึ้น 70-80% ในปี 2569 และ 90-100% ภายในปี 2573

คาดจะทำให้ ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์จะเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2569 เมื่อเทียบกับปี 2568 

สร้างแรงกดดันให้คอทองแดงเวียดนาม อาจลดปริมาณการดื่มเพื่อรัดเข็มขัด กระทั่งเกิดการเลือกรับประทานแบรนด์เบียร์อย่างพิถีพิถันมากขึ้น

ซึ่งคลื่นการต่อต้านเหล้า-เบียร์ของรัฐบาลเวียดนาม จะกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายของตลาดเบียร์เวียดนาม รวมไปถึงไทยเบฟในอนาคต…

นอกจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจที่มีผลต่อการบริโภคประชาชนก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจเวียดนาม ปี 2568 เติบโต 6.8% (YoY) น้อยกว่าปี 2567 ที่ขยายตัว 7.09%

ปัจจัยสำคัญ มาจากก่อนหน้านี้ เวียดนาม มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากการย้ายฐานผลิตจากจีนค่อนข้างมาก และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าสหรัฐฯ ในครึ่งปีหลัง

และมีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งเวียดนามพึ่งพิงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากสุดในอาเซียน คิดเป็นสัดส่วน 22.4% ของ GDP ประเทศ

นอกเหนือจากความเสี่ยงจากสงครามการค้ารอบใหม่ เศรษฐกิจเวียดนามยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในระบบธนาคารและค่าเงินดองอ่อนค่าอีกด้วย

]]>
1505533
ล้วงปม พฤกษา เขย่าโครงสร้างผู้บริหาร ตั้ง “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” นั่งประธานบอร์ด https://positioningmag.com/1505379 Mon, 06 Jan 2025 05:04:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505379 ไขปม “พฤกษา” เขย่าโครงสร้างผู้บริหาร ตั้ง “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” นั่งประธานบอร์ด “แมนพงศ์ เสนาณรงค์” นั่งกรรมการอิสระ ควบประธานคณะกรรมการลงทุน 

ดึง 2 มือปืนรับจ้าง นั่งบริหารงาน

หลัง “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์“ ผู้ก่อตั้ง และผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) หวนคืนตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ไปเมื่อท้ายปี 2567 ไปหมาด ๆ

พฤกษา ก็ปรับโครงสร้างผู้บริหารอีกระลอก ตามสไตล์ทองมา “คิดเร็ว ทำเร็ว” โดยได้แต่งตั้ง 2 ผู้บริหารใหม่ ประสบการณ์โชกโชน ได้แก่

1.รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท แทน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ซึ่งเกษียณอายุครบ 72 ปี ตามข้อกำหนดในกฎบัตรคณะกรรมการบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

รุ่งโรจน์ สำเร็จการศึกษา MBA จาก Harvard Business School และเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (ปี พ.ศ. 2559 – พ.ศ. 2566) และพาบริษัทฝ่าวิกฤตหลายระลอก โดยเฉพาะด่านหินอย่างโควิด รวมไปถึงการดัน SCG Packaging เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการเดินหน้าโครงการในเวียดนาม

สะท้อนว่า “รุ่งโรจน์” มีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจเศรษฐกิจ และการลงทุนในองค์กรขนาดใหญ่ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ การต่างประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติ และการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

2.แมนพงศ์ เสนาณรงค์ ตำแหน่ง กรรมการอิสระรวมทั้งแต่งตั้งเป็น ประธานคณะกรรมการลงทุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

สำหรับ “แมนพงศ์” สำเร็จการศึกษา MBA ด้าน Finance and Quantitative จาก Cleveland State University ประเทศสหรัฐอเมริกา

รวมถึงเป็นอดีตรองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความรู้ด้านการจัดการโครงสร้างทางการเงิน โครงสร้างธุรกิจ และการวางกลยุทธ์ธุรกิจ

และมีประสบการณ์การทำงานด้านการบริหารวาณิชธนกิจ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินให้กับบริษัทเอกชน และสถาบันการเงิน

ทำไมพฤกษาปรับโครงสร้าง?

ในการการแต่งตั้งผู้บริหารครั้งนี้ พฤกษา มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน จากปัจจุบันมี 2 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเฮลท์แคร์

ที่แม้ปัจจุบันจะผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปแล้ว แต่ผลกระทบยังลากยาวมาถึงขณะนี้ ในแง่การเติบโตเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว

พฤกษา มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่ ราว ๆ 70% ในกลุ่มล่างและกลุ่มกลาง ซึ่งจะได้รับปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโดยตรง สะท้อนจากผลประกอบการพฤกษาที่ปรับลดลง

โดยช่วง 9 เดือน (ม.ค. – ก.ย.) ปี 2567 ทำรายได้รวม 15,607 ล้านบาท ลดลง 21.55% (YoY) และกำไรสุทธิ 752 ล้านบาท ลดลง 63.85% (YoY)

