Admin – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 Jan 2025 11:10:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ เปิดศักราชปีมะเส็ง ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025 https://positioningmag.com/1505657 Wed, 08 Jan 2025 08:51:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505657 • กลุ่มเดอะมอลล์ ร่วมเผชิญความท้าทายเศรษฐกิจปีมะเส็ง ปลุกมู๊ดกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วย อีเว้นท์ และแคมเปญให้ช้อปสุดคุ้ม ตลอดปี 2568
• ขานรับมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือเงิน 10,000 เฟส 2 สนับสนุนการบริโภคในประเทศ และส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น กระตุ้นกำลังซื้อคนกรุงเทพฯ ปริมณฑล เทศกาลตรุษจีนต่อเนื่องวาเลนไทน์
• ตอกย้ำต้นตำรับประสบการณ์พิเศษ เสริมสิริมงคลเทศกาลตรุษจีน กับการจำลองวิหารเทพเจ้ามังกรเขียวอัครทิพย์วารี พร้อมพิธีอัญเชิญ ‘เทพเจ้ามังกรเขียว’ องค์จำลอง,
เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์และพิธีแก้ชง เสริมดวงชะตา #ตรุษจีนปีมะเส็งเฮงมาหา #เทพเจ้ามังกรเขียว การแสดงเชิดมังกรเรืองแสง และครั้งแรกของการแข่งขันเชิดมังกรเรืองแสงในประเทศไทย
• ปักหมุดรับ 8 ความ ‘เฮง’ ทุกวันสำคัญของเทศกาล จ่าย -ไหว้- เที่ยว เสริมมงคลครบทุกมิติ ทุกมุมเมืองที่ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025 : ปีมะเส็งเฮงมาหา ระหว่าง 13 ม.ค. – 17 ก.พ. 68 และห้างสรรพสินค้า เอ็มโพเรียม, เอ็มสเฟียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ และกูร์เมต์ มาร์เก็ต

กลุ่มเดอะมอลล์ เปิดศักราช ร่วมเผชิญความท้าทายเศรษฐกิจปีมะเส็ง ทุ่มงบ 200 ล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อคนกรุง-ปริมณฑลในเทศกาลตรุษจีน ต่อเนื่องวาเลนไทน์ ขานรับมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 และ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือเงิน 10,000 เฟส 2พร้อมปักหมุด 8 ประสบการณ์ความ ‘เฮง’ ตอกย้ำต้นตำรับพิธีเสริมสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน เชื่อมั่นยุคดิจิทัลกับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่คู่กันและมีแนวโน้มมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

จัดงาน เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025 : ปีมะเส็งเฮงมาหา 13 ม.ค. – 17 ก.พ. 68 กับความ ‘เฮง’ ตั้งแต่วันจ่าย วันไหว้ วันเที่ยว คาดเงินสะพัดตรุษจีนในกลุ่มเดอะมอลล์ 3,500 ล้านบาท เชื่อมั่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ สามารถช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายให้ธุรกิจในช่วงเดือนแรกของปีเติบโต 10 %

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (Miss Voralak Tulaphorn ; Chief Marketing Officer, The Mall Group Co., Ltd.) กล่าวว่า “ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ได้เตรียมจัดงาน เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025 : ปีมะเส็ง เฮงมาหา ซึ่งเป็นแคมเปญแรกของปี 2568 (2025) หรือปีมะเส็ง โดยใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ในการจัดแคมเปญ ทั้งในส่วนของโปรโมชั่นของห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม, เอ็มสเฟียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ตลอดจนกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลสำหรับเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา และเดอะมอลล์ โคราช ให้สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งในส่วน มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือเงิน 10,000 เฟส 2 สนับสนุนการบริโภคในประเทศ โดยทั้ง 2 มาตรการ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้าได้ต่อเนื่องจากเทศกาลปีใหม่ โดยมีลูกค้าที่มีความต้องการใช้จ่ายเพื่อร่วมมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือเงิน 10,000 เฟส 2 ก็น่าจะมีส่วนสนับสนุนให้เกิดเงินสะพัดในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งการใช้จ่ายในการซื้อของไหว้, การให้อั่งเปาลูกหลาน เป็นต้น โดยเชื่อมั่นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ สามารถช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายให้ธุรกิจในช่วงเดือนแรกของปีเติบโต 10 % และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีตัวเลขเติบโตที่ดีในไตรมาสแรกของปี โดยเศรษฐกิจในภาพรวมของปีนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 3.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการที่คาดว่าจะเติบโตราว 4.0% ซึ่งน่าจะมาจากการกระตุ้น การใช้จ่ายและการกระตุ้นการท่องเที่ยวของทุกภาคส่วน

และในฐานะที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ เป็นศูนย์กลางความมหัศจรรย์ที่ดีที่สุดของครอบครัวคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ได้ตอกย้ำแนวคิดสำคัญ ‘มูเตลู มาร์เก็ตติ้ง’ ซึ่งเดอะมอลล์ เป็นรีเทลแรก ต้นตำรับของ การอัญเชิญเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มาให้ประชาชนสักการะ พร้อมวิธีการไหว้ให้ ‘เฮง’ ถูกต้อง การให้บริการชุดเซ่นไหว้ที่ถูกต้องตามประเพณี , กิจกรรมการแสดง, โปรโมชั่น ครบศาสตร์ความสุขทุกวันสำคัญ วันไหว้ – วันจ่าย – วันเที่ยว ตามธรรมเนียมสำคัญของจีน โดยมี 8 ไฮไลท์ ปีมะเส็ง “ เฮงมาหา” ดังนี้

• เฮง มาหาความปัง @เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน เอ็ม ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น 1
เปิดรับความปังกับการเสริมมงคลในปีมะเส็ง กับการจำลองวิหารเทพเจ้ามังกรเขียวอัครทิพย์วารี และอัญเชิญ ‘เทพเจ้ามังกรเขียว’ องค์จำลองจากวัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่) ผ่านการทำพิธีถูกต้อง นำพิธีโดย ดร.คฑา ชินบัญชร นักพยากรณ์และประธานคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย-จีน พร้อมกับอัญเชิญเทพเจ้าที่ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมสักการะในวันตรุษจีนมาให้ประชาชนสักการะขอพรให้คุ้มครองในปีมะเส็งตามความเชื่อ รวมถึงการจัดพิธีแก้ชง สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตาโดยสมาคมเต็กก่า ซึ่งประชาชนสามารถร่วมสักการะได้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค – 2 ก.พ. นี้

• เฮง มาหาความอร่อย @เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ทุกสาขา และ เดอะมอลล์ โคราช
เปิดรับความมงคลกับอาหารอร่อยชั้นเลิศ เสริมพลังรับปีมะเส็ง โดยร่วมกับหอการค้าไทย-จีน ในโอกาสฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย จีน ร่วมคัดสรรร้านอาหารชั้นนำมาให้บริการ ได้แก่ ที่สุดของเมนูจักรพรรดิ ครั้งแรกกับ การออกร้านของ “ร้านซีอานเยี่ยม” สุดยอดร้านอาหาร ต้นตำรับประวัติศาสตร์ 2,000 ปี จากมณฑลส่านซี ประเทศจีน กับเมนูเกี๊ยวซีอาน, เบอร์เกอร์จีน, บะหมี่เปลียง เปลียงเนื้อ, บะหมี่ซุปทองซี่โครงหมู, เนื้อวัวเสียบไม้ และเมนูมงคลจากภัตตาคาร ร้านอาหารเลื่องชื่อชั้นนำกว่า 1,500 เมนู อาทิ ร้านข้าวมันไก่ เฟิงไฉ , ร้านนายเม้ง บะหมี่ปูเกี๊ยวกุ้งยักษ์, ร้านสีลมภัตตาคาร, ร้านฉั่ว บัก ฮง เป็ดพะโล้ท่าดินแดง, ร้านเต้าหู้คลองแงะ, ร้าน เฮียเฮง ขาหมูหนังกริ๊บ by เชฟเฮง เป็นต้น โดยเริ่มอิ่มอร่อยได้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค – 2 ก.พ.

• เฮง มาหาเฮง @เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ทุกสาขา และ เดอะมอลล์ โคราช
เปิดรับความตระการตา กับการแสดงเชิดมังกรเรืองแสง และ ครั้งแรกในประเทศไทยกับการแข่งขันเชิดมังกรเรืองแสง จากกว่า 20 ทีม 2,000 ชีวิต วันที่ 24 – 26 ม.ค. 2568 และพบกับกิจกรรมการประกวด THE MALL LIFESTORE CHINESE NEW YEAR COSTUME CONTEST ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท ในวันที่ 26 ม.ค. ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค และชมการแสดงเชิดสิงโต-มังกร, การโชว์ศิลปวัฒนธรรมจีน วันที่ 24 ม.ค – 2 ก.พ. นี้ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ทุกสาขา และ เดอะมอลล์ โคราช

• เฮง มาหาแรงบันดาลใจกับงานอาร์ตทอย ‘ลูกมังกร’ @เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ
เปิดรับแรงบันดาลใจกับการชมงานประติมากรรม ‘อาร์ตคาแรกเตอร์’ อาณาจักรลูกเทพมังกร 9 องค์ ผลงานการสร้างสรรค์จากคุณนนท์- อภิทรัพย์ ภูผา (Zing Zing The Lion) ศิลปินอาร์ตทอยรุ่นใหม่ ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ พร้อมเกม AR ตามหาลูกมังกร ชิงรางวัลมากมาย ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ, บางแค และงามวงศ์วาน เพลิดเพลินและถ่ายรูปใกล้ชิดกับขบวน Mascot 9 ลูกมังกร ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ทุกสาขา

• เฮง มาหาอั่งเปา รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท
เปิดรับความ ‘เฮง’ กับโปรโมชั่นสุดคุ้มให้ช้อปรับคืนภาษี กับสินค้าแบรนด์ดังลดสูงสุด 70% ภายในห้างสรรพสินค้า โดยสมาชิก M Card และลูกค้าบัตรเครดิต BANGKOK BANK M VISA ทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ รับคืนรวมสูงสุด 7,600 บาท และเมื่อช้อปฯ ครบตามกำหนด รับอั่งเปา รวมสูงสุด 1,600 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค – 6 ก.พ. 68 และตั้งแต่ 29 ม.ค. – 2 ก.พ. 68 ช้อปฯ 1,500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ รับฟรี เซ็ทซองอั่งเปา “มะเส็งเฮงรับโชค” พิเศษ ! วันตรุษจีน 29 ม.ค. 68 สมาชิกบัตร M Card ใช้คะแนนสะสม 9, 99 และ 999 M Point แลกรับอั่งเปา สูงสุด 300 บาท ผ่าน M Card Application

นอกจากนี้ เมื่อช้อปฯ ภายในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ “ปีมะเส็งเฮงมาหา รับมั่งคั่งทั่วหน้า” ช้อปผ่านบัตรเครดิต BANGKOK BANK M VISA ช้อปในศูนย์ฯ 6,000 บาทขึ้นไป รับ CASH COUPON 1,000 บาท พิเศษสุด 24 ม.ค. 68 – 2 ก.พ. 68 ช้อปในศูนย์ฯ 20,000 บาทขึ้นไป รับทองคำแผ่น 1 สลึง มูลค่า 12,500 บาท (จำกัด 40 ท่านแรก), สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ แลก 90 SMILE POINTS รับ CASH COUPON 300 บาท, สมาชิก M Card ช้อปฯ ครบ 1,500 บาทขึ้นไป รับฟรี ! เซ็ทซองอั่งเปา JOY•LUCK•LOVE , ครบ 3,000 บาทขึ้นไป รับ Lucky Bag กระเป๋ามงคลรับเฮง พิเศษ ! ฉลองตรุษจีน 25 ม.ค. – 2 ก.พ. 68 จับลูกเทพ “มังกรเขียว” ครบ 3 องค์ รับเลย!!! E-Coupon 100 บาท* จากร้านอาหารที่ร่วมรายการ และสนุกกับจุดถ่ายภาพ AR SNAP PHOTO ลูกเทพมังกรพร้อมคำอวยพร กับกิจกรรม AR HUNT ลูกเทพมังกร 9 องค์

• เฮง มาหาชุดไหว้มหามงคลและของอร่อย @กูร์เมต์มาร์เก็ต & กูร์เมต์ อีทส์ ทุกสาขา
เปิดรับมงคลกับชุดไหว้และเมนูมงคล จากกูร์เมต์ มาร์เก็ต และกูร์เมต์ อีทส์ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเจนด้วย 7 ชุดไหว้เสริมมงคล ในคอนเซ็ปต์ “โชคลาภหลั่งไหล กับความรุ่งเรืองไม่หยุดยั้ง” ประกอบด้วย ชุดไหว้ร่ำรวยรุ่งโรจน์, ชุดซาแซมหาเฮง, ชุดไหว้สมบูรณ์พูนสุข, ชุดไหว้ทันใจ, ซีฟู้ดบารมีเศรษฐีเงินล้าน, ชุดไหว้รุ่งเรืองเฟื่องฟู, ชุดไหว้ซาแซมหาทรัพย์ พร้อมโปรมหาเฮง สำหรับสมาชิก M Card อาทิ รับฟรี M Cash Coupon, ปฏิทินจีนมงคล, ผ้าพันคอลายมงคล และองค์เจ้าแม่กวนอิม ปลุกเสกจากวัดทิพยวารี เมื่อซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไข ที่กำหนด รวมถึงอิ่มอร่อยกับเมนูมงคลจาก กูร์เมต์ อีทส์ “ปีมะเส็ง มหาเฮง อร่อยทุกจาน โดนทุกเจน” ตั้งแต่ 16 – 31 ม.ค. 68

• เฮงมาหาฟิน
เปิดรับความ ‘ฟิน’ กับศิลปิน นักร้อง กับการแสดงพิเศษ โดยวันที่ 24 ม.ค. เวลา 16.00 น. กับการเริ่มต้นเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน กับศิลปิน กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์” ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค, วันที่ 24 ม.ค. เวลา 16.00 น. พบกับ ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และที่เดอะมอลล์ โคราช พบกับศิลปิน “ต้าห์อู๋” ที่จะมาพร้อมกับโชว์สุดพิเศษ วันที่ 1 ก.พ. เวลา 16.00 น.

