Admin – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Apr 2024 03:16:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ยกระดับการตลาดให้ล้ำไปกับ Generative AI https://positioningmag.com/1469949 Thu, 11 Apr 2024 10:00:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469949

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

การเป็นนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ต้องการแค่ความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้วย ซึ่งอาจเป็นงานที่ท้าทาย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะพิ้งค์มีเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

สมมติว่าเราเป็นนักการตลาดของบริษัทที่มีคู่แข่งคือ NVIDIA เราสามารถใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน โดยเริ่มจากการอัปโหลดไฟล์เอกสารเข้าสู่ระบบ แล้วให้ AI ทำการสรุปข้อมูล จัดแยกหมวดหมู่ และแปลงเป็นกราฟแสดงภาพรวม

ในที่นี้เราจะใช้ ChatGPT 4 ในการทดสอบ เพราะมันคิดเลขแม่นสุดตอนนี้ พิ้งค์ได้ทดลองหลายแบบตั้งแต่อัปโหลดไฟล์ Excel เข้าไปใน ChatGPT มันทำไม่ได้ จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไฟล์นั้นเป็น .CSV Comma Limited ก็ยังให้ค่าเอ่อๆ ออกมา หลังสุดก็เลยก๊อบปี้ แล้วก็วางลงไปตรงๆ เลย ปรากฏว่ามันอ่านได้แฮะ และนี่คือข้อสรุปของมัน

ขั้นแรกก็บอกมันก่อนว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมด สรุปลงเป็นตารางง่ายๆ ให้ดูหน่อย โดยใช้ Prompt “Act as FP&A expert, analyze enclosed Excel data and present financial key performance indicator for CEO in tabula format” ก็ออกมาได้เป็นข้อมูลแบบนี้

ลองตรวจสอบตัวเลขดูแล้วก็ปรากฏว่า ตัวเลขถูกต้องต่างกันนิดหน่อย ต่างกันส่วนจุดทศนิยม เชื่อถือได้เนื่องจากมาวิเคราะห์ภาพรวม ก็เลยถามมันต่อไปว่าให้สรุปตัวชี้วัดที่สำคัญจากมุมมองตลาด โดยใช้คำสั่ง Prompt “Generate key financial ratio from data in Thai” ChatGPT ก็สรุปมาให้ดังต่อไปนี้

ทีนี้ก็เลยส่งคำสั่งมันบอกว่าให้เอาตัวเลขจริงๆ จากงบการเงิน มาใส่เป็นอัตราส่วนเป็นตารางให้หน่อย โดยใช้ Prompt คือ “add actual number of NVIDIA in tabula format” นี่คือผลลัพธ์ที่ได้ คือ

ตรวจตัวเลขแล้ว ถูกต้อง สุดท้ายก่อนที่เราจะไปคุยกับเจ้านาย เราก็บอกให้ ChatGPT มันทำการวิเคราะห์ กำไรขาดทุน ของ NVIDIA เลย โดยใช้ Prompt “from NVIDIA financial data and ratio above, analyze data based on marketing perspective” ผลที่ได้เป็นดังนี้

ด้วยวิธีนี้ นักการตลาดจะสามารถเข้าใจสถานะทางการเงินและประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลในการวางกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยถ้าพิ้งค์นำมาใช้งาน ก็จะนำข้อมูลของบริษัทเราเองมาเปรียบเทียบ แล้ววิเคราะห์ออกมาดูว่า สมมติว่าถ้าเทียบกับคู่แข่งคือ NVIDIA แล้ว บริษัทเราจะมีฐานะทางการเงินโดยเปรียบเทียบกันจะเป็นอย่างไร โดยใช้ ChatGPT ช่วยแบบตัวอย่างข้างต้น

สรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมการตลาดในปัจจุบัน คือการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยให้นักการตลาดมีเวลามากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์สร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ไปลองเล่นกันดูนะคะ
]]>
1469949
กลุ่มเซ็นทรัลชวนร่วมกันลงมือทำ ผ่านแคมเปญ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยน สู่ความยั่งยืน” ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัล ทำ” https://positioningmag.com/1469763 Wed, 10 Apr 2024 09:42:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469763 ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ตลอด 77 ปีของกลุ่มเซ็นทรัลในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วมกับทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทํา” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ กลุ่มเซ็นทรัลจึงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการพัฒนาสังคมในมิติต่างๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในวงกว้างอย่างต่อเนื่องและมองถึงผลลัพธ์ระยะยาว เพื่อให้เกิดความสมดุลกับมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

โดยมุ่งลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาการศึกษา สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้เศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการขับเคลื่อนแบบองค์รวมให้เติบโตเข้มแข็งไปด้วยกัน ด้วยการเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันลงมือทำผ่านแคมเปญใหม่ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยน สู่ความยั่งยืน” พร้อมเดินหน้า 6 กลยุทธ์ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

“นับเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้วที่กลุ่มเซ็นทรัล ได้ริเริ่มโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ โครงการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยเจตนารมณ์ที่จะสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values – CSV) ระหว่างธุรกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนผ่านพลังของการ “ร่วมกันลงมือทำ” เพื่อส่งมอบคุณค่าในเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรมต่อทุกภาคส่วน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs -Sustainable Development Goals) ซึ่งเป็นกรอบทิศทางการพัฒนาโลกขององค์การสหประชาชาติ โดยนับตั้งแต่ก้าวแรก

วันแรกของการดำเนินโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” กลุ่มเซ็นทรัลไม่หยุดนิ่งที่จะทุ่มเทและใส่ใจอย่างรอบด้าน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านค้าปลีกและบริการด้วยการลงพื้นที่ปฏิบัติจริง เรียนรู้และร่วมกันแก้ปัญหากับชุมชน พัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนสนับสนุนช่องทางการจำหน่าย ส่งผลให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและยังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ไปยังชุมชนใกล้เคียงผ่านศูนย์การเรียนรู้ ต่อยอดสู่แหล่งท่องเที่ยวชุมชน นอกจากนี้ยั่งมุ่งสร้างความเท่าเทียมด้วยการลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งมอบโอกาสทางอาชีพและส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนและครู ตลอดจนการใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมมุ่งสร้างโลกสีเขียว เป็นต้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ผลของพลังแห่งการร่วมกันลงมือทำอย่างตั้งใจจริงได้ก่อเกิดเป็นผลิตผลและผลิตภาพที่สร้างคุณประโยชน์ตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนสะท้อนจากภาพความสำเร็จบางส่วนของโครงการ “เซ็นทรัล ทำ”            ที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 1,700 ล้านบาทต่อปี สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนกว่า 150,000 ราย สร้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการ 1,011 คนมุ่งสู่ Net Zero ด้วยการลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบกว่า 20,830 ตัน, ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา 170 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้กว่า 114,200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และอื่นๆ เป็นต้น

สำหรับในปี 2567 “เซ็นทรัล ทำ” วางกลยุทธ์หลักเพื่อเป็นโรดแมปหรือแนวทางสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่าน “6 กลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน” ดำเนินงานโดยมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาสทุกคนในสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม พัฒนาด้านการศึกษาสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน พร้อมไฮไลต์โครงการ ดังนี้

1. Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยการพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพส่งเสริมสินค้าให้มีเอกลักษณ์เป็นที่ต้องการของตลาดสนับสนุนด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และดีไซน์ต่างๆ รวมทั้งมอบช่องทางการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์พัฒนายกระดับสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ต่อยอดการท่องเที่ยวยั่งยืนในเชิงเกษตรอินทรีย์และเชิงวัฒนธรรมในบริเวณโดยรอบของชุมชน นำไปสู่การสร้างรายได้ที่มั่นคงส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับกลุ่มเกษตรกรและชุมชนต่างๆ อย่างยั่งยืนโดยในปี 2566 ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 44 จังหวัด สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ชุมชนต่างๆ กว่า 150,000 ราย สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน ผ่านการรับซื้อหรือสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายไปแล้วกว่า 1,700 ล้านบาท

โครงการเด่นด้านพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ได้แก่

1) ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่

นับแต่ปี 2560 ที่เซ็นทรัล ทำ ร่วมกับ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน ดำเนินโครงการวิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา บนพื้นที่ 9 ไร่ สนับสนุนโครงการด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ขับเคลื่อนการทำเกษตรกรรมยั่งยืน ผลิตแหล่งอาหารที่ปลอดภัยกลับคืนสู่สังคมโดยให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาผลผลิต การรับซื้อ การสร้างแบรนด์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดทำให้ชุมชนมีรายได้อย่างมั่นคง และยังสามารถแบ่งปันความรู้สู่ชุมชนใกล้เคียงได้ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตและจัดจำหน่าย ผ่านการก่อสร้างอาคารคัดบรรจุผัก, รถขนส่งห้องเย็นสำหรับขนส่งผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ

ปัจจุบันชุมชนแม่ทาได้ขยายผลการดำเนินงานสู่ การจัดทำโฮมสเตย์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจทั่วไป โดยมีกิจกรรมเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ยั่งยืนมากมาย เช่น การเก็บไข่ไก่อารมณ์ดี, การลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน, การทำขนมปัง โดยดำเนินการเสร็จแล้วจำนวน 1 หลัง และเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว ทั้งนี้ในอนาคตมีแผนที่จะร่วมกับ ททท. จัดทำแพ็กเกจ One Day Trip อีกด้วย การดำเนินโครงการแม่ทาออร์แกนิกสามารถช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชนในปี 66 มากกว่า 8.4 ล้านบาท โดยมีชุมชนเข้าร่วมกว่า 110 ราย โดยในส่วนของการท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม 1,500 คนต่อปี สร้างรายได้จากการเข้าอบรมและท่องเที่ยวกว่า 3.8 แสนบาท

2) ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี จ.ตรัง 

กลุ่มเซ็นทรัลสนับสนุนก่อสร้าง “พิพิธภัณฑ์ผ้าทอนาหมื่นศรี” เพื่อสืบสานวัฒนธรรมผ้าทอมือโบราณอายุกว่า 200 ปี ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ให้เลือนหายตามกาลเวลา ต่อมาถูกยกระดับเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอนาหมื่นศรีให้คนทั่วไปได้รู้จัก อบรมให้ลูกหลานชาวนาหมื่นศรีและนักเรียนโรงเรียนนบ้านควนสวรรค์ให้เป็นมัคคุเทศก์ในพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม ด้วยการจัดทำเส้นทางจักรยานท่องเที่ยวในตำบลนาหมื่นศรีให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจท่ามกลางความงดงามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการก่อสร้างร้านค้าวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรีอีกด้วย