ทั้งนี้ ด้านรายได้ตกมาเป็นลำดับที่ 5 ของกลุ่มอสังหา และกำไรสุทธิอยู่ที่อันดับ 10 ของกลุ่มอสังหา “จากช่วงพีก ๆ เคยติด Top 3”

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาพฤกษา พยายามปรับแผนหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ บาลานซ์พอร์ตที่อยู่อาศัยเน้นบ้านระดับบนมากขึ้น โดยกลุ่มบน (ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป) มีสัดส่วน 30% กลุ่มกลาง (ราคา 3-10 ล้านบาท) สัดส่วน 40% และกลุ่มล่าง (ต่ำกว่า 3 ล้านบาท) สัดส่วน 30%

คงต้องรอดูว่าแผนการจัดทัพครั้งนี้ จะทำให้พฤกษากลับมาผงาดอีกครั้งได้หรือไม่!

]]>
1505379
บ้านมือสอง พุ่งสุดรอบ 15 ปี “คนรุ่นใหม่” เน้นรีโนเวต ชี้บ้านเก่าตั้งอยู่ทำเลทอง-ราคาดี https://positioningmag.com/1505186 Fri, 03 Jan 2025 03:00:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505186 แม้ภาพรวมบ้านมือหนึ่งชะลอตัว โดยประเมินหน่วยเปิดตัวใหม่ลดลง 20-40% (อ้างอิง LWS) แต่ “บ้านมือสอง” กลับเติบโตสวนทาง จากเทรนด์คนรุ่นใหม่ หันรีโนเวตบ้านเก่า และซื้อบ้านมือสองทำเลดียังมาแรง ซึ่งมีราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่งในทำเลเดียวกันประมาณ 20-30%

เศรษฐกิจ-กำลังซื้อชะลอตัว หนุนรีโนเวตบ้านมือสอง

นางศุภนิดา ตั้งตงฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมรัน พร็อพเทค จำกัด ในเครือ AP Thailand ผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่ กล่าวว่า ตลาดรีโนเวตประเภทที่อยู่อาศัยได้รับความสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา

เบื้องต้น สถานการณ์ภาพรวมตลาดบ้านเก่าทั่วประเทศที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป มีมากกว่า 23.4 ล้านหลังคาเรือน คิดเป็นมูลค่ากว่า 234,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 400,000 หลัง

“ในภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้น กำลังซื้อหดตัว ทำให้ดีมานด์ตลาดรีโนเวตเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568”

นางศุภนิดา ตั้งตงฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมรัน พร็อพเทค จำกัด

ทั้งนี้ การรีโนเวตบ้าน จะใช้งบประมาณแตกต่างกันตามสภาพบ้าน ถ้าบ้านสภาพดี ใช้งบ 15-20% ของราคาขายของบ้าน เช่น บ้านราคา 2 ล้านบาท ใช้งบรีโนเวต 3-4 แสนบาท เป็นต้น หรือหากเป็นบ้านที่ต้องใช้การพลิกโฉม ก็ต้องใช้งบสูงประมาณ 20-30% ของราคาขายบ้านนั้น ๆ หรือตกอยู่ 18,000-20,000 บาท/ตร.ม.

นอกจากนั้น ตลาดบ้านและคอนโดรีโนเวตพร้อมอยู่ก็มีการเติบโตขึ้นในปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก ”ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจซื้อบ้านเก่าที่อยู่ในโลเคชั่นที่ดี“ แต่ไม่อยากรีโนเวตปรับปรุงเอง เพราะไม่อยากเผชิญกับ 3 ปัญหาหลัก (Pain Point) ได้แก่

  • งบประมาณบานปลาย
  • คุณภาพงานที่ไม่ดี หรือ ไม่ได้มาตรฐาน
  • ปัญหาหาช่างยาก หรือช่างทิ้งงาน

ทำให้มีช่องว่างทางตลาดสำหรับบริษัทที่รับซื้อบ้านมารีโนเวต และขายออกแบบรีโนเวตใหม่พร้อมอยู่เป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภค ซึ่ง HOMERUN PROPTECH เป็นหนึ่งในนั้น

บ้านมือสองพุ่งสุดรอบ 15 ปี ยอดโอนกรรมสิทธิ์แซงมือหนึ่ง

ปัจจัยหลักการเติบโตตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง มาจากการขาดพื้นที่สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในเขตเมือง แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะคนต้องการที่อยู่ใกล้แหล่งเดิมหรือสะดวกต่อการเดินทาง

หากมองในแง่มูลค่าตลาดบ้านมือสอง พบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองใน กทม.-ปริมณฑล ที่ขึ้นชื่อเป็นพื้นที่ที่มีข้อจำกัดสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ พบว่า

สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (ทั้งแนวราบและคอนโด) ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และสูงสุดในรอบ 15 ปี รวมทั้งยังแซงสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านมือหนึ่งไปแล้ว โดยมูลค่ารวมของตลาดมือสอง อยู่ที่ 49,432 ล้านบาท สูงกว่า ตลาดบ้านมือหนึ่ง ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 43,263 ล้านบาท