• เฮง มหาศาล @เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน
เปิดรับโชคลาภ บารมี กับเทคนิคการตั้งโต๊ะไหว้เจ้า – บรรพบุรุษ รับความเฮงๆ ปังๆ ปีมะเส็ง โดย ดร.คฑา ชินบัญชร ในวันที่ 24 ม.ค. 68

โดยทั้งหมด คือ กิจกรรมและโปรโมชั่นในแคมเปญ JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025 : ปีมะเส็ง เฮงมาหา ซึ่งเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดขึ้นต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งคาดว่า มาตรการภาครัฐ Easy E-Receipt 2568 และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือเงิน 10,000 เฟส 2 จะช่วยกระตุ้นให้มีการออกมาใช้จ่ายในเทศกาลเพิ่มขึ้น ลูกค้าสามารถรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริง สูงสุด 50,000 บาท คืนภาษีให้นักช้อปสูงสุด 17,500 บาท พิเศษสำหรับสมาชิกบัตร M Card และบัตรเครดิต BANGKOK BANK M VISA เมื่อช้อปภายในห้างฯและศูนย์ฯ ที่ เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา และห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, เอ็มสเฟียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ รับเพิ่ม E Coupon รวมสูงสุด 1,000 บาท เมื่อแสดง E-RECEIPT ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568

]]>
1505657
ชมมนต์ขลังคริสต์มาสยุโรป! ท่องไปในดินแดน The Christmas Factory สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ห้างรีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ในอิตาลี https://positioningmag.com/1502931 Wed, 11 Dec 2024 09:36:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502931 คริสต์มาสถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลส่งท้ายปีที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอย ยิ่งหากได้ไปเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่ยุโรป ดินแดนต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ก็คงจะรู้สึกฟินไม่น้อย วันนี้เซ็นทรัล รีเทล ชวนทุกคนบินลัดฟ้าออกเดินทางไปยังอิตาลี ประเทศที่นอกจากจะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่น่าค้นหาแล้ว ยังเป็นหนึ่งในเมืองเช็กลิสต์ที่ใคร ๆ ก็อยากมาสัมผัสบรรยากาศคริสต์มาสกันสักครั้ง

มาเยือนอิตาลีทั้งทีหนึ่งในเช็กลิสต์ที่ต้องไม่พลาดคือ รีนาเชนเต (Rinascente) ห้างสรรพสินค้าลักชัวรีชื่อดังในเครือเซ็นทรัล รีเทล ที่มีทั้งหมด 9 สาขา ณ ใจกลางเมืองสำคัญของอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น มิลาน, โรม เวีย เดล ตริโตเน, โรม เปียซซาฟิอุเม, ตูริน, ฟลอเรนซ์, คัลยารี, ปาแลร์โม, กาตาเนีย และ มอนซา ซึ่งในช่วงคริสต์มาสนี้ ห้างรีนาเชนเตได้ตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Christmas Factory” ที่ชวนให้เหล่านักช้อปได้ท่องไปในบรรยากาศคริสต์มาสชวนฝันพร้อมสารพัดกิจกรรมพิเศษ และยังมีสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จำหน่ายเฉพาะในช่วงเทศกาล เพื่อมอบประสบการณ์คริสต์มาสแบบจัดเต็มสำหรับนักช้อป!

ตระการตากับ Brand Takeover เนรมิตทั้งภายนอกและภายในห้างเป็นแลนด์มาร์กสุดไอคอนนิก

ตื่นตาตื่นใจไปกับ Brand Takeover ของแบรนด์พาร์ทเนอร์ระดับโลกที่มาตกแต่งอาคารของห้างและ Window Display ตามธีมของแบรนด์ อาทิ Dior ที่เนรมิตห้างรีนาเชนเต สาขามิลาน ให้เปล่งประกายด้วยธีมสีทอง ในคอนเซ็ปต์ “Ball of Dreams” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความหรูหราของพระราชวังแวร์ซายส์ รวมถึงแบรนด์ชั้นนำอีกมากมายที่มาร่วมเนรมิตห้างรีนาเชนเตสาขาอื่น ๆ ให้สวยงามโดดเด่นเหนือใคร

นอกจากนี้ภายในห้างรีนาเชนเตยังได้ใช้ 5 สีหลัก คือ สีเขียว แดง ทอง เงิน และขาว มาตกแต่งเพื่อเพิ่มกลิ่นอายความเฟสทีฟ และที่ขาดไม่ได้สำหรับการฉลองคริสต์มาสสุดคลาสสิก คือ ฉากถ้ำพระกุมารเยซู โดยในปีนี้
รีนาเชนเตได้ยกถนน Via San Gregorio Armeno ย่านงานฝีมือเลื่องชื่อของ Naples มาไว้ในห้าง พร้อมร่วมมือกับสตูดิโอระดับตำนานมาเนรมิตงานศิลป์สุดล้ำค่าให้ทุกคนได้ถ่ายภาพความประทับใจ

Photo by www.vittoriolafata.it

เพลิดเพลินไปกับคอลเลกชันของสะสม และของตกแต่งคริสต์มาสสุดพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำ

ในปีนี้รีนาเชนเตได้นำ “Christmas Village” คอลเลกชันพิเศษจาก LEMAX แบรนด์ของสะสมที่มีชื่อเสียงจากอเมริกามาให้เหล่าสาวกได้ซื้อสะสมให้ครบเซต นอกจากนี้ยังมีตุ๊กตาไม้นัทแครกเกอร์ที่แกะสลักอย่างประณีต ตลอดจนของตกแต่งสุดอลังการที่ขนมาให้ช้อปกันแบบจุใจ อาทิ ลูกแก้วหิมะ กล่องดนตรี ตุ๊กตาซานตาคลอส และถุงเท้าคริสต์มาส จากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ที่จะมาสร้างคริสต์มาสในฝันให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ลิ้มรสชาติแห่งการเฉลิมฉลองด้วยขบวนอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่มชั้นเลิศ

เสริมบรรยากาศคริสต์มาสให้เต็มอิ่มยิ่งขึ้นด้วยป๊อปอัพโซน ‘Food Gifts’ ของขวัญที่ทั้งสวยและอร่อย อาทิ ปาเน็ตโทนและแพนโดโร เค้กสไตล์อิตาเลียนที่มีให้เลือกทั้งรสชาติดั้งเดิมหรือรสพิเศษที่ผลิตโดยแบรนด์ชั้นนำ อาทิ De Vivo, Fiasconaro (บรรจุในกล่องที่ออกแบบพิเศษโดย Dolce&Gabbana) ทั้งยังมีปาเน็ตโทนรสช็อกโกแลตสุดพรีเมียมวางจำหน่ายเฉพาะที่รีนาเชนเตเท่านั้น พร้อมขบวนเครื่องดื่มระดับพรีเมียมจากแบรนด์ขึ้นชื่อทั้ง Moët & Chandon, Dom Pérignon และอีกมากมายที่คัดสรรมาเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะ

ห้ามพลาด! มาร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งคริสต์มาสและประทับใจไปกับ The Christmas Factory ที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ทั้ง 9 สาขา ใน 8 เมือง

พิเศษสุด! สำหรับลูกค้าชาวไทย และสมาชิก The 1 เมื่อช้อปปิ้งสินค้าที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ทุกการใช้จ่าย 1 ยูโร สะสมได้ 1 คะแนน The 1 Points พร้อมส่วนลด 10% พร้อมทั้งบริการ Rinascente On Demand แชทตรงกับผู้ช่วยช้อปส่วนตัวชาวอิตาลีเพื่อฉลองคริสต์มาสก่อนใครได้ที่ Line: @RinascenteOnDemand หรือที่เว็บไซต์ rinascente.it

]]>
1502931
7 สิ่งที่ควรคำนึงถึง เพื่อเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งผ่านข้อมูล https://positioningmag.com/1501951 Wed, 04 Dec 2024 03:47:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501951

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด

พิ้งค์ได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายที่เรียกว่าสุดคูล จากศาสตราจารย์ Amir Goldberg เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลและการเรียนรู้ของ Machine Learning (ML) ในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างความเข้าใจในตัวลูกค้า ที่ Stanford Business School มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก วันนี้พิ้งค์เลยอยากจะแชร์เนื้อหาจากบรรยายนี้ให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลและนวัตกรรมในธุรกิจ

Stanford Business School (ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.gsb.stanford.edu)

1. ภาวะผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการเรียนรู้ของ ML

ศาสตราจารย์ Amir Goldberg เริ่มต้นด้วยการเน้นถึงความสำคัญของภาวะผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยอธิบายว่าถึงแม้ว่าอัลกอริทึมของการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) จะสามารถทำนายแนวโน้มได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดนั้นยังคงต้องอาศัยการตัดสินใจของมนุษย์ ผู้นำที่ใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องเข้าใจว่า ML ทำอะไรได้และทำไม่ได้ และต้องมีความสามารถในการตั้งคำถามที่ถูกต้อง ตีความการทำนายของเครื่องจักร และตัดสินใจอย่างรอบคอบจากข้อมูลที่ได้มา

 ศาสตราจารย์ Amir Goldberg (ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.utsc.utoronto.ca)

Machine Learning (ML) เป็นเทคโนโลยีหนึ่งในสาขาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้จากข้อมูลและทำการตัดสินใจหรือทำนายได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกตั้งโปรแกรมอย่างเฉพาะเจาะจงทุกขั้นตอน

หลักการพื้นฐานของ ML คือการ “ฝึก” คอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลจำนวนมาก จากนั้นให้คอมพิวเตอร์ใช้ข้อมูลนั้นเพื่อเรียนรู้รูปแบบและลักษณะต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การแนะนำสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การรู้จำใบหน้าในรูปภาพ หรือการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด

2. บทบาทของการทำนายธุรกิจ 

จุดแข็งของ ML อยู่ที่ความสามารถในการทำนายจากข้อมูลที่มีอยู่ เช่น ในช่วงโควิด-19 บริษัทต่างๆ อย่าง Target และ Kaiser Permanente ใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า Target ใช้ข้อมูลการซื้อของลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่ Kaiser Permanente ใช้การรู้จำภาพเพื่อวินิจฉัยผิวหนังจากรูปถ่ายที่ผู้ป่วยอัปโหลด ซึ่งแม้ว่า AI จะช่วยทำนายได้ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญ พิ้งค์ขอให้ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ML ของการที่ Target ใช้ข้อมูลการซื้อของลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ กับ ML ของ Kaiser Permanente ใช้การรู้จำภาพเพื่อวินิจฉัยผิวหนังจากรูปถ่ายที่ผู้ป่วยอัปโหลด อันไหนน่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่ากัน

Target ประสบปัญหาการใช้ ML ซึ่งคือข้อมูลระหว่างโควิด และก่อนโควิดทำนายพฤติกรรมหลังโควิด ทำให้มีตัวแปรแปลกๆ ในสมการ เช่น การซื้อเจลฆ่าเชื้อโรค หรือซื้อเสื้อใส่อยู่บ้าน ในขณะที่ปกติผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของเหล่านั้น แต่หลังจากสถานการณ์ปกติ ML ก็ทำการปรับข้อมูล และทำงานได้ดีขึ้น

The doctor signs a document approving the patient’s treatment. medical concept. medical treatment concept.