ทั้งนี้ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 9.2 ล้านบาท ครอบคลุมสมาชิก 155 ครัวเรือน ปัจจุบัน “ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอนาหมื่นศรี” นับเป็นต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การอนุรักษ์เชิงวัฒนธรรม โดยมีนักท่องเที่ยวและผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้ากว่า 21,000 คนต่อปี

3) ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาผลผลิตการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านเทพพนา- สวนเทพพนา จ.ชัยภูมิ

ความโดดเด่นของสวนเทพพนา ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้ปลูกอะโวคาโดสายพันธุ์แฮสส์ในไทย โดยถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนดี ช่วยลดปริมาณการปลูกพืชเชิงเดี่ยว อีกทั้งยังดำเนินการทำเกษตรแบบอัจฉริยะ (Smart Farming) เช่น การทำปุ๋ยหมักระบบเติมอากาศ การจัดการน้ำใต้ดิน แท็งก์น้ำพลังงานโซลาร์เซลล์ นอกจากนี้ยังมีการเพาะต้นกล้าอะโวคาโด และเปิดอบรมให้กับผู้ที่สนใจปลูกอะโวคาโด ส่งผลให้เซ็นทรัล ทำ ตระหนักถึงศักยภาพดังกล่าว จึงให้การสนับสนุนด้านการจัดจำหน่ายผลผลิตส่งเข้า Tops และจริงใจ Farmer’s Market สนับสนุนการก่อสร้างอาคารศูนย์เรียนรู้เพื่อให้เป็นต้นแบบด้านการทำเกษตรอัจฉริยะในภาคอีสาน เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้การปลูกอะโวคาโด และเป็นศูนย์กลางรวบรวมผลผลิตอื่นๆ เช่น เสาวรส ทุเรียน โอโซน แมคคาเดเมีย จากชุมชนใกล้เคียงเพื่อส่งขายให้กับธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล

ในปี 2566 ศูนย์การเรียนรู้บ้านเทพพนา มีจำนวนสมาชิก 500 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 41 ล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวและผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าเป็นจำนวนกว่า 10,000 คนต่อปี จำนวนผู้เข้าอบรมการปลูกอะโวคาโด 3,000 คนต่อปี และเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3,000  ไร่

4) ศูนย์การเรียนรู้การทำฟาร์ม เมล่อน Smile Melon จ.อยุธยา

จากการปลูกเมล่อนเป็นอาชีพเสริมระหว่างการทำนา ซึ่งมีราคาผลผลิตตกต่ำ นำไปสู่การสร้างอาชีพหลักให้กับชุมชน โดยมีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา จนกลายเป็นแหล่งผลิตเมล่อนแบบครบวงจร เริ่มมีการส่งผลผลิตจำหน่ายที่ Tops แต่ยังขาดปัจจัยการผลิตที่สำคัญ กลุ่มเซ็นทรัลจึงได้เข้าไปสนับสนุนปัจจัยการผลิตในรูปแบบต่างๆ เช่น โรงเรือนเพาะปลูก อาคารคัดแยกผลผลิต เพื่อให้สามารถปลูกเมล่อนได้อย่างหมุนเวียน ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐานโมเดิร์นเทรด ขยายผลสู่การรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมยกระดับ ศูนย์การเรียนรู้การทำฟาร์ม เมล่อน Smile Melon ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเพื่อก่อให้เกิดการกระจายรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง

ในภาพรวมของปี 2566 กิจกรรมภายใต้ศูนย์การเรียนรู้ฯ ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 30 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 15.2 ล้านบาท มีนักท่องเที่ยวและผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าเป็นจำนวนกว่า 7,200 คนต่อปี

5) จริงใจฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต หรือตลาดจริงใจ

พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรในท้องถิ่นได้นำพืชผักปลอดภัย และสินค้าขึ้นชื่อของชุมชนมาวางจำหน่ายในพื้นที่ของ กลุ่มเซ็นทรัล เพื่อให้เกษตรกรและผู้บริโภคมีโอกาสได้พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำไปปรับปรุงพัฒนาสินค้า นอกจากนี้การนำสินค้าภายในพื้นที่มาจำหน่ายยังทำให้คนในชุมชนได้บริโภคอาหารและสินค้าที่สดใหม่  คุณภาพดี และปลอดภัยจากสารเคมี เพิ่มโอกาสในการจำหน่าย สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร และสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้กับชุมชน โดยในปัจจุบันจริงใจ ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต มีทั้งหมด 33 สาขา ใน 29 จังหวัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ 1 สาขา และในพื้นที่ศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลในจังหวัดต่างๆ อีก 32 สาขา โดยในปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 231 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรกว่า 10,200 ครัวเรือน

6) good goods (กุ๊ด กุ๊ดส์)

ร้านจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นดีไซน์ร่วมสมัยแบรนด์ “good goods” (กุ๊ด กุ๊ดส์) ผลิตโดยวิสาหกิจเพื่อสังคม  “เซ็นทรัล ทำ” ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ริเริ่มเมื่อปี 2561 เพื่อสืบสานมรดกวัฒนธรรม ยกระดับสินค้าไทยให้ทันสมัย ด้วยการส่งมอบองค์ความรู้แก่ชุมชนให้สามารถพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการออกแบบให้มีความร่วมสมัยโดยให้การสนับสนุนดีไซเนอร์ให้คำแนะนำด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดจะถูกนำกลับไปพัฒนาชุมชนต่อไป นอกเหนือจากการอนุรักษ์สินค้าท้องถิ่นแล้ว เซ็นทรัล ทำ ยังมุ่งส่งเสริมศักยภาพกลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่ต้องการสนับสนุนเป็นพิเศษ เช่น คนพิการในการพัฒนาทักษะด้านการผลิตสินค้า ผ่านการดำเนินโครงการตะกร้าสาน ผู้พิการ ซึ่งร่วมมือกับสมาคมรวมใจคนพิการ จ.อุดรธานี เพื่อนำมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ good goods โดยระหว่างปี 2562-2566 สามารถสร้างอาชีพให้ผู้พิการและเครือข่ายกว่า 200 คน สร้างรายได้ให้คนพิการในสมาคมผ่านการรับซื้อสินค้าเพื่อมาจำหน่ายในร้าน good goods คิดเป็นมูลค่าเชิงเศรษฐกิจกว่า 12 ล้านบาท

ปัจจุบันร้าน good goods  มีจำนวน 3 สาขา ได้แก่ คอนเซ็ปต์สโตร์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โซน Hug Thai , สาขาโครงการจริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ และสาขาที่ 3 ใหม่ล่าสุด สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต ฟอลเรสต้า ชั้น G โซน Hug Thai นอกจากนี้ยังมีในส่วนของเคาท์เตอร์ good goods ที่เซ็นทรัล ชิดลม ชั้น 7 และ เซ็นทรัล ป่าตอง ชั้น B1 และช่องทางออนไลน์ผ่าน Line :@aboutgoodgoods อีกด้วย โดยใน ปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 200 ล้านบาท จากการรับซื้อสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวน 39 ชุมชน

2. Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม

มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสโอกาสในการพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาให้กับเยาวชนผ่านการสร้างศูนย์การเรียนรู้ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบ Project – Based Learning ที่เน้นลงมือปฏิบัติด้วยประสบการณ์จริง ต่อ ยอดสู่การประกอบอาชีพในอนาคต รวมทั้งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในด้านต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

โครงการเด่นด้านการลดความเหลื่อมล้ำ ได้แก่

1) โครงการยกระดับการศึกษาโรงเรียนบ้านตากแดด จ.พังงา 

มุ่งพัฒนาโรงเรียนบ้านตากแดดให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้ข้าวไร่ดอกข่า” ด้วยการสนับสนุนการนำความรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาพื้นที่ของโรงเรียนเพื่อการเพาะปลูกข้าวไร่ดอกข่าขยายผลสู่ชุมชนทำให้เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนข้าวไร่ดอกข่า ทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะด้านเกษตรกรรมให้กับนักเรียน โดยเซ็นทรัล ทำ ยังร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม สนับสนุนเครื่องซีลข้าวสูญญากาศและช่องทางการจำหน่าย ส่งผลให้จากศูนย์การเรียนรู้ในห้องเรียนสามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายข้าวไร่ดอกข่ากลับคืนสู่โรงเรียน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในโรงเรียน เช่น ค่าอาหารกลางวัน ฯลฯ ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการปรับปรุงสถานศึกษาในโครงการ ICAP ด้วยการออกแบบห้องเรียนและหลักสูตรให้มีสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย สร้างสมาธิ และความรับผิดชอบ และการจัดตั้งมุมคัดแยกขยะเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับนักเรียนอีกด้วย ปัจจุบันโรงเรียนบ้านตากแดดมี นักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 47 คนในปี 2559เป็น 85 คนในปี 2566 ส่งผลให้โรงเรียนบ้านตากแดดเป็น โรงเรียนต้นแบบการเรียนรู้ของชุมชน ที่มีหน่วยงานเข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทุกปี

3. Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร

มุ่งดูแลและพัฒนาบุคลากรขององค์กร ด้วยการส่งมอบความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานแก่บุคลากรทุกระดับให้สามารถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านกิจกรรมและหลักสูตรอบรมต่างๆ ที่เน้นถ่ายทอดประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ตลอดจนสร้างความเคารพในคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายในองค์กรให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคตามหลักสิทธิมนุษยชน

โครงการเด่นด้านพัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร ได้แก่

1) การพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต มุ่งให้พนักงานพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคโลกดิจิทัลโดยให้ความรู้แก่พนักงานทุกระดับ ผ่านการพัฒนา 9 หลักสูตรในกลุ่ม Digital Literacy, Data Analytics & Tools และ Agility เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทักษะเฉพาะทาง

2) พัฒนาทักษะการปฏิบัติงาน พัฒนาทักษะทั้ง hard skill และ soft skill ด้วยการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับพนักงาน (Training Roadmap) กว่า 50 เส้นทาง และพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสายงานกว่า 200 หลักสูตร ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจหลัก

3) การส่งเสริมสร้างสุขภาวะและการดูแลพนักงาน

ส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิตใจ ปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้คุณค่าของความหลากหลายและเสมอภาคด้วยแนวคิด DEI (Diversity หลากหลาย – Equity เท่าเทียม – Inclusion เปิดรับความแตกต่าง) ผ่านการจัดกิจกรรมขององค์กร เช่น กิจกรรมส่งเสริมบทบาทและความสำเร็จของผู้บริหารหญิง สะท้อนความเท่าเทียมทางเพศ อีกทั้งส่งเสริมการจ้างงานการจ้างงานผู้สูงอายุในตำแหน่งบริการลูกค้าหน้าร้าน รวมทั้งการจ้างงานคนพิการ เช่น ศูนย์ Contact Center ของไทวัสดุและเพาเวอร์บาย, พนักงานในเครือโรงแรมเซ็นทาราและร้านค้าในเครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป รวม 327 คน เป็นต้น

4. Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน 

ส่งเสริมและรณรงค์ให้ทุกคนร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นของธุรกิจในเครือในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีความรับผิดชอบ รวมทั้งสร้างความตระหนักถึงการร่วมมือกันรักษ์โลกและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

โครงการเด่นด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่

1) โครงการจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus Management) เพื่อลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งตั้งแต่ต้นทาง เริ่มตั้งแต่การวางแผนการใช้วัตถุดิบการจัดการอาหารที่เหลือจากการจำหน่าย แบ่งเป็นอาหารที่ยังรับประทานได้ส่งต่อให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยร่วมมือกับมูลนิธิ SOS , Yindii เป็นต้น โดยในปี 66 บริจาคอาหารส่วนเกินไปกว่า 2,681,476 มื้อ ลดปริมาณขยะลงสู่หลุมฝังกลบ 641 ตัน และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ได้ถึง 1,486 ตันคาร์บอน นอกจากนี้ อาหารส่วนเกินที่ไม่สามารถรับประทานได้ จะถูกนำไปแปรรูปขยะอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์และก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป

2) โครงการบริหารจัดการขยะพลาสติก (Plastic Waste Management) มุ่งเน้นการลดขยะพลาสติกผ่าน 3 แนวทาง 1. การลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ single-use plastic ในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในกลุ่มเซ็นทรัล โดยในปี 2566 สามารถลดจำนวนถุงพลาสติกที่ส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งจะกลายเป็นขยะกว่า 187,758 ใบ ทำให้ลดปริมาณขยะพลาสติกได้กว่า 15 ตัน 2. เพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจ เช่น โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราได้ยกเลิกการใช้หลอดพลาสติก,เปลี่ยนถุงพลาสติกเป็นถุงผ้าสำหรับบริการส่งซัก , เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของใช้ในห้องน้ำเป็นขวดที่สามารถรีฟิลได้ 3. การส่งเสริมกระบวนการรีไซเคิล กลุ่มเซ็นทรัล จัดเก็บขยะขวดพลาสติก PET เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (upcycled) ในปี 66 ได้ถึง 1,020,009 ขวด แบ่งเป็นดำเนินงานโดยเซ็นทรัล รีเทล จัดเก็บขยะขวดพลาสติก PET จากพื้นที่ธุรกิจ 492,009 ขวด และโครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่าดำเนินการโดย เซ็นทรัล ทำ รวบรวมขวดเปล่าได้ 528,000 ขวด เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า เช่น กระเป๋า เสื้อกั๊ก หรือผ้าห่ม จำหน่ายภายใต้แบรนด์ good goods หรือส่งมอบให้กับผู้ประสบภัย นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังได้ดำเนินโครงการ Journey to Zero คัดแยกขยะรีไซเคิลทุกประเภท เช่น พลาสติก กระดาษ อะลูมิเนียม โลหะ ขวดแก้ว ได้กว่า 10,585 ตัน คิดเป็น 13% ของขยะทั้งหมด และโรงแรมในเครือเซ็นทารากว่า 37 แห่ง ยังได้ดำเนินโครงการ Plastics Only, Please (P-O-P) ถังขยะรูปทรงปลาทะเล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าไม่ทิ้งขยะพลาสติกลงในทะเล โดยสามารถนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด 1.7 ตัน ในปี 66

5. Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ

เดินหน้าเส้นทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาด (Renewable Energy) ของธุรกิจในกลุ่ม รวมทั้งการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานและผู้บริหารในองค์กรคู่ค้า ลูกค้า พันธมิตร โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โครงการเด่นด้านการฟื้นฟูสภาพอากาศ ได้แก่

1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนผ่าน Solar Rooftops 

ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ กว่า 170 แห่ง ในพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนา , ห้างเซ็นทรัล โรบินสัน และไทวัสดุ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล , โรงแรมในเครือเซ็นทาราและโรงงานภายในเครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ทำให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้เองได้ทั้งหมด 114,200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า กว่า 1,356 สถานี ภายในพื้นที่ของหน่วยธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล, เซ็นทรัลพัฒนา, โรงแรมในเครือเซ็นทารา อีกด้วย

2) โครงการส่งเสริมลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากระบบขนส่งสินค้า

เพื่ออากาศที่ดีของคนไทยโดยไทวัสดุมีการนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Truck ซึ่งมีสมรรถนะโดดเด่นเทียบเท่ารถบรรทุกน้ำมันดีเซล เข้ามาใช้ในระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างร้านค้าในเครือไทวัสดุโดยมีแผนจะขยายเส้นทางเดินรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่นเดียวกับท็อปส์ ที่มีการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้านำร่องใช้ขนส่งกระจายสินค้าของร้านท็อปส์ เดลี่ ในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งนี้ปัจจุบันไทวัสดุและท็อปส์ มีจำนวนรถขนส่งขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 22 คัน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงกว่า 180,000 ลิตร

6. Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 

มุ่งอนุรักษ์และฟื้นฟูความอุดสมบูรณ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ อันเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเป็นแนวทางในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการดำเนินโครงการด้านการเพิ่มและอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว อาทิ ด้านเกษตรกรรมยั่งยืนด้วยการส่งเสริมวิถีการทำเกษตรที่มีคุณค่าทั้งทางเศรษฐกิจทำให้เกษตรชุมชนได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยไม่ลดทอนหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อฟื้นคืนผืนป่า การปลูกต้นไม้และการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี เพื่อการอนุรักษ์ดิน น้ำ อากาศและสิ่งมีชีวิต

โครงการเด่นด้านการปกป้องธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่

1) โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว โดยธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง เพื่อ ดูดซับคาร์บอนบรรเทาภาวะโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ สังคม และชุมชน โดยร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการร่วมฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การผนึกกำลังกับกรุงเทพมหานคร, กรมป่าไม้ ในการลงพื้นที่ปลูกป่าในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการแจกจ่ายต้นไม้ให้กับประชาชนนำกลับไปปลูกยังบ้านพักอาศัยของตนเอง เป็นต้น ส่งผลให้ในปี 2566 สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่าได้กว่า 9,411 ไร่ ลดคาร์บอนได้ 7,456 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ในปี 67 มีแผนดำเนินโครงการ Community Climate Action (CCA) ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ใน 6 จังหวัด เป็นต้น

ทั้งนี้ “เซ็นทรัล ทำ” ยังได้เปิดตัววิดีโอโฆษณาชุดใหม่ “แค่ทำสักครั้ง” สอดรับกับ แคมเปญ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน” สะท้อนเรื่องราวคุณค่าของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพียงแค่คิด แต่เกิดจากความกล้าที่จะเริ่มต้นลงมือทำและทำอย่างต่อเนื่อง ผ่านการบอกเล่าโครงการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนบางส่วนของ “เซ็นทรัล ทำ” ที่ประสบความสำเร็จและเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน คลิกเพื่อรับชมวีดีโอโฆษณา “แค่ทำสักครั้ง”

“เซ็นทรัล ทำ” เชื่อว่าการเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดจากร่วมมือร่วมใจกันลงมือทำ       บูรณาการและขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเจริญเติบโตรอบด้านในทุกมิติ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ โดยหวังผลลัพธ์เชิงบวกสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในระยะยาว เพื่อส่งมอบอนาคตที่มีคุณภาพให้กับสังคม ประเทศชาติ และคนรุ่นหลังต่อไป

]]>
1469763
3 เทคนิคสร้างวินัยการออม สร้างพอร์ตให้โตได้ด้วย​ DCA ​ https://positioningmag.com/1468014 Thu, 28 Mar 2024 03:49:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468014

โดยตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

นักลงทุนระดับโลกอย่างปู่ Warren Buffett ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“Successful investing takes time, discipline and patience.”
เป็นคำสอนนักลงทุนทั่วโลกอย่างง่ายๆ ว่าสิ่งที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ พอร์ตเติบโตได้นั่นก็คือ เวลา วินัย และความอดทน ​

กลยุทธ์การลงทุนที่มีองค์ประกอบครบทั้ง เวลา วินัยและความอดทน ทั้ง 3 สิ่งนี้รวมอยู่ในเรื่องของ Dollar cost Average (DCA) หรือการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ยอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

ดังนั้นหากจะพูดว่ากลยุทธ์การ DCA หรือเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์ที่ดีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในโลกการลงทุนก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

การ DCA ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยสร้างผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องจับจังหวะ​

และยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมาก!

จนบางครั้งอาจจะชี้ชะตาว่าพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุนได้เลย

แต่ผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังละล้าละลัง ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงทุน เพราะคิดว่าเงินทุนที่มีในมือจะน้อยเกินกว่าจะใช้สร้างกำไรได้

ผมอยากบอกตรงนี้เลยครับว่า คุณไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรให้มากมายเลยครับ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดียิ่งเริ่มเร็ว ก็ยิ่งทำให้การลงทุนระยะยาวของคุณค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มีประสิทธิภาพได้

Photo : Shutterstock

ยิ่งในปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและรวดเร็วขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องรอเก็บเงินจนได้ก้อนใหญ่ มีเงินเพียงไม่กี่บาทก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว และยิ่งหากคุณสร้างวินัยให้กับตัวเองด้วยการออมเงิน DCA ได้อย่างสม่ำเสมอจะยิ่งเห็นหนทางแห่งความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเลยครับ

หากคุณยังรู้สึกว่าการ DCA ทำได้ยาก หรือคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น​อยู่

วันนี้ผมมี 3 เทคนิคง่ายๆ  ที่จะช่วยให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่าย​ คุณสามารถเริ่มต้นออมเงินหรือ DCA ได้อย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างไรตามไปดูกันได้เลยครับ

1. ทำงบรายรับ-รายจ่ายประจำเดือน

อาจจะฟังดูน่าเบื่อเพราะเป็นวิธีที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ถ้าคุณทำได้คุณจะเข้าใจว่ามันสำคัญมากแค่ไหน

คุณไม่จำเป็นต้องมองหาสมุดบัญชีมาเริ่มต้นการบันทึกให้ดูยุ่งยากเลยครับ เมื่อคิดจะเริ่มแล้ว เพียงแค่หยิบมือถือที่คุณติดมืออยู่ขึ้นมาแล้วเริ่มการจดรายรับรายจ่ายของคุณใส่ในแอปโน๊ตธรรมดาๆ หรือจะเป็นแอปสำหรับรายรับรายจ่ายที่จะช่วยให้คุณบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสะดวกขึ้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ

เพราะไม่ว่าจะจดที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับ ‘จด’ จริงๆ แค่คุณเริ่มทำแบบนี้สัก 2-3 เดือนคุณก็จะพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า ‘คุณหมดเงินไปกับอะไรบ้าง’