เทียบสัดส่วนการโอนฯ ระหว่างบ้านมือหนึ่ง กับ บ้านมือสอง คาดตลอดทั้งปี 2567 บ้านมือสอง จะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 54% ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่อยู่ระดับ 50% ของตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งเมื่อย้อนสถิติย้อนหลัง จะพบว่า เป็นตลาดที่มาแรงมากที่สุดในรอบ 15 ปี ตั้งแต่ปี 2552

HOMERUN รุกหนักตลาดรีโนเวตบ้านมือสองพร้อมขาย เป้ารายได้โต 100%

สำหรับ HOMERUN HOMERUN มีรูปแบบธุรกิจรับซื้อบ้านเข้ามาจากเจ้าของเดิม รีโนเวต และขายต่อให้เจ้าของใหม่ โดยเน้นบ้านในทำเลในเมืองหรือ “ไข่แดง” ของ กทม. เป็นหลัก ปัจจุบันพอร์ตฯ รับซื้อแบ่งเป็นคอนโด สัดส่วน 85% และบ้านแนวราบ (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด) สัดส่วน 15%

ราคาทุกหลังจะเน้นความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรกับโครงการมือหนึ่ง โดยมีราคาเฉลี่ย 1 แสนต้นๆ – 1 แสนกลาง ๆ ต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับมือหนึ่งใจกลางเมืองราคา 2 แสนบาทต่อตารางเมตร

ยกตัวอย่าง คอนโดรีโนเวตของ Homerun บนทำเล ทองหล่อ-เอกมัย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเกือบ 120 ตารางเมตร ที่เราขายในราคา 13.9 ล้านบาท หรือตกตารางเมตรละ 120,000 บาท ซึ่งถ้าหากไปซื้อโครงการมือหนึ่งในโลเคชั่นใกล้กันอาจจะได้ห้องพื้นที่เพียง 60 ตารางเมตรในงบประมาณที่เท่ากัน

คอนโด

ทั้งนี้ ประเมินว่า กลุ่มธุรกิจนี้มีโอกาสและอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีกหลายปีข้างหน้า เนื่องจากมีความต้องการจากตลาด

ขณะเดียวกันธุรกิจบ้านและคอนโดรีโนเวตยังไม่ได้มีบริษัทในธุรกิจนี้บริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทมหาชนที่ให้ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง

อีกทั้งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและการที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนทางเอพี ทำมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีจะสามารถช่วยหนุนให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญได้ในอีกปีต่อจากนี้

“ในปี 2568 บริษัทมีเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 100% เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดและสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”

]]>
1505186
ไทยนิยม “รวยแบบตะโกน” มูลค่าตลาดของหรูแซงสิงคโปร์ แบรนด์ลักซูรีแห่เปิดแฟล็กชิป-ช็อป https://positioningmag.com/1505272 Sat, 28 Dec 2024 10:30:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505272 รู้หรือไม่? ในปี 2567 มูลค่าตลาดลักซูรีในประเทศไทย คาดการณ์ว่าแซงประเทศสิงคโปร์ไปแล้ว (อ้างอิงรายงานฉบับล่าสุดของ Canvas8 ชื่อ “How are Southeast Asian shoppers changing luxury?”)

  • ไทย มีมูลค่าตลาดลักซูรี 4.93 พันล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท
  • สิงคโปร์ มีมูลค่าตลาดลักซูรีอยู่ที่ 4.23 พันล้านบาท ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท

เดิมในเอเชีย สินค้าลักซูรีมี “ญี่ปุ่น” เป็นตลาดหัวหอกสำคัญ แต่ขณะนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหมุดหมายที่แบรนด์ลักซูรีให้ความสนใจ จากกำลังซื้อมหาศาล

ปัจจัยหลักมาจากกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (UHNWI) หรือกลุ่มที่มีทรัพย์สินเกิน 60 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มขึ้นในประเทศอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย “หรือกระทั่งไทยเอง ก็ติด Top 5 ยอดขายแบรนด์ลักซูรีสูงสุดในโลก (ตั้งแต่ช่วงโควิดแพร่ระบาด)”

โฟกัสรายได้รวมจากตลาดสินค้าสินค้าลักซูรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะแตะ 16,010 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.6 แสนล้านบาท) ในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 14,380 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 (ประมาณ 5.03 แสนล้านบาท)

คนไทยใช้จ่ายตามใจ ช้อปสินค้าหรูตั้งแต่อายุน้อยตามไอดอล

ตั้งแต่การระบาดโควิดครั้งใหญ่ได้เปลี่ยนวิถีการใช้จ่ายของคนไทย ไปสู่การซื้อของตามใจชอบและไม่ยั้งคิด“ และผู้บริโภคชาวไทยในกลุ่มอายุน้อยเต็มใจที่จะซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ตามกระแสตามไอดอล และศิลปินในดวงใจ