ส่วน Kaiser Permanente ความท้าทายคือ ML ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และป้อนข้อมูลกลับไปยัง ML ตลอดเวลา เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ดีขึ้น หรือภาพข้อมูลบางอย่างอาจเป็นโรคที่ต้องการอาศัยการวินิจฉัยประกอบกับการซักถามคนไข้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังคงมีบทบาทสำคัญในการวิเคาระห์ข้อมูลอยู่ และใช้ ML เพื่อประกอบการตัดสินใจเท่านั้น

3. การนำ ML ไปใช้ในบริบทธุรกิจต่างๆ 

ยกตัวอย่าง 3 กรณีที่ ML มีประโยชน์มากเป็นพิเศษ ได้แก่

ข้อมูลหลายมิติ เช่น การทำนายความชอบของเพลงหรือลักษณะการซื้อของลูกค้า ML สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและหาแบบแผนที่มนุษย์อาจมองข้าม

การปรับแต่งเฉพาะบุคคล ML ช่วยตรวจจับปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อผู้ใช้ เช่นในกรณีของยารักษาโรคเฉพาะบุคคล

เหตุผลที่ไม่ทราบ ML มีบทบาทมากเมื่อไม่สามารถเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างชัดเจน

4. กรณีศึกษา Netflix กับการพลิกโฉมวงการบันเทิง 

ความสำเร็จของ Netflix ที่ใช้ข้อมูลในการแนะนำภาพยนตร์และขยายไปสู่การสตรีมมิ่ง โดย Netflix ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนาเนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มผู้ชม เช่น ซีรีส์ House of Cards ซึ่งจากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่พบว่าผู้บริโภคมีความชื่นชอบซีรีส์ ประเภทการเมือง ซึ่งมองไม่เห็นในเทรนด์ขนาดใหญ่มาก่อน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งทำให้ Netflix อัปเกรด ซีรีส์ ของตัวเอง และกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบันเทิง ขณะที่ Blockbuster พลาดโอกาสนี้เพราะไม่ได้ปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค

5. ความแตกต่างและนวัตกรรมในธุรกิจ 

บริษัทบางบริษัทก็มีความ “ไม่เหมือนใคร” ในบริษัทที่มีผู้นำที่ทำในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น เช่น Tesla ที่มี Elon Musk ผู้นำที่ท้าทายการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินศักยภาพบริษัทผิดไปในบางครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของภาพลักษณ์ต่อการประเมินทางการเงิน สะท้อนในผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ซึ่งทำให้หุ้นของ Tesla ขึ้นไปวันเดียว มากกว่า 20%

6. ความท้าทายในการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบ 

การมีข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อได้เปรียบ หากใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การใช้บริการ Drive-Up ของ Target ที่ใช้ข้อมูลลูกค้าในการปรับปรุงกระบวนการสั่งซื้อและส่งมอบสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สิ่งที่ Target ค้นพบคือลูกค้ามีการสั่งสินค้าจำนวนมาก แต่สุดท้ายไม่ได้จ่ายเงิน หรือไม่ได้เอาสินค้ากลับไปหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลก็พบว่า ลูกค้ามีพฤติกรรมการสั่งสินค้าขนาดใหญ่ และเมื่อนำรถมารับสินค้าก็ ไม่สามารถบรรทุกสินค้าชนิดนั้น เช่น โซฟา หรือตู้เก็บของขึ้นรถได้ ทำให้ต้องละทิ้งสินค้าเหล่านั้น และไม่ได้จ่ายเงิน Target จึงปรับข้อมูลในการขายให้มีเฉพาะสินค้าที่สามารถรับขึ้นรถได้เท่านั้น ส่วนสินค้าขนาดใหญ่ ก็ให้ใช้บริการจัดส่งแทน

ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.leahingram.com

บริการ Drive Up ของ Target เป็นบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Target และรับสินค้าที่สั่งได้โดยไม่ต้องลงจากรถ เมื่อสั่งซื้อสินค้าและเลือกตัวเลือก Drive Up ในแอป ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อสินค้าพร้อมรับ จากนั้น ลูกค้าสามารถขับรถไปยังพื้นที่จอดรถที่กำหนดสำหรับ Drive Up ที่ร้าน Target สาขาที่เลือก เมื่อมาถึง ให้กดปุ่ม “I’m here” ในแอป พนักงานของ Target จะนำสินค้ามาส่งถึงรถของคุณภายในไม่กี่นาที

 7. อนาคตของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล 

ปิดท้ายด้วยมุมมองที่มองไปข้างหน้าโดยเน้นว่าเมื่อการประมวลผลถูกลง ธุรกิจต้องคิดอย่างจริงจังว่าจะใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร การปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆ ของธุรกิจให้เป็นข้อมูลที่เครื่องจักรเข้าใจได้ และการใช้ข้อมูลเพื่อคิดค้นนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดในอนาคต

พิ้งค์เลยอยากมาสรุปหลักการให้เป็นกรอบแนวคิดในการใช้ข้อมูล เพื่อนำเสนอวิธีการใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า ตั้งแต่การใช้ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ไปจนถึงกรณีศึกษาที่เห็นภาพอย่าง Netflix เน้นให้เห็นว่าความสำเร็จในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นต้องการมากกว่าแค่การมีข้อมูล แต่ยังรวมถึงความสามารถในการแปลงข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง

]]>
1501951
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 3) https://positioningmag.com/1496388 Wed, 30 Oct 2024 07:38:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496388

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ตอนที่ผ่านๆ มาผมได้ฉายภาพคุณสมบัติของ ETF (Exchange Traded Fund) หลักการลงทุนและประเภทของ ETF ที่มีหลากหลายและแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงชี้เป้าวิธีการศึกษาหาข้อมูล ETF

เพราะ ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีจำนวนกองเปิดใหม่ที่มากขึ้นทุกๆ ปี และหลายๆ ETF มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีนับร้อยนับพัน ใช้ดัชนีอ้างอิงที่แตกต่างกัน แต่ก็มี ETF หลายสิบหลายร้อยกองที่ใช้ดัชนีอ้างอิงเดียวกัน และมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน แต่ผลตอบแทนและความผันผวนของ ETF ไม่เท่ากัน

แล้วคุณจะเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุดได้อย่างไร หากคุณยังมีความรู้ความเข้าใจไม่มากพอ…

บทความนี้ ผมจะพาคุณไปส่องวิธีการเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ซึ่งไม่มีเกณฑ์อะไรยากและซับซ้อน ขอเพียงคุณทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน

เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะสามารถใช้วิธีการเพื่อนำมาเปรียบเทียบและคัดเลือก ETF ที่อยู่กลุ่มหรือประเภทเดียวกัน เพื่อเฟ้นหา ETF ตรงใจคุณมากที่สุด

วิธีการคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุน

แต่ละคนมีความต้องการ ระดับความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกัน ก่อนจะคัดเลือก ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน คุณควรรู้จักตัวเองก่อนว่า คุณสามารถและเต็มใจรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

หากคุณรับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่ต้องการขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก คุณควรเลือก ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond ETF ที่สำคัญ คือ ตราสารหนี้และพันธบัตรควรมีความน่าเชื่อถือสูง อยู่ในกลุ่มระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ผ่านการจัดอันดับ Credit Rating จาก Fitch S&P และ Moody’s หมายถึง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำนั่นเอง โดยให้น้ำหนักการลงทุนตั้งแต่ 80-100% ในพอร์ต

หากคุณรับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เงินลงทุนบางส่วนลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นได้ คุณสามารถเลือก Bond ETF ผสมกับ ETF ที่ลงทุนในหุ้น (Equity ETF) สัดส่วนผสมกันระหว่าง 40-60% ในพอร์ต ถ้าไม่ต้องการความผันผวนสูง คุณเลือก ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น (Stock Market ETF) เพื่อกระจายความเสี่ยงในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม

หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูง จากมูลค่าสินทรัพย์ที่เติบโต รวมทั้งยินดีรับความผันผวนขาลงระยะสั้น คุณสามารถเลือก Equity ETF ในสัดส่วนได้ตั้งแต่ 80-100% โดยจะเป็น Stock Market ETF หรือ ETF ที่ลงทุนในรายอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ (Sector ETF) หรือ ETF ที่ลงทุนในธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตระยะยาว (Thematic ETF) รวมไปถึงเลือก ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF) หากรับความเสี่ยงได้สูงมาก หรือกระจายความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยใน Bond ETF เพื่อบรรเทาความผันผวนในช่วงขาลงของตลาดหุ้นได้

เมื่อคุณรู้จักระดับความสามารถ (Ability) และความเต็มใจ (Willingness) ในการรับความเสี่ยงจากการลงทุน ต่อมาคือ วิธีการเฟ้นหา ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน ตามความเสี่ยงและผลตอบแทนคาดหวัง

ยิ่งคุณเจอ ETF หลายๆ กองที่ลงทุนในสินทรัพย์หรือมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน จะเฟ้นหา ETF ไหนมาจัดพอร์ตดี คุณสามารถคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด โดยพิจารณาจาก 4 เกณฑ์ ดังนี้

เกณฑ์ที่ 1 มูลค่า AUM ที่สูง

ETF ที่มีความแข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือ นอกเหนือจากพิจารณาที่บริษัทจัดการลงทุนแล้ว มูลค่า AUM (Assets Under Management) หรือมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (หรือ Net Asset) มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมูลค่า AUM ที่สูงมากพอ สะท้อนว่า โอกาสที่ ETF จะบริหารกองหรือสร้างผลตอบแทนเติบโตมีสูง เพราะมีกระแสเงินทุนมากพอที่จะลงทุนตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด แล้วมาเปรียบเทียบกันได้

เกณฑ์ที่ 2 ค่า Total Expense Ratio ที่ต่ำ

ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของ ETF เป็นอีกเกณฑ์ที่มีสำคัญ ยิ่งถ้าคุณสนใจ Passive ETF เน้นให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนทำเพียงแค่ลงทุนตามดัชนี ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย ค่า Total Expense Ratio จะไม่สูงอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปรับขึ้นกัน เพราะต้องแข่งขันกับ ETF ประเภทเดียวกันด้วย

แต่ถ้าเป็น Active ETF เน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนต้องคอยติดตามภาวะตลาดและปรับพอร์ตตลอดเวลา ค่า Total Expense Ratio จะสูงกว่า

เหตุผลคือ ค่า Total Expense Ratio ที่สูงจะมีส่งผลต่อผลตอบแทนที่ ETF นั้นทำได้ ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าดัชนีอ้างอิงหรือไม่สามารถชนะดัชนีอ้างอิงได้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด เพิ่มส่วนค่า Total Expense Ratio เพิ่มเติม แล้วเลือก ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด

เกณฑ์ที่ 3 ค่า Tracking Error ที่ต่ำ

ค่า Tracking Error สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ ETF และผู้จัดการกองทุนได้ว่า ผลตอบแทนที่ทำได้ในแต่ละเดือน ไตรมาส และปี ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงหรือไม่ เหมือนเป็นค่าความคลาดเคลื่อน ETF ที่มีค่า Tracking Error ต่ำ ย่อมดีกว่า ETF ที่มีค่า Tracking Error สูงอย่างแน่นอน

ค่า Tracking Error นี้จะใช้วัด Passive ETF เพราะมีหลักการให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง แต่จะใช้วัด Active ETF ไม่ได้ ค่าความคลาดเคลื่อนจะสูงอยู่แล้ว เพราะมุ่งทำผลตอบแทนให้ชนะดัชนีอ้างอิง

หากคุณต้องการให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด นอกจาก 2 เกณฑ์แรกแล้ว ค่า Tracking Error ของ ETF ควรต่ำด้วยเช่นกัน

เกณฑ์ที่ 4 ค่าความเสี่ยงต่างๆ

ปกติแล้ว ETF จะทำ Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ที่จะระบุข้อมูลส่วนสรุปของ ETF นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลงทุน ดัชนีอ้างอิง ค่า Total Expense Ratio ผลตอบแทน และบริษัทที่ลงทุน รวมไปถึงแสดงค่าสถิติอื่นๆ ที่ระบุถึงความเสี่ยง ความผันผวน รวมไปถึงค่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่คุณสามารถพิจารณาได้

ค่าแรก คือ Standard Deviation (SD หรือ Volatility) เป็นค่าสถิติตัวแรกที่วัดความผันผวนของ ETF ค่ายิ่งสูง หมายถึงความผันผวนสูง ยิ่งต่ำ หมายถึงความผันผวนต่ำ มักจะเอามาคำนวณต่อในค่าสถิติอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง (หรือความผันผวน)

นอกจากนี้ยังมีค่า Sharpe Ratio ใช้วัดความสามารถในการบริหาร ETF และดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ควรมีค่ามากกว่า 1 หมายถึงทำผลตอบแทนได้มากกว่าความเสี่ยงนั่นเอง คุณจะได้รู้ว่า ความเสี่ยงนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดหวังหรือไม่ โดยทั่วไป Passive ETF เปรียบเทียบค่า Sharpe Ratio ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนค่า Sortino Ratio ที่ใช้เฉพาะความผันผวนขาลงมาคำนวณ วัดความสามารถในการบริหาร ETF เหมือนกัน โดยดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ค่ายิ่งสูง ยิ่งดี แต่มักใช้วัดประสิทธิภาพของ Active ETF ที่มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง

โดยปกติคุณสามารถดูค่า SD ค่า Sharpe Ratio และค่า Sortino Ratio ครบในที่เดียวได้จาก Morningstar เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่เฟ้นหาข้อมูลพื้นฐานของ ETF โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

หากคุณต้องการรู้จัก ETF นั้นมากขึ้นไปอีก ลองเข้าไปอ่าน 10 หุ้นแรกที่ ETF นั้นลงทุน ว่าตรงตามเป้าหมายของคุณหรือไม่ โดยเฉพาะ Thematic ETF ที่ไม่มีกฎตายตัวในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตลงทุน วัดแค่ว่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจตามธีมที่ ETF กำหนดนโยบายไว้

นี่คือ 4 เกณฑ์วิธีการคัดเลือก ETF อย่างง่ายๆ เพื่อคุณสามารถมั่นใจได้ว่า ETF ที่เฟ้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาแล้วนั้น เป็น ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพิจาณาจากมูลค่า AUM ค่า Total Expense Ratio ค่า Tracking Error และค่าความเสี่ยงต่างๆ และเริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุนได้อย่างสบายใจ เพราะคุณรู้จัก ETF นั้นอย่างรอบด้าน

เมื่อคุณเข้าใจถึงวิธีการคัดเลือก ETF และเริ่มสนใจอยากหาโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF  ผมได้รวบรวมช่องทางลงทุนให้คุณแล้ว

โอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF

เทรนด์การลงทุนปัจจุบัน นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มสนใจจัดพอร์ตลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเห็นโอกาสเติบโต เพราะ ETF ต่างประเทศมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย และบางกองลงทุนในธีมธุรกิจที่ไม่มีในไทย

ในสายตาหลายๆ คน พอพูดถึง ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เงินลงทุนเยอะ หากจะลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้นักลงทุนหลายคนถอดใจที่จะเริ่มต้น

จริงๆ แล้ว โอกาสลงทุนต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด และด้วยเทคโนโลยีช่วยให้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก โดยเฉพาะลงทุนผ่าน ETF อีกทั้งยังได้กระจายความเสี่ยงลงทุนในอุตสาหกรรมและธีมธุรกิจที่น่าสนใจ ด้วย ETF เพียงกองเดียว

นอกจากนี้ ETF เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก มีความหลากหลายในแง่ของสินทรัพย์ อุตสาหกรรม และธีมธุรกิจต่างๆ จึงดีงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างมหาศาลจากนักลงทุนทั่วโลก

ผมได้รวบรวมวิธีการ ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF ทั้งทางตรงและทางอ้อม มาให้คุณลองพิจารณาดู พร้อมทั้งจำแนกข้อดีและข้อด้อย เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกช่องทางลงทุนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด 3 วิธีด้วยกัน

วิธีที่ 1 ลงทุนผ่านกองทุนรวม

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund – FIF) เป็นทางเลือกแรกของการลงทุน ETF ต่างประเทศ เพราะเข้าถึงง่ายที่สุด ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก และซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ

ปัจจุบัน FIF เปิดกองใหม่ๆ มีทางเลือกให้กับคุณเยอะมาก โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ และ ETF หลากหลายประเภท โดยเป็นการลงทุนทางอ้อม มี 2 รูปแบบ คือ Feeder Fund (ลงทุนกองเดียว) และ Fund of Funds (ลงทุนหลายกอง)

อย่างไรก็ตาม FIF ไม่ได้จำกัดเฉพาะการลงทุนในรูปแบบกองทุน และ ETF เท่านั้น แต่สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ เช่น จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้และหุ้นโดยตรง ดังนั้นคุณควรอ่านศึกษานโยบายการลงทุนของ FIF นั้นๆ ให้เข้าใจก่อนที่จะลงทุน

จุดเด่น

  • ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก เพื่อซื้อหน่วยลงทุน
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย
  • ผู้จัดการกองทุนบริหารมูลค่าทรัพย์สินและผลตอบแทนตามนโยบายกองทุน

จุดด้อย

  • ค่าธรรมเนียมสูง ทั้งเก็บจากกองทุนรวมและผู้ถือหน่วยลงทุน
  • ผู้จัดการกองทุนสามารถเปลี่ยนกองทุนหรือ ETF ต้นทางได้

วิธีที่ 2 ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์

ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในไทยหลายแห่ง ให้บริการเปิดบัญชีเพื่อไปลงทุนในหุ้นและกองทุนต่างประเทศโดยตรงได้ และมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ และเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพราะบางบล. อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ คุณจะต้องมีเงินมากพอ เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย

นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น การโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ หากคุณจะใช้บริการบล. ไทย ควรศึกษาอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศที่ไปลงทุนด้วย

ด้วยการพัฒนาระบบออนไลน์ต่างๆ คุณยังสามารถเปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง แต่คุณควรจะทำความเข้าใจเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมด้วยเช่นเดียวกัน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย ทั้งบล. ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ
  • มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวก

จุดด้อย

  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียม
  • ค่าธรรมเนียมสูง มีขั้นต่ำ และมีต้นทุนการโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน

วิธีที่ 3 ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล

กองทุนส่วนบุคคลเป็นอีกทางเลือกที่ให้คุณลงทุนต่างประเทศผ่านหุ้นและ ETF โดยตรง โดยเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)

บริการกองทุนส่วนบุคคลมีหลากหลายขึ้นอยู่กับบลจ. โดยจัดพอร์ตลงทุนและเลือกสินทรัพย์ให้ตามระดับความเสี่ยงของคุณ หรือวางรูปแบบกองทุนส่วนบุคคลไว้ให้คุณเลือก หลายๆ บลจ. อาจจะมีเงื่อนไขบริหารเงินลงทุนสูงมาก เช่น 5 ล้านขึ้นไป หรือ 10 ล้านขึ้นไป

แต่ด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนาแพลตฟอร์มลงทุนทำให้บริการกองทุนส่วนบุคคลในปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากก็สามารถลงทุนใน ETF โดยตรง อย่างเช่น Jitta Wealth ที่นักลงทุนสามารถเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และเพิ่มทุนครั้งละ 1,000 บาท

บริการกองทุนส่วนบุคคลจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่คุณควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่ายผ่านบลจ. ไทย
  • บลจ. บริการพอร์ตลงทุนให้ และมีผู้รับฝากทรัพย์สิน
  • มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อผลตอบแทน
  • บางบลจ. มีระบบดิจิทัลรองรับ เช่น AI คัดเลือกสินทรัพย์

จุดด้อย

  • บางบลจ. อาจจะมีเงื่อนไขด้านเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงมาก
  • อาจจะมีสินทรัพย์ เช่น หุ้นและ ETF ให้เลือกไม่มาก
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน
  • อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สินขั้นต่ำ

นี่คือ 3 ทางเลือกที่คุณจะสามารถคว้าโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ง่ายๆ ด้วย ETF ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดผมหวังว่า ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ ETF ทั้ง 2 ตอน จะทำให้คุณรู้จักเครื่องมือการลงทุนอย่าง ETF มากยิ่งขึ้น และเห็นโอกาสสร้างพอร์ตลงทุนที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว

มูลค่าเงินลงทุนใน ETF ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2563 เป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่า ETF เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลก…แล้วคุณล่ะ เริ่มต้นสร้างพอร์ตลงทุน ETF ทั่วโลกแล้วหรือยัง

]]>
1496388
RINASCENTEODEON BEAUTY HALL จุดหมายใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน https://positioningmag.com/1494011 Fri, 11 Oct 2024 06:54:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494011 โอเดโอน (Odeon) ถือเป็นสถานที่สุดพิเศษสำหรับชาวเมืองมิลาน เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและความมีเสน่ห์ รีนาเชนเต จึงได้สร้าง Rinascente Odeon Beauty Hall ขึ้นที่นี่ เพื่อให้เป็น Destination ใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครในอิตาลี และไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน พร้อมทั้งเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และความน่าตื่นเต้นอยู่เสมอสำหรับผู้มาเยือนทุกคน

โครงการนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Kryalos SGR ในฐานะผู้จัดการกองทุน Aedison Fund และ
รีนาเชนเต (Rinascente) ด้วยมูลค่ามากกว่า 40 ล้านยูโร มีกำหนดเปิดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2570 โดย
รีนาเชนเตจะใช้ความเป็นเจ้าตลาดในด้าน HOUSE OF BRANDS อย่างเต็มที่ ในการสร้างศูนย์กลางแห่งประสบการณ์เหนือระดับ (Experiential Hub) บนพื้นที่มากกว่า 3,000 ตารางเมตร ที่จะนำเสนอความงามในทุกรูปแบบ

  • แบรนด์ชั้นนำมากกว่า 300 แบรนด์ ทั้งเครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม และบิวตี้บาร์
  • บริการห้องทรีตเมนต์
  • บริการการแพทย์ด้านความงามชั้นสูง
  • การเปิดตัวสินค้าและกิจกรรมสุดพิเศษ

รีนาเชนเต โอเดโอน (Rinascente Odeon) จะดึงดูดผู้เข้าใช้บริการมากกว่า 3 ล้านคน โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กว่า 80 ล้านยูโรตั้งแต่ปีแรกที่เปิดดำเนินการ และนอกจากด้านความงาม ภายใน Odeon Beauty Hall ยังมีพื้นที่โซนอาหารมากกว่า 700 ตารางเมตร เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบครัน และเชื่อมโยงกับส่วนอาคารหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับจุดยืนในการเป็น MEDIA COMPANY

ที่สำคัญโครงการนี้ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของย่านรีนาเชนเต (Rinascente-district) ซึ่งจะพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้คนในย่านนั้น และมอบเสน่ห์ใหม่ให้แก่ถนนซานตา ราเดกอนดา (Via Santa Radegonda), ถนนอะเญลโล (Via Agnello) และถนนวิตโตริโอ เอมานูเอล (Corso Vittorio Emanuele) โดยย่านนี้จะประกอบไปด้วย 2 อาคารหลัก ได้แก่ Rinascente Annex และ Rinascente Odeon Beauty Hall

THE GRAND FLOOR ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิตาลี

การเปิดตัว Odeon Beauty Hall จะเป็นการเปิดประตูสู่ความตื่นเต้นครั้งใหม่ นั่นคือ การพลิกโฉมพื้นที่ชั้นล่างของอาคารหลักให้เป็น GRAND FLOOR พื้นที่สำหรับเครื่องประดับ แบรนด์นาฬิกาลักชูรี และจิวเวอรี่ โดยศูนย์รวมเครื่องประดับของรีนาเชนเตนี้จะได้รับการยกระดับในรูปโฉมใหม่ที่มีบรรยากาศสดใส พร้อมผสมผสานแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดอิตาลี โดยเพิ่มพื้นที่ขายสองเท่าเป็น 2,000 ตารางเมตร บนพื้นที่ 2 ชั้น คือ บริเวณชั้นล่างและชั้นระเบียง

การลงทุนนี้จะสร้างรายได้ให้กับแผนกเครื่องประดับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 200 ล้านยูโร เป็น 370 ล้านยูโรในปีแรกที่เปิดดำเนินการ โดยมีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดในทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ให้เข้าถึงสินค้าได้ง่าย ตั้งแต่สินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ ไปจนถึงแบรนด์อัญมณีและแบรนด์นาฬิกาชื่อดัง รวมถึงเครื่องประดับลักชูรี ที่จะมารวมกันอยู่ในที่เดียว เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า

โครงการนี้ยังช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างรีนาเชนเตและเมืองมิลานมีความเหนียวแน่นยิ่งขึ้น จากการยกระดับสถานที่สำคัญของเมือง แต่ยังคงรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมของพื้นที่รอบๆ ไว้อย่างดี ตามแนวคิดที่รีนาเชนเตยึดมั่น คือ “For the city, with the city, in the city” ซึ่งถือเป็นความมุ่งมั่นที่สานต่อมา ตั้งแต่การเปิดห้างแฟลกชิปแห่งที่สองในโรม Via del Tritone ที่หัวมุมถนนดูเอ มาเชลลี (Via dei Due Macelli) ซึ่งได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่กินเวลานานกว่า 11 ปี โดยผลลัพธ์คือ ความสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบของห้างรีนาเชนเตกับบริบทของเมืองโรม ที่ช่วยส่งเสริมคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

โดยโครงการสถาปัตยกรรมนี้จะได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง มาร์โก กอสตันซี (Marco Costanzi Architects) บนคอนเซ็ปต์ ‘Ex Tenebris Vita’ ซึ่งหมายถึง การออกจากความมืดมาสู่แสงสว่าง Marco Costanzi จึงจินตนาการให้โครงการนี้เป็นโครงการที่มองไปสู่อนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ยังให้ความเคารพต่อประวัติศาสตร์ และจะนำผู้บริโภคกลับมาสู่จุดศูนย์กลางของเวทีบน ‘โรงละครแห่งความงาม’ นี้ที่ในอดีตเคยเป็น ‘โรงละครอลิซาเบธ’ (Elizabethan theatre) อันเป็นที่หวงแหนของชาวเมือง

นายปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่นี้ในสถานที่อันเป็นที่รักของชาวเมืองมิลาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของรีนาเชนเตที่ไม่ได้เป็นเพียงห้างสรรพสินค้า แต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความบันเทิง การออกแบบ ประวัติศาสตร์ แฟชั่น อาหาร และอีกมากมายมารวมกันเป็น MEDIA COMPANY ที่แท้จริง ด้วยวิสัยทัศน์ของเราที่ยังคงมุ่งไปสู่อนาคตอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากโปรเจกต์ Rinascente Odeon Beauty Hall ในครั้งนี้ที่มาพร้อมกับการเปิดตัวสิ่งใหม่ๆ รวมไปถึงการปรับปรุงและขยายพื้นที่ชั้นล่างของ Rinascente Milano Duomo เพื่อมอบความพิเศษที่สุดในอิตาลีให้กับทุกคน เราตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้สร้างจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ในการช้อปปิ้งและความบันเทิง ให้กับชาวมิลานและผู้มาเยือนทุกคน”

มาริเอลา เอลิอา (Mariella Elia) กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินของรีนาเชนเต กล่าวว่า “เรามองเห็นถึงศักยภาพของโครงการนี้ ทั้งในด้านคุณค่าทางวัฒนธรรมของตัวอาคาร และจากการวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าที่เราจะสามารถเข้าถึงได้ โดยคาดว่าศูนย์ความงามแห่งนี้จะสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ประมาณ 80 ล้านยูโรตั้งแต่ปีแรก ที่สำคัญการขยายพื้นที่เพิ่มในส่วนนี้ ยังช่วยเสริมแกร่งห้างรีนาเชนเต สาขาแฟลกชิปที่ Milan Piazza Duomo ให้มีเอกลักษณ์และยิ่งใหญ่มากขึ้น พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่ของความเป็นเลิศในด้านค้าปลีกอีกด้วย”

เปาโล บอตเตลลี (Paolo Bottelli) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Kryalos กล่าวว่า “หลังจาก
โปรเจกต์ Starbucks ที่จตุรัส Piazza Cordusio, Fendi Casa ที่ Piazza della Scala และอื่นๆ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้รวมโปรเจกต์นี้เข้ากับความสำเร็จของ Kryalos อีกหนึ่งโครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการใหญ่บนจุดแลนด์มาร์กที่มีคุณค่ามหาศาลของเมืองมิลาน ทำให้ Kryalos ทุ่มเทและตั้งใจที่จะยกระดับอาคารโอเดโอนแห่งนี้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบหนึ่งร้อยปีและอยู่ไม่ไกลจากมหาวิหารแห่งนครมิลาน (Duomo di Milano) ให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับรีนาเชนเต ห้างที่อยู่คู่ประเทศอิตาลีมาอย่างยาวนาน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัยของเมืองมิลาน เราดีใจที่รีนาเชนเตตัดสินใจพัฒนาโปรเจกต์ Beauty Hall แห่งนี้ในอาคารของเรา โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าของสถานที่ทั้งในแง่รูปลักษณ์ ประวัติศาสตร์ และภาพลักษณ์เข้าไว้ด้วยกัน”

โดยระหว่างการดำเนินโครงการนี้ Kryalos ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอาคารเอาไว้ โดยองค์ประกอบการตกแต่งหลักทุกอย่างจะได้รับการบูรณะให้เหมือนกับความงดงามแบบดั้งเดิม ซึ่งจะถูกนำกลับไปวางในตำแหน่งเดิมเมื่อเสร็จสิ้นงาน ดังนั้น Rinascente Odeon Beauty Hall จึงเป็นการสานต่อกลยุทธ์ในการยกระดับสถานที่ และสร้างคุณค่าให้กับนักลงทุนของเรา รวมทั้งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและนักท่องเที่ยวในนครมิลาน

จานการ์โล ตังเกรดี (Giancarlo Tancredi) สมาชิกสภาฟื้นฟูนครมิลาน กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่สถานที่ประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองกำลังจะกลับมามีชีวิตให้ชาวเมืองได้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้งหลังจากได้ปิดทำการเป็นเวลานาน เป็นหลักฐานที่แสดงถึงพลวัตของเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมีโอกาสสำหรับการพัฒนาใหม่ ๆ ทั้งในด้านการวางผังเมือง การก่อสร้าง และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะโครงการนี้ที่รีนาเชนเตได้เข้ามาฟื้นฟูบูรณะ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของรีนาเชนเตที่มีจุดกำเนิด และเติบโตมาในเมืองแห่งนี้ พร้อมช่วยยกระดับเมือง    มิลานในภาพรวมมาอย่างต่อเนื่อง”

]]>
1494011
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 2) https://positioningmag.com/1488911 Thu, 05 Sep 2024 08:52:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488911

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในตอนที่แล้ว ผมได้เกริ่นถึง กองทุนดัชนี และประเภทของกองทุน ETF และประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุนไปแล้ว คุณน่าจะพอเห็นภาพว่าทุกวันนี้ นักลงทุนอย่างเราไม่ได้ถูกจำกัดสินทรัพย์ลงทุนไว้เพียงหุ้นหรือตราสารหนี้เท่านั้น  เราสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจต่างๆ ได้ผ่านกองทุน ETF ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายทีเดียว

และทุกวันนี้ก็เกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมาที่คุณๆ อาจจะเคยได้ยินผ่านๆ หูมาบ้าง อย่าง การลงทุนในธีมธุรกิจ (Thematic Investment) ใน ETF เรียกว่า Thematic ETF ที่ถือได้ว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนในธีมธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยเป็นการเติบโตในรูปแบบ Structural Trend ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตหรือการดำเนินธุรกิจในอนาคตข้างหน้า

ธีมของธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจปัจจุบันและส่อแววว่าจะเฉิดฉายต่อไปในอนาคตได้ ยกตัวอย่าง เช่น บทบาทของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แทรกซึมเข้ามา เพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อของ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างสรรพสินค้า จึงทำให้เกิดธีมอีคอมเมิร์ซเพื่อลงทุนในรูปแบบ ETF หากจำกันได้ในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤติ Covid-19 ในช่วงแรกของการแพร่ระบาด ผู้คนออกไปไหนไม่ได้ การซื้อของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจึงเติบโตสูงมากในปี 2563 ส่งผลให้บริษัทที่ให้บริการอีคอมเมิร์ซ หรือ ETF อย่าง ProShares Online Retail ETF (ONLN) เติบโตสูงถึง +111.37% ในปีเดียวกัน

ธุรกิจคลาวด์ (Cloud Computing) กลายเป็น Thematic ETF เช่นเดียวกัน และได้รับอานิสงส์จากวิกฤต Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนและองค์กรทั่วโลกหันมาลงทุนกับระบบคลาวด์ เพื่อใช้ในการทำงานจากที่บ้าน เก็บไฟล์งานต่างๆ ที่ดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงความบันเทิงในบ้าน เช่น ดูภาพยนตร์ ดูซีรีส์ และฟังเพลง ในปี 2563 ETF อย่าง WisdomTree Cloud Computing Fund (WCLD) เติบโตสูงถึง +109.71%

แต่การเติบโตแบบ Structural Trend ไม่ได้วัดที่ผลตอบแทนปีใดปีหนึ่งเท่านั้น เป็นมุมมองและความเชื่อมั่นในธีมธุรกิจนั้น ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ที่ว่ากันเป็น 10-20 ปี คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณยังจะใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่อไปหรือไม่ หรือแพลตฟอร์มคลาวด์มีความจำเป็นในชีวิตและการทำงานของคุณหรือเปล่า

รวมไปถึงธีมธุรกิจอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ฟินเทค เกมและอีสปอร์ต หุ่นยนต์และ AI จีโนมิกส์ หรือพลังงานสะอาด ถ้ามองภาพระยะยาว…ธีมธุรกิจเหล่านี้จะมีศักยภาพเติบโตหรือเข้ามามีอิทธิพลกับผู้คนทั่วโลกหรือไม่

นี่คือความเป็น ‘เมกะเทรนด์’ ของธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต  บริษัทจัดทำดัชนีอ้างอิงต่างเล็งเห็นถึง  เทรนด์การลงทุนใน Thematic ETF จึงรวบรวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีมนั้นๆ และจัดทำดัชนีอ้างอิงขึ้นมา โดยแต่ละบริษัทจัดการลงทุนสามารถออกแบบนโยบายได้ทั้ง Passive ETF หรือ Active ETF

คุณสามารถเลือกสร้างพอร์ตให้เติบโตไปตามอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจที่เลือก พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายสิบหลายร้อยบริษัทผ่าน ETF กองเดียว

อย่างไรก็ตามการลงทุนใน ETF รายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ ราคาและผลตอบแทนจะมีความผันผวนมากกว่า ETF ตลาดหุ้นที่มีกรอบการลงทุนกว้างกว่าและลงทุนในหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นคุณควรศึกษาสินทรัพย์แต่ละอุตสาหกรรมก่อนจะลงทุน เพื่อความเข้าใจในธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ และมั่นใจในศักยภาพเติบโต พร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ และธีมธุรกิจ

ETF นโยบาย
iShares Global Healthcare ETF (IXJ) มากกว่า 100 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare
Global X FinTech ETF (FINX) มากกว่า 50 บริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี Fintech ทั่วโลก
ETFMG Alternative Harvest ETF (MJ) มากกว่า 40 บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเพาะปลูกและแปรรูปกัญชา
Global X Video Games & E-sports ETF (HERO) มากกว่า 40 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับวงการเกมและจัดการแข่งขันอีสปอร์ต

 

ETF อีกประเภทที่ออกแบบมา เพื่อคว้าโอกาสลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมันดิบ เงิน หรือสินค้าการเกษตรต่างๆ เรียกว่า Commodity ETF ซึ่งจะมีนโยบายการลงทุนที่แคบกว่า ETF ประเภทอื่นๆ  เนื่องจากลงทุนเจาะจงไปที่สินค้าโภคภัณฑ์ตัวนั้นๆ ราคาและผลตอบแทนจึงมีความผันผวนสูงมาก เป็นไปตามวงรอบเศรษฐกิจ ตามอุปสงค์อุปทาน หากมีข่าวสารเชิงลบ ที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง

ยกตัวอย่างการลงทุนในทองคำ ราคาจะมีความเคลื่อนไหวไปตามวงรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง จนธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ราคาทองคำจะอยู่ไต่ระดับเป็นขาขึ้น ไปจนถึงช่วงเศรษฐกิจเริ่มถดถอย เงินเฟ้อไม่เร่งตัว ธนาคารกลางเริ่มลดดอกเบี้ย ราคาทองคำอาจจะทำนิวไฮได้ในช่วงนี้ เพราะนักลงทุนทั่วโลกจะหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดการเงินการลงทุนผันผวน ที่เรียกว่า Safe Heaven

ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจและหาความรู้ในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงรับมือกับความเสี่ยงด้านราคา การปรับพอร์ตใน Commodity ETF ตามรอบวงจรเศรษฐกิจมีความสำคัญมาก หากคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสเร่งตัวในอนาคต ค่อยปรับพอร์ตให้น้ำหนักการลงทุนใน Commodity ETF มากขึ้น แล้วลดสัดส่วนในพอร์ตเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มปรับตัวลดลง

Commodity ETF จะรวบรวมและคัดสรรบริษัทชื่อดังที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่ ETF นั้นลงทุน และเป็น Passive ETF ที่ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

ETF นโยบาย
SPDR Gold Shares (GLD) กองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีชื่อเสียงที่สุดในโลกด้วย
United States Oil Fund LP (USO) กองทุน ETF น้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองน้ำมันหลายชนิด ครอบคลุมน้ำมันทั่วโลก
Invesco DB Agriculture Fund (DBA) สินค้าการเกษตรแบบคลอบคลุม ซึ่งรวบรวมหลายประเภท เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี และทุกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน Commodity ETF จะมีความแตกต่างกันในสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น ราคาและผลตอบแทน จะมีความผันผวนและความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ในช่วงราคาน้ำมันขาลง ราคาทองอาจจะเป็นขาขึ้นได้ แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกัน คือ เป็น Passive ETF สร้างผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง ขึ้นอยู่กับคุณว่า จะเลือกลงทุนและเชื่อมั่นในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทไหน

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป เช่น ETF เงินตราต่างประเทศ และ ETF คริปโทเคอร์เรนซี