แน่นอนว่าถึงตอนนั้นมันจะช่วยให้คุณสามารถเลือกว่ารายการไหนที่ไม่จำเป็น ตัดได้ หรือตัดไม่ได้ แล้วเอางบส่วนนั้นมาใส่เป็นรายการ DCA เติมเข้าพอร์ตรายเดือนได้บ้าง

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะวิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่า คุณสามารถ DCA ได้เดือนละเท่าไหร่ ถ้าอยากเพิ่มจำนวนเงินจะทำอย่างไรได้บ้าง

Photo : Shutterstock

2. จ่ายแค่ไหน ออมเท่านั้น

ถ้ามีคนมาบอกว่า ‘คุณจะมีเงินออมมากขึ้น ถ้าคุณใช้มากขึ้น’ ฟังแล้วคุณอาจจะคิดว่า มันช่างย้อนแย้งจัง จะเป็นไปได้อย่างไร

แต่อย่าลืมว่าการใช้จ่าย ได้ช้อปปิ้งในสิ่งที่ชอบ ถือเป็นความสุขในชีวิตครับ

ดังนั้นคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

แต่ใช้วิธีช้อปที่ช้อบชอบบบ มาช่วยออมเงินแทน

วิธีการก็คือ คุณต้องตั้งกฏให้กับตัวคุณเอง ‘ซื้อเท่าไหร่ ก็ออมเท่าที่ใช้ไป’

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้นด้วย

หรือคุณอาจจะตั้งกฏที่เบาลงไปหน่อยว่า ถ้าเดือนนี้ใช้เงินเกิน 5,000 บาท จะต้องโอนเงินเข้าพอร์ต 1,000 บาท ถ้าใช้เงินเกิน 10,000 บาท จะโอนเงินเข้าพอร์ต 5,000 บาท

พอร์ตของคุณก็จะงอกเงยขึ้นได้ด้วยเงินเพิ่มทุนเหล่านี้

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้น มากขึ้นแบบไม่รู้สึกผิดกับการใช้จ่ายครับ

Photo : Shutterstock

3. เก็บเงินตามสูตร 50/30/20

เทคนิคสุดท้ายของวันนี้ อาจจะเป็นสูตรที่ดูคุ้นตา แต่คุณต้องรู้ไว้ว่าหนทางการออมเงินที่เวิร์กที่สุดสำหรับหลายๆ คนคือ ‘ออมก่อนใช้’

การแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก! สูตร 50/30/20 ก็เป็นหนึ่งในสูตรแบ่งเงินยอดฮิต

ง่ายๆ เลยครับ เมื่อเงินรายได้ของคุณเข้าบัญชีมา คุณก็แค่จัดแบ่งออกเป็นก้อนๆ ประมาณนี้

  • 50% สำหรับสิ่งที่จำเป็น (Need)
  • 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (Want)
  • 20% สำหรับเก็บออม

และส่วนนี้ 20% นี้จะเป็นส่วนที่เราจะแบ่งสัดส่วนมันอีกทีก็ได้ว่า จะ DCA สำหรับพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ และเหลือไว้เท่าไหร่สำหรับเป็นเงินเก็บฉุกเฉิน

ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้ เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้นครับ คุณเองก็สามารถออกแบบตัวเลขในแต่ละส่วนของคุณได้ตามความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

แต่อย่าลืมว่าเมื่อได้สัดส่วนที่จะเอามา DCA แล้ว ทุกครั้งที่มีเงินเดือนหรือรายรับเข้ามาก็แบ่งเงินให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ หรือหากกลัวลืมผมเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ อย่างเช่นการตั้งค่า DCA ในวันที่เงินเดือนออกก็สะดวกดี

ทุกวันนี้ก็มีหลายแอปการเงินที่ได้นำเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยนักลงทุนให้สามารถเลือกตั้งค่า DCA ไว้แล้ว เช่นเดียวกับแอปของ Jitta Wealth ที่ได้พัฒนาฟีเจอร์การ DCA เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถออมก่อนใช้ ช่วยให้คุณลงทุนอย่างมีวินัยและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

]]>
1468014
3 ทริคควรรู้ ก่อนเริ่มต้นลงทุน https://positioningmag.com/1465189 Tue, 05 Mar 2024 16:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465189

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

ในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ การเข้าถึงเรื่องของการเงินการลงทุนแทบไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนก็มีความสนใจและมองหาโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือที่เรียกว่า ‘ให้เงินทำงาน’

และแม้ว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากมายให้เลือกลงทุน แต่หลายคนก็ยังจดๆ จ้องๆ เพราะยังมีความรู้สึกลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอะไร อย่างไรดี สินทรัพย์ใด จะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ หรือลงทุนเมื่อไร ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ก็ไม่แปลกนะครับขึ้นชื่อว่าการลงทุน เราทุกคนอยากเห็นผลตอบแทนจากเงินที่นำไปลงทุน มากกว่าความเสียหายหรือเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีความพร้อมแค่ไหน และควรเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนให้เหมาะสมและไม่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงในชีวิตการเงิน รวมไปถึงความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต

วันนี้ผมอยากชวนทุกท่านมาเช็คความพร้อมก่อนการลงทุนกันด้วยวิธีง่ายๆ ลองทำความเข้าใจดูก่อนได้ครับ

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 1: อย่าเพิ่งเริ่มลงทุน ถ้ายังออมเงินไม่เป็น

ในชีวิตของเราแทบทุกคน ย่อมจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนกัน คือเมื่อวันหนึ่งวันนั้นมาถึง วันที่พวกเราจะต้องเลิกทำงาน หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุนั่นเอง บั้นปลายชีวิตแต่ละคนแตกต่างกันไปแน่นอนครับ เพราะความรู้และการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน

บางคนเตรียมตัวดี มีเงินเก็บไว้ใช้ก็ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับไม่มีเลย ผมเชื่อว่าอย่างหลังเนี่ย หลายคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จริงไหมครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาแต่กลัวนะครับ ก่อนอื่น​ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมอยากให้คุณลองจัดระเบียบการเงินให้เป็นก่อน

เริ่มที่การดูแลกระแสเงินสด (cashflow)ให้เป็นบวกก่อนนะครับ

กระแสเงินสดหรือจะเรียกว่าสภาพคล่องที่มาในรูปแบบของเงินเก็บก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากกระแสเงินสดติดลบ​ สภาพคล่องตึงตัว การลงทุนนั้นจะกลายเป็นการพนันทันที เพราะเราจะลงทุนด้วยความรู้สึกว่าอยากได้กำไรเร็วๆ กำไรเยอะๆ โดยไม่สนปัจจัยอื่นๆ เลย

แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรให้มีเงินเก็บ…

คำตอบเดียวคือ ‘เก็บ’ สร้างวินัยให้กับการออมเงินเท่านั้นครับ

อาจจะตั้งระบบตัดจ่ายอัตโนมัติเช่น 10% ของรายได้ ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง หรือฝากประจำก็ได้ หรือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนตั้งแต่ต้นเมื่อมีรายได้เข้ามา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขอแค่ให้เริ่ม‘ เท่านั้นครับ หลักการนี้คือเรื่องของ ‘วินัย’ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงินหรือการลงทุนก็ต้องใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 2:  อย่าเพิ่งลงทุนถ้ายังไม่มี ‘ความรู้’

เพราะว่าความรู้ (Education) เป็นตัวเร่งให้เราได้รู้จักตัวเอง วางเป้าหมายปลายทาง และเรียนรู้เครื่องมือที่จะพาไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง ยิ่งถ้าหากคุณสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือ คุณก็จะลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวล

เหมือนอย่างตลาดหุ้น ในระยะสั้นย่อมมีความผันผวน เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเป็นระยะ แต่เมื่อคุณถอยออกมามองภาพใหญ่ มองระยะยาวจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลงเสมอๆ

แต่อย่าเป็นเด็กเรียนมากไปนะครับ บางคนมีความเชื่อว่า ก่อนจะลงทุนได้ก็ต้องมีความรู้เรื่องธุรกิจก่อน ถึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เริ่มต้นได้ครับ เพราะถ้าต้องรู้ทั้งหมด คุณก็จะไม่มีวันได้ลงทุนอย่างแน่นอน ค่อยๆ ลงทุนไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้น่าจะดีกว่าครับ

ข้อที่ 3: มองการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ลงทุนทั้งที ต้องรู้สึกเป็นหุ้นส่วน มองว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นหรือธุรกิจนั้นๆ ให้คิดว่าคุณจะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เราลงทุนเติบโต มีรายได้ดี สร้างกำไรให้กับคุณ และอะไรส่งผลกระทบกับธุรกิจของคุณบ้าง มากกว่าการหวังแค่เสี่ยงโชค แบบซื้อหุ้นแล้วจะอธิษฐานให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ก่อนจะเลือกลงทุนในสักบริษัทคุณจะต้องเข้าใจ 4 สิ่งนี้ด้วยกัน

  1. มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินพอที่จะอ่านงบการเงินเป็น
  2. รู้จักสินค้าและโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุน
  3. เข้าใจความเสี่ยงของบริษัท
  4. รู้จักปัจจัยภายนอกทั้งการเมือง เศรษฐกิจ หรือสภาพสังคมไว้บ้าง
Property investment and mortgage financial concept.