แม้สิงคโปร์เป็นแหล่งช้อปปิ้งลักซูรีมานาน แต่ตอนนี้ไทยและเวียดนามตามทัน สำหรับไทยได้รับอานิสงส์จากเศรษฐีประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว เมียนมา และกัมพูชา มาซื้อสินค้าหรูหราในไทยมากขึ้น

เทรนด์รวยแบบตะโกน ไทยนิยมสินค้าหรูราคาแพง 30% ของเงินเดือน

สอดคล้องกับวิจัย “Unstoppable Luxumer เจาะอินไซต์ หยุดไม่ได้ใจมันลักซ์” ของ CMMU ระบุ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจซบเซา แต่ผู้บริโภคไทยหันซื้อสินค้าหรูหรามากขึ้น โดย 1 ใน 3 มีพฤติกรรมติดลักซูรี

ทำให้เกิดเทรนด์ผู้บริโภคที่เรียกว่า LUXUMER ซึ่งเป็นกลุ่มนี้มักให้คุณค่า และความสำคัญกับการบริโภคสิ่งของเพื่อภาพลักษณ์ และความสุขมากกว่าคนทั่วไป โดยส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงราคาเป็นปัจจัยหลัก

โดยในจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า 54% มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน 50% มีเงินเก็บน้อยกว่า 6 เดือน

“ชาวลักช์จำนวนมากยอมควักเงินซื้อสินค้าหรูมากถึง 10 – 30% ของรายได้ต่อเดือน”

แฟล็กชิป-ช็อปแบรนด์หรู เปิดเพิ่มในไทย

ด้วยปัจจัยข้างต้น ทำให้แบรนด์ลักซูรีระดับโลกปักหมุดสาขาใหญ่ในไทย ตั้งแต่ “Dior” ที่เปิดสาขาคอนเซ็ปต์สโตร์นอกห้าง “Dior Gold House” ที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หรือกระทั่ง Louis Vuitton ได้เปิด “LV The Place Louis Vuitton” เป็นแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้งบลงทุน 100 ล้านบาท ที่เกษรอัมรินทร์ ประกอบด้วยโซนรีเทล ค่าเฟ่ และนิทรรศการ

รวมไปถึง PRADA เปิดตัวบูติกใหม่ที่ภูเก็ต ตลอดจนมีการเปิดแฟล็กชิปสโตร์และคอนเซ็ปต์สโตร์ของ LOUIS VUITTON MEN BOUTIQUE, FENDI MEN BOUTIQUE, PRADA MEN BOUTIQUE, LORO PIANA, BERLUTI แบรนด์รองเท้าและเครื่องหนังสำหรับผู้ชายระดับโลกจากฝรั่งเศส แห่งเดียวในไทยที่สยามพารากอน

น่าสนใจว่าปี 2568 จะมีแบรนด์หรูไหนมาปักหมุดที่ไทยเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจจะเขย่าตลาดสินค้าลักซูรีได้หรือไม่ คงต้องดูกันไปยาว ๆ

]]>
1505272
สรุป 3 เทรนด์โซเชียลมีเดีย 2025 “กระแสไวรัลสั้นลง-อินฟลูมาแรง“ https://positioningmag.com/1505242 Sat, 28 Dec 2024 01:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505242 ผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดีย สรุปแนวโน้ม 3 เทรนด์อนาคตของโซเชียลมีเดีย ปี 2025 ดังนี้

1.กระแสไวรัลสั้นลง “คอนเทนต์ยาว ๆ” ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น

Itamar Leopold ผู้อํานวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Motion Array กล่าวว่า ”สิ่งที่เป็นไวรัลในวันนี้ อาจถูกลืมในวันพรุ่งนี้“ สะท้อนกระแสไวรัลจะมาไวไปไวขึ้น

สวนทางกับ “คอนเทนต์รูปแบบยาว” ที่ได้รับแรงส่งจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ TikTok อยู่ในช่วงทดสอบวีดิโอความยาว 30 นาที และ 60 นาที ขณะที่ Snap และ Youtube ขยายความยาวของคลิปสั้นเป็น 3 นาที

2.อินฟลูเอนเซอร์มาแรง สร้างความท้าทาย “สื่อดั้งเดิม”

Ray Grady ซีอีโอของ Worksuite ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดหาฟรีแลนซ์ เปิดเผยว่า แบรนด์และภาคธุรกิจมีการจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

และคาดการณ์ว่าอินฟลูเอนเซอร์จะถูกจ้างงานมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ทั้งโฆษณา บันเทิง ค้าปลีก หรือกระทั่งการเมือง