อ่านมาจนถึงตอนนี้คุณอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า ‘มีวิธีในการคัดเลือก ETF ต่างประเทศเพื่อลงทุนอย่างไร’ หรือ ‘ถ้าอยากจะลงทุนใน ETF ต่างประเทศโดยตรงสามารถทำยังไงได้บ้าง’ ซึ่งในตอนต่อไป ผมจะพาคุณไปลงลึกถึงวิธีการเลือก ETF และโอกาสลงทุนต่างประเทศ และเมื่ออ่านจนจบ คุณจะตัดสินใจได้ว่า เลือกลงทุน ETF ต่างประเทศอย่างไรให้ตรงจริตของคุณ

]]>
1488911
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 1) https://positioningmag.com/1484702 Thu, 01 Aug 2024 10:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484702

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ภาวะการลงทุนในประเทศที่ไม่ได้เอื้อต่อจิตใจของนักลงทุนยามนี้ ทำให้เชื่อว่าหลายต่อหลายคนกำลังมองหาการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนกำลังใจในการลงทุนให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะการออกไปลงทุนต่างประเทศ แต่ก็อาจจะยังมีความลังเลและไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี วันนี้ผมมีเครื่องมือการลงทุนที่จะมาช่วยเพิ่มทางเลือกให้คุณได้ลองเปิดใจ และอาจจะกลายเป็นติดใจได้ไม่ยาก

เครื่องมือทางการลงทุนยอดนิยม ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก คือ ‘กองทุนดัชนี’ ที่ผมจะพาไปทำความรู้จักบทเรียนแรกๆ หรือจะเรียกว่าเป็น ETF 101 ก็ว่าได้นะครับ

กองทุนดัชนี คือ สินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบกองทุน มีนโยบายบริหารกองทุนแบบ Passive ที่ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง เช่น S&P500 DJIA NASDAQ100 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ CSI300 ของตลาดหุ้นจีน หรือ NIKKEI225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ SET50 ตลาดหุ้นไทย โดยมาในรูปแบบของกองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund)

กองทุนดัชนีเป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากเป็น Passive Fund ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อดัชนีปรับลดลง ผลตอบแทนก็จะลดลง เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง

ถ้าคุณลงทุนอย่างมีวินัย หมั่นเพิ่มทุนสม่ำเสมอในกองทุนดัชนี พอร์ตระยะยาว…จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอย่างยั่งยืน เพราะเงินในพอร์ตทำงานได้อย่างเต็มที่ ผลตอบแทนสูงในช่วงขาขึ้น มักชดเชยการขาดทุนช่วงขาลงได้

Invesco บริษัทจัดการลงทุน ทำวิจัยออกมาว่า ในช่วงพฤศจิกายน 2511 ถึงธันวาคม 2563 ช่วงดัชนี S&P500 เป็นขาขึ้นต่อเนื่องนานที่สุดอยู่ที่ 1,764 วัน หรือประมาณ 58 เดือน ขณะที่ช่วงดัชนีขาลงนานที่สุดอยู่ที่ 349 วัน หรือประมาณ 11-12 เดือน ส่วนผลตอบแทนสูงสุดช่วงขาขึ้นอยู่ที่ +180.04% ช่วงขาลงอยู่ที่ -36.34%

หากลงทุนนานถึง 30 ปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 จะอยู่ที่ 10.7% ต่อปี…นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ Passive ในตลาดหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

ทำไมการลงทุนใน ETF ถึงน่าสนใจ

ETF หรือ Exchange Traded Fund กองทุนรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือบริษัทจัดการลงทุน

ปัจจุบัน ETF ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะเป็นเครื่องมือการลงทุนที่เปิดทางให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ตราสารหนี้และหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก

ETF

นอกจากนี้ยังมี ETF หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นธีมธุรกิจ และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งยังขยายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซี

จุดเริ่มต้นของ ETF มีนโยบายลงทุนแบบ Passive ตามดัชนีอ้างอิง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด เหมือนกับกองทุนรวมดัชนี แต่แทนที่จะประกาศราคาซื้อขายตอนสิ้นวันเหมือนกองทุนรวม นักลงทุนสามารถซื้อขาย ETF ได้ในตลาดหุ้น…เสมือนซื้อขายหุ้นนั่นเอง

ดังนั้นความน่าสนใจของ ETF คือ ซื้อง่ายขายคล่องบนกระดานหุ้น เพราะเป็นการผสมผสานคุณสมบัติของหุ้นและกองทุนรวมเข้าด้วยกัน

ปัจจุบัน ETF ขยายรูปแบบการลงทุนนอกเหนือจาก Passive ETF มาเป็น Active ETF รวมไปถึงหลักการลงทุนและนโยบายที่หลากหลายมากขึ้น บทความนี้ ผมจะพาคุณได้ไปทำความรู้จักกับ ETF ในหลากหลายแง่มุม

ข้อแตกต่างระหว่าง Passive ETF และ Active ETF

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว Passive ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิงที่ ETF กองนั้นระบุไว้ใน Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ปัจจุบันมีดัชนีอ้างอิงหลายร้อยหลายพัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนีผลตอบแทนตราสารหนี้และดัชนีตลาดหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก นอกจากนี้หลายๆ สถาบันการเงินยังออกดัชนีหุ้นรายอุตสาหกรรม ดัชนีหุ้นธีมการลงทุน และดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์

หากคุณเลือกลงทุนใน Passive ETF คุณต้องมั่นใจว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงมีประสิทธิภาพที่จะสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว และความเสี่ยง คือ ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง ผลตอบแทนจะน้อยลงตามกัน คุณทำเพียงเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือ DCA (Dollar Cost Averaging) แล้วปล่อยให้เงินทำงาน สร้างมูลค่าให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามดัชนีอ้างอิง

Passive ETF จะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย (Total Expense Ratio) ที่ต่ำมาก เพราะผู้จัดการกองทุนจะลงทุนตามดัชนีอ้างอิง ไม่ต้องติดตามดูกราฟราคาสินทรัพย์และปรับพอร์ตตลอดเวลา โดยคุณสามารถตรวจสอบได้ว่า Passive ETF ที่สนใจมี Total Expense Ratio เท่าไร ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์อะไรบ้าง

ตัวอย่าง Passive ETF

  • Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) อ้างอิงจากดัชนี CRSP US Total Market Index ที่รวมหุ้นทุกขนาดมาร์เก็ตแคปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  • ThaiDex SET50 Exchange Traded (TDEX) อ้างอิงจากดัชนี SET50 ที่รวมหุ้น 50 ตัวแรกตามขนาดมาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย
  • VanEck Vectors Vietnam ETF (VNM) อ้างอิงจากดัชนี MVIS Vietnam Index ที่ลงทุนประมาณ 30 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีรายได้หลักมาจากเวียดนาม

ในปี 2563 มูลค่า AUM (Assets Under Management) ของ ETF ทั่วโลกอยู่ที่ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างที่ได้เกริ่นมาแล้วว่า ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีวิวัฒนาการมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เป็น Passive ETF เพียงอย่างเดียว แต่มี Active ETF เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทั่วโลก

ETF

สำหรับ Active ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจะจัดพอร์ตตามนโยบายที่ได้ระบุไว้ใน Fact Sheet หากคุณเลือก ETF ประเภทนี้ คุณต้องมีแนวคิดที่ว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องเลือกเครื่องมือการลงทุนที่จะทำผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง และความเสี่ยง คือ โอกาสที่ Active ETF จะมีผลตอบแทนแพ้ดัชนีอ้างอิง ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เหมือนกับกองทุนรวมแบบ Active Fund (การบริหารจัดการเชิงรุก) ส่งผลให้ Active ETF จะมี Total Expense Ratio ที่สูงกว่า เพราะผู้จัดการกองทุนต้องติดตามสินทรัพย์ที่ลงทุนและปรับพอร์ต ETF ตลอดเวลา รวมไปถึงการซื้อขายสินทรัพย์ถี่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง

ตัวอย่าง Active ETF

  • ARK Innovation ETF (ARKK) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนบริษัทนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาดิสรัปรูปแบบธุรกิจเดิม และมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในอนาคต เช่น เทคโนโลยี AI เทคโนโลยี DNA เทคโนโลยีคลาวด์ และฟินเทค
  • ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่พัฒนาการรักษาให้ลึกลงไปในระดับพันธุกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงหรือโรคที่รักษายาก
  • First Trust Preferred Securities & Income ETF (FPE) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นหุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้แปลงสภาพกว่า 80% เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงในความผันผวนที่ต่ำ และรายได้ที่มั่นคงให้กับนักลงทุน

รูปแบบการลงทุนของ Passive ETF และ Active ETF จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องนโยบายการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง การบริหารจัดการพอร์ต และค่าธรรมเนียม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจกับ Active ETF เช่นเดียวกัน ด้วยมูลค่า AUM ทั่วโลกในสัดส่วน 2.9% อยู่ที่ 303,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2563

ในความแตกต่างนี้ อยู่ที่ตัวคุณ ว่ามีเป้าหมายใช้เครื่องมือการลงทุนรูปแบบไหน ที่ตรงกับความต้องการและจริตการลงทุนของคุณ หากต้องการลงทุน Passive ETF เพื่อเติบโตในระยะยาวไปตามดัชนีอ้างอิงด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ หากต้องการลงทุน Active ETF เพื่อผลตอบแทนชนะดัชนี ด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

ประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุน

ปัจจุบันมี ETF อยู่เกือบ 8,000 กองทั่วโลก กลายเป็นเครื่องมือการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาลงทุนเรื่อยๆ เพราะเปรียบเสมือนหุ้นบนกระดานซื้อขาย และได้กระจายความเสี่ยงเพียงลงทุนแค่ ETF กองเดียว ทำให้สินทรัพย์ที่ ETF มีมากมายหลายประเภท ที่เป็นทางเลือกให้กับคุณ

ผมได้รวบรวมสินทรัพย์ยอดนิยมที่ ETF เข้าไปลงทุนมากที่สุดได้แก่ หุ้นและตราสารหนี้ ทำให้มูลค่า AUM ของสินทรัพย์ทั้ง 2 ตัวมีขนาดใหญ่มาก ETF จึงมีความแข็งแกร่งในแง่ของโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย และจัดพอร์ตลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด จึงมีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น

ETF

นโยบาย

Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้

ETF

นโยบาย

iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)

พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)

หุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ที่เรียกว่า Sector ETF เพื่อเปิดโอกาสลงทุนในหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ บางช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นขาลงหรือเกิดวิกฤต จะมีบางอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่เจอผลกระทบเลย จึงยังมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

ETF

Sector ETF มีนโยบายลงทุนได้ทั้ง Passive และ Active ขึ้นอยู่กับบริษัทจัดการลงทุน โดยจะใช้ดัชนีอ้างอิงและตะกร้าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจตามเกณฑ์ Global Industry Classification Standard (GICS) จัดทำโดยบริษัทจัดทำดัชนีตลาดอย่าง MSCI และ S&P แบ่งเป็น 4 ลำดับชั้นจากยอดสู่ฐานของสามเหลี่ยม ได้แก่

  • 11 Sectors (ภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 24 Industry Groups (กลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 68 Industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 157 Sub-industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจย่อย)

ยกตัวอย่างภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ เช่น พลังงาน (Energy) สินค้าจำเป็น (Consumer Staples) การเงิน (Financials) หรือบริการสุขภาพ (Healthcare)

จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ที่คุณสามารถเข้าไปเลือกลงทุนได้ผ่าน ETF ซึ่งในครั้งหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงธุรกิจที่น่าสนใจ และเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ผมหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นทางเลือกสำหรับมือใหม่ที่ต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้ศึกษาและพิจารณาโอกาสใหม่ๆ ที่จะให้พอร์ตของคุณเติบโตได้ยั่งยืนไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม   

]]>
1484702
การเปลี่ยนแปลงด้วย AI: ข้อคิดจากการมาเยือนประเทศไทยของ Prof. Andrew Ng https://positioningmag.com/1484687 Thu, 01 Aug 2024 10:43:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484687

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

เมื่อ Prof. Andrew Ng มาเยือนประเทศไทย การบรรยายของเขานับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของประเทศไทย ระดับปรมาจารย์ด้าน AI ระดับโลกมาทั้งที พิ้งค์ขอมาสรุปเนื้อหาสำคัญให้ฟังแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเชื่อมโยงตัวอย่างจริงจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งเป็น 5 ด้านดังนี้

1. ความสำคัญและบทบาทของ AI

AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่มีผลต่อโลกเทียบเท่าการกำเนิดของไฟฟ้าเมื่อร้อยปีที่แล้ว ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและยกระดับการดำเนินชีวิตของเรา มันไม่ใช่เครื่องมือ แต่เหมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนพัฒนาการ และนวัตกรรมของโลกในอนาคตทั้งหมด เราควรมอง AI เป็นกลุ่มเครื่องมือที่รวมถึง Supervised, Unsupervised, Reinforcement และ Generative AI