ซึ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้การลงทุนนั้นง่ายกว่าเดิม อย่างเช่นงบการเงินย้อนหลัง ที่คุณสามารถดูได้บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และบางแห่งสามารถเปิดดูได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างของ Jitta.com เองก็มีข่าวสารข้อมูลของบริษัททั่วโลกให้คุณเข้ามาดูได้อย่าง real-time ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วทันเวลา

เท่านี้คุณก็มีพื้นฐาน​ความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะเลือกได้แล้วว่าคุณจะลงทุนในกิจการของบริษัทใดบ้าง ซึ่งหลังจากเลือกและลงทุนไปแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณต้องมีคือ ‘วินัย’ ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่เดาตลาดหุ้น และต้องทบทวนและปรับพอร์ตให้เป็นระบบ

‍‍สุดท้ายแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ‘วันนี้’ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะสายเกินไป เพราะฤกษ์ดีคือเลิกรอนะครับ ส่วนความกลัว ผมบอกได้เลยว่ามันกำจัดง่ายมาก ด้วยการลงมือทำและเรียนรู้ไปกับมันด้วยสติครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนนะครับ

]]>
1465189
เปิดโลกจิตใจ แนวโน้มทางจิตวิทยาที่ควบคุมการตัดสินใจของเรา https://positioningmag.com/1463899 Tue, 27 Feb 2024 07:56:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463899

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง BUZZEBEES

ที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้เข้าไปเรียน CXO ของพี่กระทิง พูนผล ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย แต่ว่าหัวข้อหนึ่งที่อยากพูดถึงในวันนี้ คือ เคสที่คุยกัน เป็นเคสเกี่ยวกับหนังสือ Light Out หนังสือ Light Out เป็นหนังสือที่เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่สมัย Jack Welch CEO of the Century ที่นำพาหุ้น GE ขึ้นไปถึง 40X หรือ 40 เท่า แล้วเปลี่ยนถ่ายมาสู่ยุค Jeff Immelt ซีอีโอของคนถัดไป ที่เป็นช่วงหุ้นตกระเนระนาด

โดยหนังสือพูดถึงหลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่น่าสนใจมากๆ คือ เรื่องที่คุยกันว่าทำไมคนถึงตัดสินใจผิด เมื่อคุณเป็นซีอีโอหรือผู้นำของบริษัท โดยที่อ้างอิงจากคำพูดของ Charlie Munger ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักลงทุนชื่อดัง และนักธุรกิจชาวอเมริกัน Munger เป็นผู้ช่วยสำคัญและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของ Warren Buffett ที่บริษัท Berkshire Hathaway Inc ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าการตลาดสูงสุดในโลก เค้าจบฟิสิกส์ ฉลาดหลักแหลมมาก ลงทุนในทุกๆ อย่าง และเพิ่งเสียชีวิตไปในวัย 99 ปี เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมานี้เอง Charlie Munger เป็นคนที่ลงทุนในหุ้นและได้กำไรมากมาย โดยตัวล่าสุดเค้าได้ลงทุนในบริษัทรถที่ชื่อว่า BYD กว่า 230 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008 และขายทำกำไรไป 30X ในปี 2022 ก่อนเขาเสียชีวิตลง

Light Out Book by Businessinsider.es
Light Out Book by Businessinsider.es

ทีนี้เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าจริงๆ แล้วคนเราตัดสินใจ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือการทำงาน Charlie Munger ก็แนะนำว่าให้ตัดสินใจด้วยการตัดสินใจสองด้าน ด้านที่หนึ่งการใช้ข้อมูลทั้งหมด ที่เกี่ยวกับข้อมูลตามความเป็นจริงมาประกอบการตัดสินใจ อาทิ งบการเงิน ผู้บริหาร สภาพตลาด อุตสาหกรรม และอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนค่อนข้างพูดถึงกันบ่อยอยู่แล้วว่าก่อนตัดสินใจต้องพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้

แต่สิ่งที่เพิ่งจะพูดก็คือการตรวจสอบการตัดสินใจตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่า การตัดสินใจของเรานั้นมีความเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ซึ่งการเอนเอียงของคนเรานั้น Charlie Munger บอกว่า คนเรามักมีอคติทางปัญญาและแนวโน้มทางจิตวิทยาต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนในการตัดสินใจ ขออธิบายถึงวิธีที่ความคิด การรับรู้ และการตัดสินใจของเราอาจถูกบิดเบือนโดยปัจจัยทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง นี่คือคำอธิบายสั้นๆ ของแต่ละข้อเจ๋งๆ ที่เลือกมาค่ะ

1. ผู้คนมีแรงจูงใจสูงต่อรางวัลที่ได้รับทันทีและการหลีกเลี่ยงโทษที่ได้รับในทันที ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ให้ผลในระยะสั้น ที่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุด

2. การเอนเอียงที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือไม่สนใจข้อบกพร่อง เพื่อสนับสนุนหรือแก้ต่างให้กับสิ่งที่ชอบของเราต่อบางสิ่ง

3. แนวโน้มที่จะรีบตัดสินใจเพื่อกำจัดความสงสัย โดยไม่มีหลักฐาน หรือการพิจารณาทางเลือกที่เพียงพอ เพื่อบรรเทาความไม่สบายใจจากความไม่แน่นอน

4. แนวโน้มหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยชอบที่จะยึดมั่นในความเชื่อที่มีอยู่ และให้ความสนใจกับข้อมูลที่ยืนยันความเชื่อเหล่านั้น ในขณะที่ละเลยในการอธิบายอย่างมีเหตุผลต่อหลักฐานที่ขัดแย้ง

5. แนวโน้มการรักษาแนวปฏิบัติทางสังคม แนวโน้มเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเราในบริบททางสังคม เช่น การต่อคิว และการให้ความเคารพผู้มีอายุมากกว่า ซึ่งขับเคลื่อนโดยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคม และการยึดถือความเป็นธรรม

6. แนวโน้มที่ได้รับอิทธิพลจากการเชื่อมโยงเพียงอย่างเดียว เช่น เป็นการตัดสินใจที่มีอิทธิพลจากการยึดมั่นในสิ่งที่ได้ผลในอดีตโดยไม่พิจารณาบริบทปัจจุบันหรือการเปลี่ยนแปลง

7. แนวโน้มมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับผลลัพธ์ของแผนหรือการตัดสินใจ โดยมักประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปและประเมินผลประโยชน์สูงเกินไป

8. แนวโน้มที่จะตอบสนองจากความกลัวต่อการถูกคุกคามว่าจะสูญเสียบางสิ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การพนัน เมื่อเล่นเสียแล้วแทงต่อด้วยเงินที่เพิ่มขึ้น

9. แนวโน้มการได้รับอิทธิพลจากความเครียด ความเครียดสามารถทำให้การตัดสินใจแย่ลงเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเลือกที่ไม่ดีภายใต้ความกดดัน

10. แนวโน้มที่จะโจมตีผู้ส่งสารแทนที่จะจัดการกับข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ที่ผู้ส่งสารมาบอก

11. การปฏิเสธทางจิตวิทยาที่ง่ายและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด การปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงเพราะมันเจ็บปวดหรือไม่สบายใจ นำไปสู่การปฏิเสธข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์

12. แนวโน้มที่มีต่อการประเมินตนเองสูงเกินไป การประเมินความสามารถหรือคุณลักษณะของตนเองสูงเกินจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ความคาดหวังหรือการตัดสินใจที่ไม่เป็นจริง แต่อาจเป็นประโยชน์ได้ในระดับหนึ่งหากมีความเข้าใจตัวเองจริง ๆ อย่างมีสติ

13. ความล้มเหลวในการเห็นภาพรวมเพราะโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเคยชิน และไม่ตระหนักว่าปัญหาในภาพรวมนั้นใหญ่มาก

14. แนวโน้มที่มีต่อการให้น้ำหนักความสามารถในการจำได้มากเกินไป การประเมินความสำคัญหรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่จำได้ง่ายสูงเกินจริง มักเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องที่ดราม่าหรือมีอารมณ์ประกอบอยู่

15. แนวโน้มที่ถูกอิทธิพลจากผู้มีอำนาจ เกิดความเอนเอียงที่จะถูกอิทธิพลจากผู้มีอำนาจมากเกินควร ไม่ว่าคำแนะนำหรือคำสั่งของพวกเขาจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด

16. แนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับเหตุผล ความเอนเอียงที่จะให้ค่ากับคำอธิบายหรือเหตุผลของการกระทำ คือ พอตัดสินใจไปก็หาเหตุผลมากมายมาอธิบายว่าที่ตัดสินใจนั้นเพราะอะไร

17. “แนวโน้มลอลลาพาลูซ่าหมายถึงสถานการณ์ที่อคติหลายอย่าง หรืออิทธิพลการทำงานร่วมกันอย่างมีปฏิสัมพันธ์ เพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ผิดเพี้ยน หรือนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก มากกว่าผลรวมของผลกระทบแต่ละอย่าง แต่ละปัจจัย

แนวคิดเหล่านี้มีความสำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะในด้าน เช่น เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จิตวิทยา และกระบวนการตัดสินใจ แนวโน้มเหล่านี้อาจมีอยู่ในตัวเราทุกๆ คน เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ และทำให้การตัดสินใจผิดพลาดน้อยลง เมื่อรู้แล้วก็ขอให้คิดทบทวนไม่ว่าการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรืองานที่ท่านตัดสินใจอยู่นั้นมีเหตุผลเป็นไปได้เพราะเหตุผลเหล่านี้หรือไม่

]]>
1463899
‘VRANDA’ คาดผลประกอบการปี 67 ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังยุติการรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานสิ้นปี 66 พร้อมเติมพอร์ตธุรกิจโรงแรมท้ายปีรับท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง https://positioningmag.com/1461967 Thu, 08 Feb 2024 05:13:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461967 ‘บมจ.วีรันดา รีสอร์ท’ หรือ VRANDA มั่นใจปี 2567 คาดผลประกอบการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังยุติรับรู้ผล    ขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ด้วยการบันทึกด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดเพียงครั้งเดียว (One-time Non-cash) ส่งผลให้ปี 2567 จะไม่ขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานไตรมาสละประมาณ 8 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ด้านธุรกิจหลักโรงแรมขยายตัวต่อเนื่องรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง เตรียมเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในภูเก็ตและส่วนขยายโครงการ รีสอร์ทในสมุย รวมถึงโอนกรรมสิทธิ์โครงการในชะอำและภูเก็ต หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง

นายภวัฒก์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA ผู้นำธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2567 จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเตรียมยุติการรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานแบรนด์ “GRAM Pancakes และ PABLO Cheese tart” ที่ดำเนินการผ่านบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทย่อยที่เป็นเจ้าของสัญญาแฟรนไชส์หลักตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 หลังจากที่พิจารณาปรับแผนการลงทุนในธุรกิจร้านขนมหวาน โดยจะบันทึกด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดเพียงครั้งเดียว (One-time Non-cash) ในไตรมาส 4/2566 ซึ่งจะไม่มีผล  กระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทฯ

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจร้านขนมหวานประมาณ 24 ล้านบาท ซึ่งระหว่างนั้น บริษัทฯได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อการลดขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยนับจากไตรมาส 1/2566 ได้ลดจำนวนสาขา “GRAM Pancakes” และ “PABLO Cheese tart” ก่อนจะบันทึกด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดเพียงครั้งเดียวในไตรมาสที่ 4/2566 ซึ่งจะมีผลทำให้ในแต่ละไตรมาสของปี 2567 หยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนธุรกิจร้านขนมหวานเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 8 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566