ขณะเดียวกัน อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ จะกลายเป็น “เจ้าพ่อสื่อยุคใหม่” จากการพัฒนาการผลิตสูงขึ้น และให้ความบันเทิงในระดับเทียบเท่า “สื่อดั้งเดิม” อย่างกลุ่มทีวี ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างอินฟลูและสื่อดั้งเดิมถูกกลืนเข้าด้วยกันจนแทบไม่เห็นเส้นความต่าง

3.หลอกลวงบนโซเชียลมีเดียเพิ่มจาก AI

Steve Cobb หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้อมูลของ SecurityScorecard แพลตฟอร์มตรวจสอบความเสี่ยงทางไซเบอร์ กล่าวว่า การโจมตีทางไซเบอร์ด้วย AI จะพัฒนาไปไกลมากขึ้น

ด้วยบอทที่ขับเคลื่อนด้วย Large Language Model สร้างข้อความ เสียง และวิดีโอที่สมจริงมากขึ้น รวมถึงวิดีโอคอลแบบเรียลไทม์ได้ด้วย ซึ่งรูปแบบหลอกลวงนี้กำลังแพร่หลายใน Snapchat และ Instagram

“ผู้คุกคามใช้ประโยชน์จาก AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น คาดว่าเราจะเห็นการประชุม Zoom ที่สร้างโดย AI ที่สมจริง เพื่อหลอกลวง หรือใช้ประโยชน์จากเป้าหมาย”

]]>
1505242
ปีใหม่ 2568 คาดใช้จ่ายสะพัด 1.09 แสนล้าน พบ คนไทย 45.6% ดึงเงินออม ใช้สังสรรค์เพิ่ม https://positioningmag.com/1505107 Thu, 26 Dec 2024 09:17:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505107 แม้กำลังซื้อคนไทยยังกลับมาได้ไม่เต็มที่ แต่การเฉลิมฉลองปีใหม่ 2568 ก็ทำให้คนยอมควักเงินใช้จ่ายจำนวนมาก

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ พฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงปีใหม่ 2568 จำนวน 1,300 ตัวอย่าง พบว่า ประมาณการมูลค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาล ปีใหม่ 2568 อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท เติบโต 3.3% (YoY) แบ่งออกเป็น

  • เลี้ยงสังสรรค์ 14,739 ล้านบาท
  • ทำบุญ 11,281 ล้านบาท
  • ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 20,521 ล้านบาท
  • ซื้อสินค้าคงทน 5,049 ล้านบาท
  • ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย 2,860 ล้านบาท
  • ท่องเที่ยวในประเทศ 45,998 ล้านบาท
  • เที่ยวต่างประเทศ 5,476 ล้านบาท

ส่วนแหล่งที่มาของเงินใช้จ่าย หลัก ๆ มี 5 ช่องทาง ได้แก่

  • เงินเดือน/รายได้ตามปกติ สัดส่วน 47.1% (เดิม 60.3%)
  • เงินออม สัดส่วน 45.6% (เดิม 37.4%)
  • เงินช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท สัดส่วน 2.4% (เดิม 0.3%)
  • โบนัส/รายได้พิเศษ สัดส่วน 2.2% (เดิม 1.9%)
  • อื่น ๆ เช่น ถูกรางวัล เสี่ยงโชค ผู้ปกครอง สัดส่วน 2.7% (เดิม 0.1%)

เมื่อถามถึงสภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อใช้จ่ายช่วงปีใหม่มากน้อยเพียงใด 29.5% มองว่าไม่มีผลเลย ส่วนอีก 70.5% มองว่ามีผล ในจำนวนนี้ 59.2% จะลดค่าใช้จ่ายลง

]]>
1505107
เพลิตจิต-ชิดลม ราคาที่ดินขึ้นแพงสุด 3.75 ล้านบาท/ตร.ว. คาดปี 68 ราคาที่ดินทั่วไทยเพิ่ม 5-10% https://positioningmag.com/1504996 Thu, 26 Dec 2024 03:51:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504996 “โปรสเปค แอพเพรซัล” ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคาที่ดิน รายงานการสำรวจและวิเคราะห์ภาพรวมราคาที่ดินปี 2567 และแนวโน้มราคาที่ดินในปี 2568 ดังนี้

ทำเลที่มีราคาซื้อ-ขายสูงสุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล 10 อันดับแรก

  1. ถนนชิดลม-เพลินจิต 3,750,000 บาท/ตารางวา
  2. ถนนวิทยุ 3,100,000 บาท/ตารางวา
  3. ถนนสุขุมวิทตอนต้น 2,940,000 บาท/ตารางวา
  4. ถนนสุขุมวิท 21 อโศก 2,730,000 บาท/ตารางวา
  5. ถนนสีลม  2,700,000 บาท/ตารางวา
  6. ถนนสาทร 2,400,000 บาท/ตารางวา
  7. ถนนสุขุมวิท เอกมัย 1,950,000 บาท/ตารางวา
  8. ถนนเยาวราช 1,900,000 บาท/ตารางวา
  9. ถนนพญาไท 1,850,000 บาท/ตารางวา
  10. ถนนพหลโยธินตอนต้น 1,800,000 บาท/ตารางวา