Prof. Andrew อธิบายการฝึกสอนโมเดล Supervised Learning ที่ค้นหาความสัมพันธ์ ระหว่าง Input และ Output ในช่วงปี 2010-2020 เป็นยุคของ Large Scale Supervised Learning ซึ่งข้อมูลและโมเดลขนาดใหญ่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราเข้าสู่ยุคของ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ เช่น ภาษา รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

Supervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ใช้ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ (labeled data) กล่าวคือ ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอย่างของอินพุต (input) และเอาต์พุต (output) ที่ถูกต้อง โมเดลจะเรียนรู้การคาดการณ์จากข้อมูลเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การจำแนกภาพ (Image Classification) ที่โมเดลจะได้รับภาพพร้อมป้ายกำกับ เช่น ภาพแมวหรือสุนัข จากนั้นโมเดลจะเรียนรู้ที่จะจำแนกภาพใหม่เป็นแมวหรือสุนัขตามข้อมูลที่เรียนรู้มา

Unsupervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่มีป้ายกำกับในข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลไม่มีเอาต์พุตที่ถูกต้อง โมเดลจะต้องหาความสัมพันธ์หรือโครงสร้างในข้อมูลด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น การจัดกลุ่มข้อมูล (Clustering) ที่โมเดลจะพยายามหากลุ่มของข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่มีการกำหนดหมวดหมู่ล่วงหน้า การใช้ Unsupervised Learning มักจะใช้ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจและค้นพบโครงสร้างที่ซับซ้อนในข้อมูล

Reinforcement Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่โมเดลจะเรียนรู้ผ่านการทดลองและข้อผิดพลาด โดยโมเดลจะได้รับรางวัล (rewards) หรือบทลงโทษ (punishments) จากการกระทำในสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเล่นเกมหรือการควบคุมหุ่นยนต์ โมเดลจะพยายามหานโยบาย (policy) ที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวมในระยะยาว การเรียนรู้แบบนี้มักใช้ในปัญหาที่ต้องการการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนและผลของการตัดสินใจมีผลต่ออนาคต

2. การใช้งานและผลกระทบของ AI

Generative AI ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังเปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI

ตัวอย่าง บริษัท Associated Press ใช้ AI เขียนข่าวทางการเงินและกีฬาในปี 2023 หรือ Amazon Alexa ถูกใช้ในบ้านกว่า 200 ล้านหลังทั่วโลกในปี 2023

จากการเขียนโค้ดจำนวนมาก กลายเป็นการเขียนPrompt” ภาษาธรรมชาติ ทำให้การใช้งาน AI เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และ การเขียน Prompt ช่วยลดเวลาในการพัฒนา Software Applications จากหลายเดือนเหลือไม่กี่สัปดาห์ หรือชั่วโมง

ตัวอย่าง GitHub Copilot ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดได้เร็วขึ้น 55% ตามรายงานของ GitHub ในปี 2022

การสร้าง Software ในยุค AI ประกอบด้วยการพัฒนา Prompt และการนำไปใช้งาน

3. AI ในธุรกิจและการพัฒนา

AI Stack ประกอบด้วย Hardware, Cloud, AI Tools และ Applications โดยมักเน้นที่ AI Tools Layer อย่าง OpenAI โดยมีบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ใน App Layers เช่น Workera, Workhelix, NETAIL

ตัวอย่าง ธนาคารกสิกรไทยใช้ AI Chatbot “K PLUS Buddy” ให้บริการลูกค้าในปี 2022 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีทรวงอกเพื่อคัดกรองวัณโรคปอด ในปี 2021

การสร้าง AI Startup ใน Silicon Valley มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ Idea + Validate, Recruit CEO, Build, Pre-Seed Growth และ Scale โดยการเลือก CEO ที่ช่วยสร้าง MVP ต้องเป็น Technical CEO ที่มีความเข้าใจทั้งเทคนิคและธุรกิจ AI ช่วยลดต้นทุนและสร้างการเติบโตได้พร้อมกัน โดย Knowledge Workers จะได้รับผลกระทบจาก Generative AI มากที่สุด

MVP หรือ Minimum Viable Product คือผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันและคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดที่สามารถนำเสนอคุณค่าและแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้ได้ ด้วยการสร้าง MVP สตาร์ทอัพสามารถทดสอบแนวคิดทางธุรกิจและรับคำติชมจากผู้ใช้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไป

4. อนาคตและความท้าทายของ AI

AI จะเข้ามาแทนที่งานบางส่วน โดยจะอัตโนมัติเฉพาะงานบางอย่างไม่ใช่ทั้งหมด สถิติแสดงว่าประมาณ 20-30% ของงานปัจจุบันจะถูก Automate ด้วย AI ส่วนที่เหลือ 70-80% ยังต้องพึ่งพามนุษย์ เราควรกำกับการใช้งาน  Applications มากกว่าตัวเทคโนโลยี เช่น การควบคุม Fake News บน Social Media และควรมีนโยบายปกป้อง Open-Source AI หลายประเทศมีบริษัทใหญ่ๆ ที่พยายามจำกัดการใช้งาน Open-Source ด้วยเหตุผลด้าน “Safety” AI Application ที่มีโอกาสเติบโตในประเทศไทย ได้แก่ Healthcare, Tourism, และ Agriculture

5. ข้อคิดและคำแนะนำจาก Prof. Andrew Ng

AI จะมีบทบาทในการลดและแก้ปัญหา Climate Change ในอนาคต การเขียนโค้ดยังคงมีความสำคัญในอนาคต เพราะเป็นทักษะที่สร้างความเข้าใจใน AI การเรียนเขียนโค้ดง่ายขึ้นในยุค Generative AI เนื่องจากมีโมเดลภาษาที่ช่วยสอนทุกเรื่อง การมี Community สำคัญต่อการยกระดับความรู้ด้าน AI ในประเทศไทย Andrew ปิดท้ายว่าผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้และเติบโตให้เก่งกว่าผม

แนะนำ Prof. Andrew Ng

Prof. Andrew Ng เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ Stanford University และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Baidu และหัวหน้าฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ของ Google

Prof. Andrew Ng มีผลงานวิจัยที่สำคัญหลายประการในด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาระบบที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมากๆ เขายังเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ฟรี ที่นำเสนอความรู้ด้าน AI และ Machine Learning แก่ผู้เรียนทั่วโลก

นอกจากนี้ Andrew ยังเป็นนักพูดที่มีความสามารถในการอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือในวงการ AI และเทคโนโลยี นอกจากบทบาทในวงการศึกษาและวิจัยแล้ว เขายังมีบทบาทในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน AI ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นถึงการนำ AI มาใช้จริงในประเทศไทยและทั่วโลก แนวโน้มการพัฒนาและการใช้งาน AI ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราควรติดตามและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง หวังว่าคำแนะนำและข้อคิดจาก Prof. Andrew Ng จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับ AI และเทคโนโลยีในอนาคต

]]>
1484687
อารมณ์-ค่าธรรมเนียม ต้นทุนลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม https://positioningmag.com/1481143 Thu, 04 Jul 2024 03:47:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481143

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

“The Greatest Enemies of Equity investors are Expenses and Emotions”
“ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของนักลงทุนในหุ้น ก็คือค่าใช้จ่ายและอารมณ์”
วลีของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไอดอลนักลงทุนสายเน้นคุณค่าหรือ VI ของใครหลายคนเคยว่าไว้

คุณเองอาจจะคิดว่าในการลงทุนมีแค่ ไม่ ‘กำไร’ ก็ ‘ขาดทุน’ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังกว่าจะทำให้คุณมีกำไรหรือขาดทุนมีอยู่มากมาย

“ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” คือ 2 สาเหตุหลัก มีส่วนสำคัญให้นักลงทุนทำผลตอบแทนได้แย่ลงกว่าเดิม บางคนอาจขาดทุนหนักจนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้ด้วยซ้ำ

เรามาเริ่มกันที่เรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องอารมณ์กันก่อนนะครับ

อารมณ์ VS การลงทุน

หากคุณลงทุนด้วยตัวเอง ย่อมรู้ว่าการเป็นนักลงทุนคุณภาพต้องใช้ทักษะวิเคราะห์เชิงเหตุและผลสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์เชิงตัวเลข วิเคราะห์เชิงคุณภาพ การคาดการณ์ความน่าจะเป็นในอนาคต และอื่นๆ การจะเป็นนักลงทุนที่ดีจึงต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนในหุ้นที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด

ยิ่งใกล้ชิดข้อมูลอาจจะยิ่งได้เปรียบ เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ในโลกที่ข้อมูลกำลังล้นโลก ไม่ต่างจากขยะจากครัวเรือน เราจะแยกแยะอย่างไรว่า เรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหน ‘ปั่น’

แม้ว่าคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์หุ้นมากกว่า ก็จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่า แต่เรื่องทักษะ แค่มีความเพียรก็ไล่ตามกันทันได้ แต่สติเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณมองทะลุตลาดที่ขมุกขมัวไปได้  ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้วว่าการใช้อารมณ์ในการลงทุน ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีข่าวที่สร้าง Panic ให้นักลงทุนจนตลาดเหวี่ยงขึ้นลงจนยากจะทำใจว่าขาลงจะสิ้นสุดที่เท่าไร

มาดูกันครับนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นตาม “อารมณ์” อย่างเดียวโดยไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข้อผิดพลาดของการลงทุนโดยใช้ “อารมณ์”

  • ซื้อหุ้นตามข่าว ตามเพื่อนบอก โดยไม่เคยรู้จักธุรกิจจริงๆ
  • กระจายความเสี่ยงไม่เป็น ทำให้พอร์ตขาดทุนหนัก
  • หุ้นกำไรนิดหน่อยขาย หุ้นขาดทุนเยอะๆ ยังเก็บไว้
  • หุ้นที่กำไร กำไรนิดเดียว หุ้นที่ขาดทุน ขาดทุนหนักมาก
  • ไม่กล้าลงทุนตอนหุ้นดีๆ ราคาลดลงมา เพราะกลัวราคาจะลงมาอีก
  • รอซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้ว เพราะกลัวจะขึ้นไปอีก
  • และอื่นๆ

ข้อผิดพลาดเหล่านี้เอง ที่ส่งผลให้ผลตอบแทนของนักลงทุนกลุ่มนี้ ได้ผลตอยแทนต่ำกว่าตลาด หรือบางคนอาจขาดทุนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้เลยครับ

ถ้าลองประมาณตัวเลขแบบง่ายๆ ในมุมมองของผมเอง ก็จะขอแบ่งนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน หรือ 25% ตามทักษะการลงทุน โดยกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่มีทักษะการลงทุนสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่ใช้อารมณ์ในการลงทุนมากสุด ผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มจะเป็นดังต่อไปนี้

  • กลุ่มที่ 1 : ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 2 : ทำผลตอบแทนได้ 6% – 12% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 3 : ทำผลตอบแทนได้ 0% – 6% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 4 : ขาดทุน

กลุ่มที่ 1 ที่ใช้ช่วงผลตอบแทนเป็น 12% – 20% เพราะคือ กลุ่มที่ชนะตลาดหุ้นไทยได้ เลยต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 11.87% และให้สูงสุดที่ 20% ต่อปี เทียบเท่ากับสถิติที่ปู่ Warren Buffett ทำได้ครับ (ต้องเป็นคนที่ลงทุนเก่งมากๆ เลยทีเดียว ถึงจะทำได้เท่ากับคุณปู่ครับ)

ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าคุณไม่ได้มีทักษะการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การพยายามเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยตนเอง มากๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สุด เพราะจะมีคนที่ลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นอยู่แค่ 25% เท่านั้น อีก 75% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าการนั่งอยู่เฉยๆ และลงทุนทั้งตลาดเสียอีกครับ

ถัดจากเรื่องอารมณ์ ผมจะพาไปดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันบ้างครับ

ค่าใช้จ่าย VS การลงทุน

เพราะในการลงทุนต้องมี “ต้นทุน” แฝงอยู่ด้วยเสมอ นั้นก็คือ ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 0.25% ของมูลค่าการซื้อหรือขายแต่ละครั้ง

ดังนั้นถ้าในแต่ละปี มีการซื้อขายหุ้น 4 รอบ (8 ครั้ง) ก็จะต้องเสีย ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นราวๆ 2% แล้วครับ ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้แค่ 12% ต่อปี พอหักค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ไปแล้ว ผลตอบแทนก็จะเหลือแค่ 10% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นทันทีครับ

หลายๆ คนที่มีการเก็งกำไรกันมากๆ อาจจะซื้อขายหุ้นกันปีนึงอย่างต่ำเป็น 10 รอบ คิดเป็นค่าคอมมิชชั่นราวๆ 5% เลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าซื้อขายบ่อยขนาดนี้ ต้องทำผลตอบแทนได้ประมาณ 17% ต่อปี ก่อนหักค่าคอมมิชชั่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสุทธิชนะตลาดหุ้น ที่ 12% ต่อปี