โดยก่อนหน้านั้น VRANDA ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งทำธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มและเป็นเจ้าของสัญญาแฟรนไชส์หลักของร้านคาเฟ่และขนมหวานภายใต้แบรนด์ “GRAM Pancake” และ “PABLO Cheese tart” ในช่วงปลายปี 2562 และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งทางทีมผู้บริหารได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้มาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มช่องทางเดลิเวอรี่และขยายสาขาเพื่อครอบคลุมพื้นที่และคิดค้นริเริ่มเมนูใหม่ๆ ให้เข้ากับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ถึงกระนั้นทางเจ้าของแฟรนไชส์หลักที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันได้ปิดสาขาแฟลกชิปหลักในเมืองโอซาก้า ส่งผลกระทบต่อความนิยมของแบรนด์ลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัญหาด้านเงินเฟ้อและราคาต้นทุนของวัตถุดิบที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงส่งผลให้บริษัทฯตัดสินใจยุติการประกอบกิจการในปี 2567 และนำมาสู่การบันทึกด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดเพียงครั้งเดียว (One-time Non-cash) ในไตรมาส 4/2566 ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สื่อสารแก่นักลงทุนเป็นการทั่วไป (Public) ในการนำเสนอข้อมูลผลประกอบการใน Opportunity day ไตรมาส 3/2566 เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566 ไปแล้ว

นายภวัฒก์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่ฟื้นตัวแรง โดยบริษัทฯ มีแผนเปิดให้บริการโรงแรม – รีสอร์ท และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในปีนี้ อาทิ การเปิดให้บริการโรงแรมวีรันดา รีสอร์ท ภูเก็ต, ออโต้กราฟ คอลเลกชัน (Veranda Resort Phuket, Autograph Collection) จำนวน 159 ห้อง และ ส่วนขยาย ร็อคกี้ บูทีค รีสอร์ท – วีรันดา คอลเลกชัน สมุย (Rocky’s Boutique Resort – Veranda Collection Samui) จาก 50 ห้องเป็น 70 ห้อง (+40%) ในไตรมาส 4/2567 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดภูเก็ตและเกาะสมุยเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนการเปิดให้บริการโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้แบรนด์วีรันดาในแห่งอื่นๆ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ในปี 2567 โดยตั้งเป้ารายได้ของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทของปีนี้ที่ 1,300 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15% จากปี 2566

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนโอนกรรมสิทธิ์พูลวิลล่าและวิลล่า ได้แก่ โครงการวีรันดา พูลวิลล่า หัวหิน ชะอำ (Veranda Pool Villas Hua-Hin Cha-am) ซึ่งจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2567 และโครงการวีรันดา วิลล่า แอนด์ สวีท ภูเก็ต (Veranda Villas and Suites Phuket) ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 50% ปัจจุบันได้เริ่มก่อสร้างห้องตัวอย่างแล้ว คาดว่าจะพร้อมให้เข้าชมประมาณ เม.ย. 2567 และคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์เพื่อรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2567 โดยตั้งเป้ารายได้ของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เติบโตกว่า 100% จากปี 2566

]]>
1461967
3 ทริก ตั้งเป้าหมายการลงทุน https://positioningmag.com/1461542 Mon, 05 Feb 2024 06:30:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461542

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในทุกๆ ครั้ง ก่อนที่คุณจะขับรถ หรือเริ่มออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง หรือลงมือทำอะไรสักอย่าง การที่คุณรู้ว่าคุณจะมุ่งหน้าไปที่ไหน หรือทำสิ่งๆ นั้นไปเพื่ออะไร เป็นเรื่องที่สำคัญจริงไหมครับ

เส้นทางของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน

เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ นอกจากจะเซตเป้าหมายชีวิตแล้ว คุณควรเริ่มกำหนดเป้าหมายการลงทุนไปด้วยพร้อมกัน

วันนี้ผมอยากจะพาคุณมาเรียนรู้เรื่องการกำหนดเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนจะเริ่มต้นลงทุน เพื่อให้คุณรู้ว่าควรเตรียมตัวยังไง วางกลยุทธ์แบบไหน เพื่อพิชิตเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะการมีเป้าหมายนั้นสำคัญ

​การกำหนดเป้าหมายจะช่วยให้จิตใจคุณเข้มแข็งขึ้น เพราะคุณจะสามารถเตรียมใจว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างที่รออยู่ข้างหน้า และวางกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อพิชิตเป้าหมายนั้น เมื่อคุณได้เตรียมตัวเตรียมใจและมีความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางแล้ว แม้ในบางครั้งที่คุณอาจจะรู้สึกท้อบ้าง แต่การมองไปที่เป้าหมายและเห็นว่าเราเดินมาไกลแล้ว หรือยิ่งกว่านั้นคือรู้ว่าใกล้จะถึงเส้นชัย มันก็จะช่วยให้คุณมีแรงฮึดสู้ได้ไม่น้อยเลย     ​

การลงทุนก็เช่นกันครับ หากคุณตั้งเป้าหมายไว้ที่การลงทุนระยะยาว คุณก็จะสามารถเตรียมใจรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ พร้อมทั้งเตรียมตัวโดยการเดินหน้า DCA เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้น และมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป

ดังนั้นก่อนจะเริ่มลงทุน เรามาลองตั้งเป้าหมายกันก่อนครับ

การกำหนดเป้าหมายด้วยความเสี่ยง

ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นจากสำรวจระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหวก่อน

เพราะหากคุณกำหนดเป้าหมายไปเลยโดยที่ไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงแบบไหนรออยู่ เมื่อคุณลงทุนได้สักระยะ แล้วต้องเจอกับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าคุณจะรับมือได้ อาจทำให้คุณต้องยอมแพ้และล้มเลิกการลงทุนนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น หากคุณรู้ว่าตัวเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ก็สามารถตั้งเป้าหมายบนระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อจะได้มองหาเส้นทางหรือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม​และไปถึงได้จริง อาทิเช่น

หากคุณรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ลองตั้งเป้าผลตอบแทน 2-5% แล้วลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยๆ อย่างตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร ก็จะทำให้คุณอุ่นใจและไม่เครียดเกินไป

แต่หากคุณคิดว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็สามารถตั้งเป้าผลตอบแทนระดับกลางๆ 5-8% และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นอย่างการลงทุนในกองทุนรวม ที่มีทั้งหุ้น และตราสารหนี้

หากคุณอายุยังน้อยหรือใจถึงมากพอที่จะรับความเสี่ยงได้สูง ผมแนะนำให้ลองตั้งเป้าผลตอบแทนได้มากกว่า 8%  และเลือกสินทรัพย์เสี่ยงได้เต็มที่มากขึ้น อย่างลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้นต่างๆ

กำหนดเป้าหมายด้วยระยะเวลา

อีกวิธีในการกำหนดเป้าหมายคือนำเรื่องของ ‘เวลา’ มาเป็นเกณฑ์ กล่าวคือคุณต้องสำรวจตัวเองว่าต้องการลงทุนเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ จากนั้นจึงตั้งเป้าหมายให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่คุณสามารถทำได้

เช่นหากคุณต้องการลงทุนระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี คุณอาจต้องกลับมามองถึงข้อจำกัดเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาการสร้างผลตอบแทนของสินทรัพย์นั้นๆ ที่จำกัด รวมถึงความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมที่อาจเพิ่มขึ้น

เช่นต้องการลงทุนระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี แต่ไม่อยากรับความเสี่ยงที่สูง ก็อาจคิดมากหน่อยว่าใน 1 ปีนั้นสินทรัพย์ที่เราลงทุนต้องไม่ผันผวนมากนัก ก็ต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น

หรือหากสามารถรับความเสี่ยงได้ก็อาจลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตที่มีความผันผวนของราคาสูง ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นสูงเช่นกัน

หากมีเวลาลงทุนระยะกลาง 1-3 ปี ก็จะมีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ความเสี่ยงต่ำกว่าระยะสั้น มีระยะเวลาสร้างผลตอบแทนมากขึ้น แต่ก็ต้องวางแผนให้รัดกุมเช่นกัน

แต่ถ้าคุณหนักแน่นพอ ควรเลือกการลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว 5 ปีขึ้นไป เพราะจะความเสี่ยงต่ำลง และมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น สามารถปล่อยให้สินทรัพย์ค่อยๆ สร้างผลตอบแทน แต่อย่างว่านะครับ ระหว่างทางจะมีข่าวสารต่างๆ มากระทบจิตใจได้บ้าง ดังนั้นนักลงทุนที่เลือกเส้นทางนี้ต้องมีความหนักแน่นมากทีเดียว

กำหนดเป้าหมายด้วยวัตถุประสงค์การใช้เงิน

การลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง จะทำให้คุณสามารถมองหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านระยะเวลา หรือความเสี่ยง รวมทั้งสามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้เป้าหมายนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้จริงบนระยะเวลาที่มี ดังนั้นสำรวจและถามใจตัวเองไปเลยครับว่าลงทุนครั้งนี้มีไปเพื่ออะไร และคุณจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ บนการลงทุนแบบไหนเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

แน่นอนว่าคุณต้องการรูปแบบการลงทุนที่ค่อนข้างมั่นคงพอที่จะส่งลูกเรียนได้ระยะยาว ก็ต้องมองการลงทุนที่ความเสี่ยงน้อยลงมาหน่อย บนระยะเวลาที่จะต้องใช้เงินก้อนนั้น หรือลงทุนเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ

นอกจากเรื่องระยะเวลาและความเสี่ยง อาจต้องเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้ไวขึ้น เพื่อให้เงินต้นค่อยๆ เติบโต เพียงพอสำหรับอนาคต เมื่อถึงวันที่เราไม่มีรายได้ใหม่เข้ามาเติมพอร์ต

ที่สำคัญต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน และไม่ล้มเลิกกลางคัน หรือเข้าๆ ออกๆ จากตลาด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายแบบใด แต่เป้าหมายต้องมีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับความเป็นจริงและดูสมเหตุสมผล พร้อมกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดลำดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมายได้

เมื่อได้เป้าหมายแล้วเราถึงจะมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสม เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเงินให้พร้อม

และในระหว่างที่ก้าวเดินไปสู่เป้าหมาย อย่าลืมทบทวนตัวเอง ว่าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ

มองเป้าหมายเป็นเส้นชัย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทาง เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นต่อไป

มีเป้าหมายแล้ว กลยุทธ์พร้อม ใจพร้อม คุณทำได้!

ปี 2567 นี้ตั้งเป้าอะไรไว้ และตอนนี้คุณมาได้ไกลแค่ไหน อย่าลืมมาแชร์กันนะครับ

]]>
1461542
อัปเดตตัวอย่างงานที่ชาว Marketing ไม่ใช้ Generative AI ไม่ได้แล้ว https://positioningmag.com/1461478 Mon, 05 Feb 2024 05:46:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461478

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

ที่จริงแล้ว Generative AI มีความสามารถในการช่วยในงานทางการตลาดอย่างมาก แต่เราจะสามารถทำให้เกิดความสำเร็จในงานการตลาดได้โดยการเพิ่มคุณสมบัติและการใช้งานที่เหมาะสมกับงานบางอย่าง นี่คือตัวอย่างที่ชาว Marketing สามารถใช้ Generative AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานแรกงานเกี่ยวกับอีเมลเราสามารถใช้ Generative AI ในการช่วยเขียนอีเมลได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมลโปรโมชั่น เพื่อเรียกลูกค้าให้มาซื้อของกับเรามาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้และผลลัพธ์กันค่ะ

Write short email to promote buy one get one free of new swimsuit collections. Limit time till the end of this month! Need to hurry!”