ทำเลต่างจังหวัดที่มีราคาซื้อ-ขายที่ดินสูงสุด

  • สงขลา สูงสุดเฉลี่ย 400,000 บาทต่อตารางวา
  • เชียงใหม่ สูงสุดเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางวา

แนวโน้มราคาที่ดินทั่วประเทศปี 2568 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5-10%

ปัจจัยหลัก มาจากการขยายตัวของเมือง และการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่ม จำแนกการคาดการณ์รายพื้นที่ ดังนี้

1.พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวสูงขึ้นสุด 3.75 ล้านบาท/ตารางวา

  • ทำเลที่ดินที่ได้รับความสนใจและมีการปรับราคาสูงขึ้นจะอยู่ในทำเลที่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า ส่วนบริเวณพื้นที่ปริมณฑล เป็นโซนรองรับการขยายตัวของเมือง
  • ทำเลสุดน่าสนใจ กทม. คือ เขตทวีวัฒนา บางแค บางพลัด ธนบุรี ตลิ่งชัน ดอนเมือง บางนา วัฒนา สะพานสูง สายไหม มีนบุรี สวนหลวง
  • ทำเลน่าสนใจใน นนทบุรี คือ อำเภอเมืองนนบุรี อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่
  • ทำเลน่าสนใจ ปทุมธานี คือ อำเภอลำลูกกา อำเภอธัญบุรี
  • ทำเลน่าสนใจ สมุทรปราการ คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี

2.พื้นที่ในต่างจังหวัดที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจะอยู่ในจังหวัดที่เป็น “เมืองท่องเที่ยว” ได้แก่

  • โซนภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ มีแนวโน้มที่ราคาที่ดินจะปรับตัวสูงขึ้น ในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 5-10% (YoY) ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่เมืองออกไปทาง อำเภอสันทราย อำเภอสันกำแพง และอำเภอฝาง ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ชุมชนพักอาศัย และพาณิชยกรรม ออกจากเมืองเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น ที่น้ำไม่ท่วม ประกอบกับมีโครงการสนามบินนนานาชาติ เชียงใหม่แห่งที่ 2 ในพื้นที่ ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นเฉลี่ย 5-10% (YoY) โดยเฉพาะอำเภอปากช่อง (เขาใหญ่) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น
  • ภาคตะวันออก ได้แก่  ชลบุรี จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 5-10% (YoY) โดยเฉพาะอำเภอบางละมุง เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น  
  • ภาคใต้ คือ ภูเก็ต จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 10-15% (YoY) โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดหาดที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น  

“ราคาที่ดินปี 2568 ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการลงทุนทั้งเพื่อการพัฒนาอาคารในเชิงพาณิชย์ และ การพัฒนาที่อยู่อาศัย ทำเลที่ราคาปรับตัวสูง ส่วนใหญ่ จะเป็นทำเลที่การเดินทางสะดวก ใกล้แนวรถไฟฟ้า และมีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งแหล่งงาน ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นหลัก”

]]>
1504996
ร้านอาหาร ปี 68 “แค่ทำอร่อยอาจไม่รอด” อ่วมขึ้นค่าแรง-กำลังซื้อหด-ทุนจีนบุก https://positioningmag.com/1504906 Wed, 25 Dec 2024 10:26:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504906 “ธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร” ติด Top 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการสูงสุด ตามข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และช่วง 10 เดือนแรก ปี 2567 มีการเลิกกิจการสูงขึ้น 89% เมื่อเทียบกับปีก่อน (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ส่วนการเปิดกิจการใหม่มียอดคงที่

สะท้อนว่า “ธุรกิจร้านอาหารในไทยมีการแข่งขันดุเดือดต่อเนื่อง และการอยู่รอดไม่ง่ายอย่างที่คิด”

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 68 กดดันกำไร รายเล็ก-กลางเหนื่อย

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคาร

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า ตลาดร้านอาหารในปี 2568 มีความท้าทายหลายประการ ได้แก่

ประเด็นแรก “การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” ในปี 2568 ในอัตราแตกต่างกันตามพื้นที่ ประมาณ 7-55 บาท/วัน เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.9% เช่น ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และ อ.สมุย สุราษฎร์ธานี ค่าแรง 400 บาท/วัน ส่วน กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ 372 บาท/วัน เป็นต้น

โดยปกติค่าแรงพนักงานจะคิดเป็น 20-25% ของต้นทุนร้านอาหาร ซึ่งรับค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงอยู่แล้ว จากปัญหาการแย่งแรงงานในพื้นที่ท่องเที่ยว ทำให้ต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าว พ่วงมาด้วยค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งเอเยนซี ค่าที่พัก และค่าอาหาร 3 มื้อ ตลอดจนค่าประกันสังคมที่ต้องจ่ายคนละครึ่งกับลูกจ้าง