เมื่อรวมเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” เข้าไปด้วย นักลงทุนกลุ่มที่ 1 ที่ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี จำนวน 50 คนนั้น หักกับค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้ไปแล้ว ก็จะเหลือแค่ประมาณ 20 คน ที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นครับ

ทีนี้คุณลองนึกภาพตามผมนะครับ ในขณะที่เรากำลังเก็งกำไร เราต้องลงทุนอยู่บน  ‘อารมณ์’ และ ‘ค่าใช้จ่าย’ ยิ่งซื้อขายบ่อย ต้นทุนเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยเสมอ

สุดท้ายแล้วนักลงทุนที่เลือกวิถีการเก็งกำไรก็จะยิ่งมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็ขาดทุน  เทียบกับ การถือครองหุ้นอยู่เฉยๆ ตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ยังจะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าคนที่พยายามจะซื้อขายหุ้นกันไปมา

ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยครับ เพราะผู้จัดการกองทุนเอง ก็ไม่สามารถหลีกหนีหลักการเรื่องอารมณ์ และค่าใช้จ่ายได้ครับ หากนักลงทุนสายเก็งกำไรมีผู้จัดการกองทุนที่พยายามแข่งขันกันทำผลตอบแทน จึงต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้นกันเอง สุดท้ายแล้ว สถิติก็จะออกมาแบบเดียวกันครับ หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกส่วนนึงครับ

แล้วยิ่งกองทุนมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่แตกต่างกันด้วยครับ

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ

สมมติว่าคุณลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท ผ่านไปประมาณ 50 ปี เทียบกัน 2 พอร์ตที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน พอร์ตแรกหากเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิหักค่าธรรมเนียม 0.5% ต่อปี มูลค่าของพอร์ตสุทธิจะอยู่ที่ 1,859,487.30 บาท แต่มูลค่าของพอร์ตที่ 2 ที่ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.5% ต่อปีจะมีมูลค่าสุทธิของพอร์ตอยู่ที่ 1,165,333.93 บาท

และยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็จะมีผลกับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว​ เชื่อว่าคุณคงกำลังฝึกที่จะตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ผมแนะนำว่าให้ตั้งกฏเหล็กให้กับตัวเอง ที่นิยมใช้กันเช่นการตั้งตัวเลขไว้ที่ 10% หากราคาหุ้นขึ้นถึงระดับดังกล่าว ก็ให้ขายออกเสีย แล้วไม่ต้องไปสนใจราคาหลังจากนั้นครับ หรือหากยังทำไม่ได้ก็ให้ AI ลงทุนให้ครับ เพราะ AI ไร้อารมณ์​เสมอครับ ให้ AI คอยเลือกธุรกิจที่ดีและปล่อยให้เงินลงทุนเติบโตไปตามการเติบโตของธุรกิจและปันผล มีการกระจายความเสี่ยง และการปรับพอร์ตอย่างเป็นระบบตามหลักการให้เรียบร้อย สะดวกสบายกว่าเยอะครับ

ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น หากคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แทนการเก็งกำไร ก็อาจจะลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้ หรือหากเป็นกองทุนที่มีค่าบริหารจัดการ คุณควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำไว้ก่อน เช่นกองทุนดัชนี หรือลงทุนกับ Jitta Wealth เองก็คิดค่าบริหารจัดการที่ต่ำมากเพียง 0.5% เท่านั้นครับ

การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ อยู่แล้ว ขอเพียงแค่อดทนกับความผันผวนระยะสั้นและถือครองการลงทุนไปได้เรื่อย ในทางกลับกันการเก็งกำไรในตลาดหุ้น เป็นเกมศูนย์ (Zero Sum Game) ​​ถ้ามีคนนึงขายหุ้น ก็ต้องมีคนนึงซื้อหุ้น และเมื่อมีคนนึงได้กำไร อีกคนก็ต้องขาดทุนเสมอครับ

ดังนั้นหากคุณสามารถตัด “ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” ออกไปได้จากการลงทุนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำผล    ตอบแทนระยะยาวได้เหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆ ไปก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้นครับ

]]>
1481143
ให้ AI นำทางบนถนนสายการลงทุน https://positioningmag.com/1477404 Tue, 11 Jun 2024 03:25:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477404

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

กระแสการใช้ AI ในทุกวันนี้กระเทือนไปหลายอุตสาหกรรม มนุษย์ทำงานเองก็ยังรู้สึกหวั่นๆ เมื่อไรจะถูก AI มาแทนที่ หลายคนอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ผมในฐานะที่ใช้ AI ทำงานในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้ามาตลอด 12 ปี อยากแนะนำให้ทุกท่านใจเย็น มอง AI อย่างสร้างสรร และใช้ประโยชน์จาก AI ให้ได้มากที่สุด และทุกวันนี้เทคโนโลยีก็พัฒนา AI ให้พวกเราทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบกับ AI ในหัวข้อต่างๆ ที่เราสนใจ หรือจะใช้วาดรูป สร้างคลิปวิดีโอทำพรีเซนเทชั่นก็สุดล้ำ และที่ง่ายคือทุกอย่างทำได้บนมือถือของเราเองครับ

ผมกล้าพูดได้ว่า ทุกวันนี้ AI ฉลาดขึ้นมาก คำตอบที่เรามักจะได้กลับมาจาก AI แชตบอต มีความลึกขึ้นมาก ผมได้ทดลองตั้งคำถามกับ Copilot ที่ทาง​ไมโครซอฟท์เพิ่ง เปิดตัวแชตบอต​ AI สำหรับทำงานด้านการเงินโดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ ผมลองตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนแบบ​ DCA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนนิยมใช้กันด้วยการทยอยๆ ซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน เป็นระยะๆ ข้อดีก็คือ ช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้ไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

ผมได้ทดลองพิมพ์คำถามเข้าไปว่า ‘DCA ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนหุ้นจริงๆ หรอ?’

และนี่คือคำตอบที่ผมได้รับครับ

Copilot :

การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA/ เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการลงทุนหุ้นโดยการทยอยซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในช่วงเวลาที่กำหนด

1. ข้อดีของ DCA คือช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

2. อย่างไรก็ตาม, DCA อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาการลงทุน, ความสามารถในการรับความสี่ยง, และเป้าหมายการลงทุนของแต่ละบุคคล

3. สำหรับบางคนที่ต้องการผลตอบแทนสูงสุด และสามารถรับความเสี่ยงได้, การลงทุนแบบเลือกจังหวะ (timing the market) อาจเหมาะสมกว่า แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง และมีวินัยในการออม, DCA อาจเป็นทางเลือกที่ดี

ในท้ายที่สุด, การเลือกวิธีการลงทุนควรพิจารณาจากสถานการณ์ส่วนบุคคลและคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความรู้ และประสบการณ์เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

เป็นอย่างไรครับคำตอบที่ได้ ค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าหากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงแล้ว DCA คือคำตอบที่ดี

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการใช้ AI ที่รู้เรื่องการเงิน รู้จักและเข้าในเรื่องของการ DCA ส่วนคุณในฐานะนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ตัวเองว่า คุณเป็นนักลงทุนแบบไหน นี่คือสิ่งที่ AI ยังตอบไม่ได้ เพราะยังเรีนนรู้ไปไม่ถึงจิตใจของคุณในเวลานี้ แต่อนาคตไม่แน่นะครับ หาก AI ได้เห็นพฤติกรรมการลงทุนของคุณบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้เพราะในโลกการลงทุน ผมได้มีการใช้ AI กับการลงทุนมาเป็นเวลานานมากแล้วครับกองทุนระดับโลกหลายแห่งก็ได้นำ AI มาใช้บริหารพอร์ตลงทุน ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase & Co, Morgan Stanley, Vanguard Group, Deutsche Bank AG, ING Groep NV, Fidelity และ Wealthfront ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 บริษัทจัดการลงทุนที่นำ AI มาใช้บริหารจัดการพอร์ตลงทุนมากที่สุดนั่นเอง

และปัจจุบัน 70% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดสหรัฐฯ มาจาก AI ทั้งการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์และมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจลงทุน และการใช้ AI ทำการซื้อขายหุ้นเองแบบเบ็ดเสร็จ และนับวัน AI จะฉลาดมากขึ้นจากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป บวกกับการเรียนรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้น

ผมขอยกตัวอย่าง Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ของ Jitta ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อตั้งจิตตะเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ทำการประมวลผลข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวันเพื่อวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing: VI) ที่ใช้ศาสตร์ของ ‘Quant VI’ ช่วยคัดหุ้นดีราคาถูก สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว

และต่อมาก็ได้เพิ่มศักยภาพของ AI ด้วยการนำมาพัฒนาเทคโนโลยีการลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) ให้กับลูกค้า Jitta Wealth ช่วยในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนส่วนบุคคลให้กับนักลงทุนกว่า 68,000 พอร์ต ในทุกๆ มิติการลงทุน ​ทั้งการบริหารความเสี่ยง การจัดสินทรัพย์ให้กระจายทั่วโลก รวมถึงการปรับพอร์ตรายบุคคลอัตโนมัติอีกด้วย

ข้อดีอย่างนึงของการบริหารพอร์ตด้วย AI นอกจากการประมวลผลจาก Big Data ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว สิ่งที่ AI เหนือกว่ามนุษย์ชนิดที่เลียนแบบไม่ได้เลยคือเรื่องของ ‘อารมณ์’ ครับ เพราะ AI ไม่มีอารมรณ์ ทุกครั้งที่ตลาดได้รับข่าวบางอย่างจนเกิด Panic นักลงทุนมักเทขายหุ้นออกมาเพราะความกลัว โดยไม่ได้สนใจว่านั่นคือหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ​และนั่นก็จะเป็นโอกาสสำหรับ AI โดยเฉพาะ AI ของ Jitta Wealth ที่ยังถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหา ‘หุ้นดีราคาถูก’ เพื่อเข้าลงทุน AI ไม่ได้รู้สึกกลัวไปตามภาวะตลาดนะครับ

และสิ่งนึงที่พิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของ AI คือเรื่องของผลตอบแทนที่ AI สามารถบริหารพอร์ตได้ดีกว่าหลายๆ กองทุนที่ใช้คนในการบริหาร เช่น Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทน 140.27% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม

AI ที่ผ่านการเรียนรู้และบททดสอบในแต่ละวิกฤติทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง​มันพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ผมเองในฐานะผู้ใช้ AI ก็ต้องไม่หยุดนิ่งเช่นกัน การเรียนรู้ระหว่างผมและ AI ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อย่าง AI Predictive Analytics ที่เป็นการนำฐานข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ในทุกมิติ สร้างโมเดลการลงทุน เพื่อค้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น

หากถาม AI ว่าในเวลานี้ ตลาดหุ้นใดที่กำลังน่าสนใจ Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ที่ Jitta ฝึกฝนมาตลอด 12 ปี จะประมวลผลจากหุ้นทั่วโลก บวกกับพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ และยังได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา เราพบว่าอัตราส่วนหุ้นถูกแพงในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มีนัยต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ซึ่งคำถตอบที่ Jitta Intel พบในเวลานี้ ชี้ไปที่ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง เป็นตลาดที่มีจำนวนหุ้นดีราคาถูกมากที่สุด หรือมีมากกว่าหุ้นดีที่ราคาแพง จึงบอกได้ว่าเป็นตลาดที่น่าลงทุนและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด

นี่คือความล้ำหน้าของ AI ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ซื้อขายตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น แต่ยังสามารถนำข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์อนาคตให้เราลงทุนได้เสียด้วย แน่นอนครับ AI เพื่อการลงทุนยังได้รับการพัฒนาต่อไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินและการลงทุนในมิติต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ตรงตามรูปแบบการลงทุนเฉพาะบุคคล ความเสี่ยงและ Lifestyle ของแต่ละบุคคล ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและออกแบบได้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้คนที่ไม่เคยออกไปลงทุนต่างประเทศได้ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่ไม่ต้องสูงมากเหมือนในอดีตแล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ยังพบว่ามีคนอีกกลุ่มที่สนใจลงทุน แต่ยังติดอุปสรรคหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของวินัยทางการเงินที่ไม่สามารถเก็บออมจนมีเงินเริ่มต้นเพียงพอที่จะลงทุนได้ และรู้สึกว่าการลงทุนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงได้ ผมถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะเรื่องของการลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญหนึ่งในการใช้ชีวิต และเป็นพื้นฐานที่จะพาไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่ง AI ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาช่วยออกแบบวิธีการเก็บออมให้เป็นเรื่องง่าย ใครจะรู้เงินเล็กๆ น้อยๆ ของคุณอาจสร้างมูลค่ามหาศาลได้ในอีกไม่นานนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ ให้คุณได้เข้าถึงการลงทุนด้วยวิธีที่คุณเอง อาจจะคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ

แล้วคุณจะมีความสุขเมื่อเห็นเม็ดเงินที่งอกเงยและผลตอบแทนเติบโตสวยงามได้ด้วยเทคโนโลยี AI

]]>
1477404