หรือการทำประกาศว่าแพลตฟอร์มเรามีฟังก์ชันหรือฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ โดนๆ บ้างมาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้และผลลัพธ์กันค่ะ

“Write short email to promote new product features of Buzzebees Reward page. Key features are that it is instant reward redemption page that customer can redeem thousands of rewards and use point to subsidize for payment. With limit time offer, new user can have on-top 10% discount.”

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือเราสามารถให้ Generative AI ช่วยในการสร้างวิดีโอโฆษณาให้เราได้ พิ้งค์ขอยกตัวอย่างการใช้งานจริงที่ใช้ในบริษัทบัซซี่บีส์ โดยที่ให้โจทย์ทางทีมว่าต้องการวิดีโอที่ทำโดย Generative AI ทั้งหมด ทางทีมได้สร้างมาให้สองวิดีโอโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ดังต่อไปนี้ เริ่มการเขียนจุดขายของเราลงไปให้ ChatGPT และ ทำ Storyboard ผ่าน ChatGPT แล้วให้มันเขียนภาษาที่สวยงามน่าสนใจให้เรา หลังจากนั้นก็ใช้ Mid Journey และ Bing AI ในการสร้างภาพนิ่งขึ้นมาจากคำใน Storyboard นั้นๆ จากนั้นก็นำภาพนิ่งไปทำให้เคลื่อนไหวได้โดย Runwayml เป็นแต่ละ Screen จากนั้นก็นำไปประกอบร่างตัดต่อใน Adobe After Effect – Editor เพิ่มเสียงและดนตรีเข้าไป เป็นอันสำเร็จ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับการทำครั้งแรกของทีม

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือให้ Generative AI ช่วยในการทำ SEO โดยที่ Generative AI สามารถวิเคราะห์เป็น SEO Report ให้ได้ว่าจะทำการปรับปรุง Website ให้เป็น SEO Friendly ได้อย่างไร มาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้ และผลลัพธ์กันค่ะ

My website is https://crm.buzzebees.com/ Act as SEO expert to improve website to be more SEO Friendly. Be specific on analyzing the content quality of the top-performing blog posts on my website and provide recommendations for improving any shortcomings and give specific real example from the website.”

อีกบล็อกหนึ่งที่ ChatGPT แนะนำก็คือบล็อก “มือใหม่อยากเปิดธุรกิจร้านอาหารให้อยู่รอดต้องทำอะไรบ้าง” ChatGPT ก็บอกว่าสิ่งที่เจ๋งคือ บล็อกเป็นการเขียนคำถามที่คนทั่วไปมักจะถามซึ่งคนมักจะสืบค้นจากคำพวกนี้อยู่แล้ว ทำให้สืบค้นได้ง่าย ส่วนที่ ChatGPT อยากให้ปรับปรุงคือให้ Link โพสต์นี้ไปยังคอนเทนต์ที่อื่นด้วย โดยสิ่งนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกมีส่วนร่วมแล้วก็มีการเพิ่มเพจวิวเพิ่มขึ้นอีกวิธีก็คือทำให้คอนเทนต์มีรายละเอียดคำแนะนำมากกว่านี้โดยถ้าเป็นไปได้ให้รวมเรื่องของ Case Study แล้วก็ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงดู ทีนี้ลองมาดู ตัวอย่างที่ ChatGPT บอกให้ทำแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องของ “มือใหม่อยากเปิดธุรกิจร้านอาหารให้อยู่รอดต้องทำอะไรบ้าง” ChatGPT บอกว่าให้เพิ่มเนื้อหาที่คนอาจชอบอ่านเช่นการใส่ตารางลงไปหรือการใส่คำถามที่จะทำให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับบทความนี้ได้อย่างลึกซึ้งขึ้น

จะเห็นได้ว่าเราได้วิธีการปรับปรุง การทำให้เว็บไซต์ของเรามี SEO Rank ที่ดีขึ้นโดยได้ไอเดียไปทดลองจาก ChatGPT ทั้งในรูปแบบของการแนะนำเฉพาะเจอะจงตามตัวอย่าง และในรูปแบบของการแนะนำโดยทั่วไปอีกด้วย

จากตัวอย่าง พิ้งค์สั่งให้ ChatGPT เข้าไปตรวจดูเว็บไซต์ของบัซซี่บีส์ ว่าบล็อกที่บัซซี่บีส์ทำนั้น สามารถปรับปรุงให้ SEO ได้คะแนนมากขึ้นอย่างไรที่นี่ ChatGPT ก็แนะนำ โดยนำตัวอย่างบล็อกที่ได้รับการเยี่ยมชมสูงสุดมา

บล็อกแรก ได้แก่การที่บัซซี่บีส์ ได้รับรางวัล Shop Management Service Excellence จาก Tik Tok ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ChatGPT บอกว่า ให้ใช้คำที่ SEO ที่เกี่ยวกับ CRM และ Digital Marketing มากกว่านี้โดยที่ในย่อหน้าถัดไปจะเห็นว่ามันบอกเลยว่าให้ใช้คำอย่างเช่น CRM Excellence Award หรือคำว่า Digital Engagement Corporation หรือคำที่คล้ายๆ กันที่จะทำให้ผู้อ่านทำการสืบค้นจากคำนั้นๆ เป็นจำนวนที่มากขึ้น

อันนี้ก็เป็นตัวอย่าง Prompt และการทำงานบางส่วนเพื่อให้ทุกท่านสามารถนำ Generative AI เข้าไปช่วยทำงานในชีวิตประจำวันได้นะคะ การใช้ Generative AI ช่วยในงานการตลาดไม่ใช่การแทนที่ชาว Marketing แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถเสริมสร้างความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของมนุษย์ในงานการตลาดสวัสดีปีใหม่ค่ะ

]]>
1461478
แบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างชั้นนำกว่า 600 บริษัท ตบเท้าร่วมงานสถาปนิก’67 พร้อมโชว์นวัตกรรมสุดล้ำ https://positioningmag.com/1460553 Mon, 29 Jan 2024 03:58:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460553 นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะออแกไนเซอร์จัดงานสถาปนิก’67 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 36 เปิดเผยว่า สำหรับการจัดงานสถาปนิก’67 ซึ่งจัดภายใต้แนวคิด “Collective Language: สัมผัส สถาปัตย์” ขณะนี้มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างชั้นนำทั้งในและต่างประเทศยืนยันเข้าร่วมจัดแสดงสินค้าภายในงานแล้วกว่า 600 บริษัท อาทิ SCG, MAKITA, JORAKAY, TOSTEM, VG, TOA, PANTAMITR, CONNEXT, DOS, CRISTINA, TAK, BOONTHAVORN, PANEL PLUS เป็นต้น พร้อมนำนวัตกรรมสุดล้ำตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่มาจัดแสดง อาทิ 

  • Mellow – High Pressure Laminate (HPL Anti-fingerprint) จาก บริษัท พาเนล พลัส จำกัด โดยแผ่นลามิเนต พาเนล พลัส “เมลโล่ (Mellow)” เป็นที่สุดแห่งนวัตกรรมตกแต่งบ้านที่มีผิวสัมผัสนุ่มดุจมาร์ชเมลโล่และคุณสมบัติผิวหน้าแมทท์พิเศษ ช่วยป้องกันการเกิดคราบและรอยนิ้วมือ สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ลามิเนตมีความหนา เพียง 1 มิลลิเมตร ทนทานต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทก 

  • Natural Color by SEE JORAKAY จาก บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมีจุดเด่นที่เลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติผสานกับเทคโนโลยีกราฟีนที่ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลาแห้งตัว อีกทั้งไม่มีกลิ่นฉุน และปราศจากสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบคือ ไบโอสเฟียร์ พรีเมียมอีโคสเฟียร์ พรีเมียม และ กราฟคลีน พรีเมียม

  • Gelato Ceramica จาก บริษัท เวิลด์ เซรามิค เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นแบรนด์กระเบื้องและสุขภัณฑ์ที่มีคาแรกเตอร์สดใส ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และก้าวข้ามลิมิตในงานออกแบบวัสดุปูพื้นที่ไม่ลื่น หรือใช้กระเบื้อง anti-slip ที่มีค่า R (slip resistance rating) สูง และเป็นวัสดุที่ดูแลรักษาง่ายตอบโจทย์บ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ กระเบื้อง Gelato Ceramica มาพร้อมคอลเลคชั่นใหม่ ได้แก่ Memphis, Havana, Macaron และ Clay

  • “Timber” Collection – High Pressure Laminate by O2+ (โอทู พลัส) จาก บริษัท ดับเบิ้ลยูจี จำกัด โดย “Timber” ลามิเนตคอลเลคชั่นใหม่จากแบรนด์ O2+ ในกลุ่ม PLAY Collection ที่มาในดีไซน์ที่เรียบ เท่ห์ แต่แฝงไว้ด้วยความสนุกและมีชีวิตชีวา ต่อยอดชิ้นงานออกแบบด้วยผิวสัมผัสลายไม้ที่ผสมผสานกับสีที่ลงตัวพร้อมคุณสมบัติที่ทนทานต่อแรงขูดขีดสูง 

  • DOS DX5 Water Pac PRo SERIES จาก บริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด ซึ่งเป็นถังเก็บน้ำคู่ปั๊มน้ำ อีกทั้งยังคิดค้นนวัตกรรม เพิ่มกรองน้ำบนตัวถัง ตอบโจทย์การใช้งานที่สะอาดปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งานมากที่สุด

สำหรับผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานสถาปนิก’67 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้แล้วที่ www.ArchitectExpo.com

]]>
1460553
กลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าปั้นโมเดลต้นแบบ (Central Tham Zero Waste Model) ด้านการจัดการขยะทุกประเภท ให้ถูกวิธีอย่างครบวงจรทั่วประเทศ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1457900 Mon, 08 Jan 2024 03:46:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457900 ปัญหาการจัดการขยะเป็นความท้าทายทั้งระดับโลกและประเทศไทยที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหลักของขยะตกค้างที่ก่อให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมตามมามากมายโครงการ เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกันทำด้วยใจ โครงการเพื่อความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัล  ตระหนักถึงความสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญด้านการจัดการขยะมาโดยตลอดและได้มีการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้แคมเปญ JOURNEY TO ZERO ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน และการบริหารจัดการขยะมูลฝอย อาทิ โครงการ ศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการขยะและแปรรูปชุมชน จริงใจมาร์เก็ต .เชียงใหม่, โครงการ A Journey to Zero: “Beauty Reborn”, โครงการ Bye Bye e-Waste, โครงการทิ้งดีXรีไซเคิลเดย์สัญจร, ติดตั้งเครื่องผลิตปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์ โครงการ Food Surplus และโครงการ Plastics Only, Please’ (P-O-P) เป็นต้น ด้วยการลงมือทำผ่านการดำเนินโครงการและการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของบริษัทในเครือ ได้แก่  บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด (มหาชน)