ทำให้จากเดิม ยกตัวอย่าง สมมติค่าจ้างพนักงานอยู่ที่ 9,000 บาท/เดือน อาจต้องปรับขึ้นเป็น 12,000 บาท/เดือน ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ ที่มีค่าแรงสูงกว่านั้น ก็ต้องปรับขึ้นให้เท่าเทียมกัน

ทั้งนี้ การขึ้นค่าแรงรอบปี 2568 ดันต้นทุนทั้งระบบให้ขยายตัว ตั้งแต่ต้นทางจากผู้ผลิต และโรงงาน นำไปสู่การขึ้นราคาค่าวัตถุดิบ ท้ายสุดกลุ่มร้านอาหารต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ‘กดดันอัตรากำไรขั้นต้นร้านอาหารซึ่งมีสัดส่วนเพียง 15% ให้ลดลงไปอีก’

“ปีหน้าอย่าว่าแต่กำไรเลย แค่ประคองตัวให้รอดให้พอมีเงินจ่ายพนักงานก็พอ เพราะยุคนี้ร้านอาหารแค่อร่อยอย่างเดียวไม่พอ ต้องสายป่านยาว ใครที่อ่อนแอ อาจจะหยุดธุรกิจไปก่อน ที่น่าห่วงคือ รายเล็ก-กลาง เขาไม่เหมือนรายใหญ่ที่อยู่ตัวและขายดี”

กำลังซื้อซบ กินเพื่ออยู่รอด งดฟุ่มเฟือย ร้านอาหารแข่งดุแย่งลูกค้า

ประเด็นต่อมา เรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ปัจจัยราคา เป็นสิ่งแรกที่ผู้บริโภคใช้เลือกซื้ออาหาร อาทิ ช่วงนี้อาจเน้นซื้ออาหารจากตลาดนัดแทนไปกินร้านอาหาร หรือกระทั่งการเลือกสั่งของในราคาย่อมเยา

ส่งผลให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เช่น ร้านขายไก่ย่าง ปกติอาจขายทั้งตัว ก็เปลี่ยนเป็น ขายครึ่งตัว, ขายแยกเป็นส่วนเล็ก ๆ หรือปรับเมนู แพ็กเกจจิ้งใหม่เป็นอีกรูปแบบ แต่ไม่ใช้วิธีติดป้ายขึ้นราคาอาหาร เพราะถ้าขึ้นลูกค้าจะรู้สึกไม่ดีต่อร้าน และยุคนี้การแข่งขันรุนแรง ต้องเน้นรักษาลูกค้า

”การทำร้านอาหารยุคนี้ต้องรอบรู้ เข้าใจทั้งผู้บริโภคว่าต้องการอะไร และปรับตัวให้ทันสภาวะเศรษฐกิจ“

ยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนที่เศรษฐกิจดี และร้านอาหารมีจำนวนน้อยมาก เช่น พื้นที่ กทม. ในอดีตมีร้านอาหารเพียงหลักร้อยร้านค้าเท่านั้น คนมาทีสั่งตั้งแต่เมนูออเดิร์ฟ อาหารจานหลัก ของหวาน ไอศกรีม และน้ำปั่น อัตรากำไรที่ได้ก็มาจากส่วนของเครื่องดื่มที่มีอัตรากำไรสูง เป็นต้น

ทว่าปัจจุบันมีร้านค้าหลักหลายแสนร้านค้า รวมถึงร้านค้าในอากาศบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ ทำให้แข่งขันกันดุเดือด ประกอบกับผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง ทำให้สั่งเฉพาะพอกินอิ่ม สัก 2-3 เมนูเท่านั้น งดน้ำปั่นและของหวาน

ร้านอาหารโอเวอร์ซัพพลาย จีนตีตลาดไทย ปิดกิจการเพิ่ม 89%

สอดคล้องกับ ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุ ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคาและประเภทของอาหาร “ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่สูง”

โดยในปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มจะมีจำนวนประมาณ 6.9 แสนร้าน และมีมูลค่าตลาดประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8%

มูลค่าตลาดร้านอาหาร ปี 2568

การแข่งขันในธุรกิจยังมาจากการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ซึ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้น (อ้างอิงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) จำแนกตามสัญชาติ ดังนี้

อันดับ 1 ไทย มูลค่า 8,602 ล้านบาท

อันดับ 2 จีน มูลค่า 549 ล้านบาท

อันดับ 3 ญี่ปุ่น มูลค่า 221 ล้านบาท

อันดับ 4 อินเดีย มูลค่า 218 ล้านบาท

อันดับ 5 ฝรั่งเศส มูลค่า 135 ล้านบาท

อันดับ 6 เกาหลีใต้ มูลค่า 108 ล้านบาท

โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 กลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีน มีมูลค่าการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และแนวโน้มการเข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มสูงขึ้น

การจดทะเบียนตั้งกิจการร้านอาหารของทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการของผู้ประกอบการใหม่และเก่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ร้านอาหารปิดตัวเร่งขึ้น โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจสูงถึง 89% (YoY) ขณะที่การเปิดตัวใหม่ไม่เปลี่ยน แปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

]]>
1504906
ผลสำรวจ ชี้ คนโสดโปรไฟล์ดี ปี 68 ตั้งสเปกชัด “หาดีไม่ได้ก็ไม่เอา!” https://positioningmag.com/1504826 Wed, 25 Dec 2024 04:56:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504826 เวลาเปลี่ยน ค่านิยมการเลือกคู่ของคนโสดในไทยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน!