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า โครงการเซ็นทรัล ทำ เริ่มต้นด้วยการลงมือทำ ต่อยอดเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันทำ จนกลายเป็น ทำด้วยกัน ทำด้วยใจมุ่งมั่นตามเจตนารมย์ที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สังคม ให้เติบโตและเข้มแข็ง พร้อมด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการทำธุรกิจ และเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการลงพื้นที่ ณ หมู่บ้านคามิคัตสึ (Kamikatsu) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ที่เกาะชินโชกุประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการซึมซับแนวคิด Zero Waste และกระบวนการจัดการขยะที่ทรงประสิทธิภาพและต่อเนื่องอย่างการแยกขยะ ผ่านหลักการพื้นฐานที่ทุกคนทำเริ่มต้นด้วยการ     ลดขยะ (Reduce) โดยการใช้ของอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างรู้คุณค่า การใช้ซ้ำ (Reuse)  และการ         รีไซเคิล (Recycle)  พร้อมนำมาต่อยอดการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และจะเป็นรีเทลแรกๆ ที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ต้นแบบในด้านการจัดการขยะทั่วประเทศ (Central Tham Zero West Model) และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ คน ทุกๆ ภาคส่วน คู่ค้า ลูกค้า จะร่วมด้วยช่วยกันเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยตัวเรา และประเทศไทยจะสามารถปลอดขยะได้ในที่สุด

ตัวอย่างโครงการเด่นด้านการจัดการขยะของกลุ่มเซ็นทรัล

  • โครงการศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการขยะและแปรรูปชุมชน จริงใจมาร์เก็ต .เชียงใหม่ ที่จริงใจมาร์เก็ต คือศูนย์เรียนรู้การจัดการขยะ ที่มุ่งหวังให้เป็นสถานที่เรียนรู้และโมเดลการจัดการขยะเหลือศูนย์ของตลาดจริงใจ  เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ตลาดจริงใจก้าวสู่การเป็นตลาดชุมชนเมืองท่องเที่ยวสีเขียวแบบคาร์บอนต่ำ ภายใต้แนวคิดรักษ์โลก (Eco-Friendly) ด้วยการนำหลักระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การจัดการขยะให้เหลือศูนย์ (Zero waste) และปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) มาเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาตลาดจริงใจ ทั้งนี้ ขยะประเภทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดจริงใจทั้งหมด รวมถึงที่นำมาส่งโดยประชาชนทั่วไป รวมถึงร้านค้าจากภายนอก แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ ขยะอินทรีย์ (70%) ขยะรีไซเคิล (10%) และขยะทั่วไป (20%) ขยะที่จะไม่ถูกนำไปสู่บ่อฝังกลบขยะคือ        ขยะอินทรีย์ และขยะรีไซเคิล (10%) ซึ่งจะถูกนำไปจัดการอย่างถูกวิธี อาทิ ขยะอินทรีย์เข้าสู่เครื่อง T.O.B.Y. วันละ 250 กิโลกรัม สามารถผลิตเป็นก๊าซชีวภาพได้ประมาณ 12.51 กิโลกรัมต่อวัน (ทดแทน LPG 1 ถัง) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 350.28 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อวัน หรือประมาณ 127,852  กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี  ส่วนวัสดุรีไซเคิล ประเภทอื่นๆ เช่น ขวดพลาสติก ขวดแก้ว อลูมิเนียม กระดาษ ที่รวบรวมได้จะนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และบางส่วนอาจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycled แทนการรีไซเคิล เช่น การทำบล็อคปูถนน นำวัสดุทำเฟอนิเจอร์ เป็นต้น  ในส่วนของขยะทั่วไป คือ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เป็นขยะปนเปื้อนเศษอาหาร ขยะกำพร้า (วัสดุไม่สามารถรีไซเคิลได้)  ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ทางตลาดจริงใจ ได้กำลังผลักดันส่งเสริมให้มีการแยกเศษอาหารออกทั้งหมดและล้างภาชนะ บรรจุภัณฑ์ เพื่อที่ขยะส่วนนี้จะลดปริมาณลง และสามารถส่งไปเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) แทนการไปสู่บ่อฟังกลบ และบรรลุเป้าหมายขยะเหลือศูนย์   

ตัวอย่างโครงการเด่นด้านการจัดการขยะของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ (CRC) 

  • ในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น ได้จัด โครงการ ลดการใช้พลาสติกและส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ให้มีการใช้ซ้ำ (Bring Your Own Bag) มอบคะแนนสะสมแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิก The1 ที่นำถุงช้อปปิ้งแบบใช้ซ้ำมาเอง รวมถึงโครงการ A Journey to Zero: “Beauty Reborn” ซึ่งนับเป็นค้าปลีกที่ริเริ่มโครงการนี้ ภายใต้แคมเปญ Central Love The Earth โดยร่วมกับ ECOLIFE ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มรักษ์โลก เชิญชวนลูกค้านำบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้แล้วจากวัสดุพลาสติก โลหะ และแก้ว มาที่จุด  Beauty Waste Separation Corner เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ ด้วยการร่วมแยกผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้แล้วและนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี   เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจุด Beauty Waste ดังกล่าว ทางห้างเซ็นทรัลได้มีการนำร่องที่แผนกบิวตี้ แกเลอรี ชั้น 1 ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นที่แรก ทั้งนี้เรามีแผนที่จะขยายจุด Beauty Waste Separation Corner ในแผนกเครื่องสำอางของ ห้างเซ็นทรัล ทุกสาขา รวมถึงห้างโรบินสัน  เพื่อสานต่อภารกิจรักษ์โลกอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
  • ในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าไอที ได้จัดโครงการ Bye Bye e-Waste จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นไปกำจัด และรีไซเคิลอย่างถูกวิธีตามมาตรฐานสากล

ตัวอย่างโครงการเด่นด้านการจัดการขยะของบริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน)

  • เซ็นทรัลพัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์รีไซเคิลเดย์ จัดตั้งรีไซเคิลสเตชั่นแล้ว 6 สาขา มีสาขาอีสต์วิลล์, ศรีราชา, อยุธยา, ระยอง, ลาดพร้าว และเวสต์วิลล์ ปี 2566 สามารถนำขยะรีไซเคิลเข้าสู่ระบบแล้วกว่า 331 ตัน ลดปริมาณคาร์บอนได้กว่า 677 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับปลูกต้นไม้ไปแล้ว 71,202 ต้น ทั้งยังส่งเสริมให้พนักงานอาคารสำนักงานเซ็นทรัลเวิลด์เปลี่ยนขยะไร้ค่า ให้มีมูลค่า กับ โครงการ ทิ้งดีXรีไซเคิลเดย์สัญจร โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 592 ราย รับขยะรีไซเคิลกว่า 6.7 ตัน ลดปริมาณคาร์บอนได้กว่า 10 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 935 ต้น

ตัวอย่างโครงการเด่นด้านการจัดการขยะของบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด

  • ติดตั้งเครื่องผลิตปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์ (Cowtech) เพื่อบริหารจัดการขยะอาหารบางส่วนและขยะอินทรีย์ต่างๆ แปลงขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพเพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการปรุงอาหาร ส่วนปุ๋ยนำใช้บำรุงต้นไม้ในโรงแรมรวมถึงแจกจ่ายให้กับชุมชน โดยเริ่มดำเนินการติดตั้งเครื่อง Cowtech ในปี 2561ที่เซ็นทรา บาย เซ็นทารามาริสรีสอร์ทจอมเทียนและติดตั้งเพิ่มเติมที่เซ็นทาราแกรนด์ บีชรีสอร์ทแอนด์วิลล่า ภูเก็ต และเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย รวม 3 โรงแรม
  • บริจาคอาหารที่ยังรับประทาน (Surplus Food) ได้ให้กับมูลนิธิ SOS เพื่อประโยชน์ของผู้ที่คลาดแคลน กลุ่มเปราะบางที่มีความต้องการ ผู้ด้อยโอกาสในสถานสงเคราะห์ในพื้นที่ต่างๆ โดยเริ่มโครงการในปี 2560 ปัจจุบันมีโรงแรมในกรุงเทพ ภูเก็ต และหัวหิน เข้าร่วมโครงการจำนวน 8 โรงแรม นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจอาหาร (CRG) ได้เข้าร่วมโครงการบริจาคนำร่องโดยแบรนด์มิสเตอร์ โดนัท จำนวน 23 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ, ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และ เชียงใหม่ นอกจากนี้ ในปี 2565 CRG ยังดำเนินโครงการส่งมอบอาหารคุณภาพดีส่วนเกินจากการจำหน่ายขอมิสเตอร์ โดนัท ให้กับมูลนิธิ วีวี แชร์ ปัจจุบันมีสาขาเข้าร่วมทั้งสิ้น 12 สาขาในสมุทรปราการ พัทยาและเชียงราย
  • สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าในการส่งเสริมการแยกขยะผ่าน โครงการ Plastics Only, Please’ (P-O-P) ที่ต้องการรณรงค์ให้ทุกคนเล็งเห็นถึงความสำคัญและร่วมมือกันจัดการกับปัญหาขยะพลาสติก โดยเริ่มโครงการครั้งแรกในปี 2562 และดำเนินโครงการต่อเนื่องในปี 2566 โดยโรงแรมและรีสอร์ทภายในเครือเซ็นทาราทุกแห่งที่เปิดให้บริการ     จะจัดให้มีถังขยะรูปทรงสัตว์ทะเลน่ารักๆไว้ภายในพื้นที่ของโรงแรม

กลุ่มเซ็นทรัลได้ตระหนักถึงความท้าทายดังกล่าวและมองเห็นว่าปัญหาด้านการจัดการขยะให้ถูกวิธีเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไขเราจะร่วมเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่จะเดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจในทุกภาคส่วนในด้านการใช้ทรัพยากรหรือสินค้าให้เกิดคุณค่าและประสิทธิภาพสูงสุดการหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ไม่รู้จบจะนำมาสู่การแก้ไขวิกฤตปัญหาด้านขยะได้แบบรอบด้านเพื่อขับเคลื่อนและสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

]]>
1457900