Bangkok Matching บริษัทจัดหาคู่ ระดับไฮเอนด์ เปิดเผยเทรนด์การหาคู่ ประจำปี 2568 จากผลสำรวจหนุ่มโสด-สาวโสด โปรไฟล์ดี เงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท ไปจนถึงรายได้หลัก 10-1,000 ล้านบาท/เดือน

โดยพบ 5 แนวโน้มสำคัญ ดังนี้

1.รัก เคารพ และรู้คุณค่าของตนเอง ไม่ขอทนกับคนไม่เห็นค่าเรา

ยุคนี้เป็นช่วงที่คนตระหนักถึงคุณค่าตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิง ที่หันมารักตนเองก่อนคนอื่น ไม่ให้ใจกับคนที่ไม่เห็นค่า ไม่ให้ความเคารพ และไม่รักตัวเอง

2.คนโสดไทยรู้ว่าตนเองต้องการอะไร Set มาตรฐานชัดเจน

สาวโสด-หนุ่มโสดไทยยุคนี้ รู้ว่าตนเองชอบคนแบบไหน และน่าจะไปได้ยาวกับคนแบบไหน ทำให้พวกเขาตั้งสเปกชัดเจน

หากคุณสมบัติไม่ครบ ขอเลือกโสดเพื่อตามหาคนต่อไป หรือกระทั่งยินดีอยู่คนเดียวตลอดไป ยินดีที่จะอยู่กับหมาแมว ไถอินเทอร์เน็ตแก้เบื่อ เดินทางเที่ยวคนเดียว

ตามสโลแกน All or Nothing “ไม่ได้ (แฟน) อย่างที่ต้องการ ไม่เอา”

3.พรหมลิขิต คือ สิ่งที่เฝ้ารอ

คนโสดไทยทั้งชายหญิงนิยมการพบคู่ด้วยวิธีธรรมชาติมากที่สุด เพราะอยากให้ความรักเกิดจากพรหมลิขิต บังเอิญมาเจอกัน มันโรแมนติกกว่าการใช้แอปหาคู่ บริการจัดหาคู่ หรือการพบกันออนไลน์

โดยวิธีที่คนโสดไทยชอบมากที่สุด คือ การหาคู่ผ่านการแนะนำของคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือจากครอบครัว

ตลอดจนการทำกิจกรรมต่างๆ และการลงคอร์สต่างๆ หากช่องทางธรรมชาติไม่สำเร็จ ไม่ได้ผล คนโสดที่ต้องการจะมีคู่ ก็จะขยายพื้นที่ในการหาคู่ไปช่องทางต่อๆ ไป

4.รักฉัน ก็ต้องรักที่ตัวฉัน

หมดยุครักษาภาพลักษณ์ในครั้งแรกที่เจอกัน เพราะคนโสดไทยยุคใหม่จะไม่ฝืนเป็นคนที่ตนเองไม่ได้เป็น

ทำให้พวกเขาชอบที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองเลยตั้งแต่ต้นที่รู้จักกัน เพราะอยากให้คนที่ตนพบ ชอบตนที่ตัวตนจริงๆ ต้องการเริ่มต้นทำความรู้จักกันด้วยตัวตนเองอย่างแท้จริง

”เพราะอยากมีความสัมพันธ์ที่ตนเองไม่ต้องปรับเปลี่ยน จนไม่เป็นตนเองเพื่อใครสักคน“ 

5.การแต่งงาน การมีลูก ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

หนุ่มโสด สาวโสดไทยไม่คิดอีกแล้วว่า การได้แต่งงาน และมีลูก เท่ากับการมีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่กลับมาโฟกัสที่ตนเองและการมีคู่ชีวิตที่ดี เป็นเพื่อนคู่คิด ใช้เวลาสุข ทุกข์ไปด้วยกัน

”คนโสดไทยหันมาโฟกัสที่ความสุขเฉพาะตัว ณ ปัจจุบัน“

หนุ่มโสด สาวโสดไทยส่วนใหญ่ยังต้องการมีคู่อยู่ หากคู่นั้นเป็นคนที่ดี มีทัศนคติ การใช้ชีวิตสอดคล้องต้องกัน คู่ที่ต้องมาเสริมชีวิตกันและกันให้ดีขึ้น

ดังนั้น สโลแกน “หากได้แฟนที่ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่เอา” ยังเป็นสโลแกนยึดต่อเนื่องมาสู่การหาคู่ปี 2568

]]>
1504826