หากจะพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีใกล้ชิดการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมี “ค้าปลีก” อย่างแน่นอน นอกจากจะเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ เกิดการจ้างงานในชุมชน ยังเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของพื้นที่นั้นๆ
ซึ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย มีโครงการครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ “ศูนย์การค้า” ที่ปักหมุดเป็น World Destination ไปแล้วเรียบร้อย การที่เซ็นทรัลพัฒนาขึ้นแท่นเป็นศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะมีการพัฒนาโครงการครอบคลุมทุก Strategic Location แล้ว “ร้านค้า” หรือพาร์ทเนอร์ก็เป็นหัวใจสำคัญไม่น้อย เพราะเป็นแม็กเน็ตหลักที่จะช่วยดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในศูนย์ฯ ได้
จุดแข็งอย่างแรกที่ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือทองนั่นคือ ประสบการณ์ในวงการค้าปลีกกว่า 45 ปี ปั้นศูนย์การค้า 41 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 18 โครงการ ต่างจังหวัด 23 โครงการ รวมไปถึงที่ประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง ด้วยประสบการณ์ขั้นเซียนจึงเป็นที่ไว้วางใจของทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างชาติระดับโกลบอลโดยมีหลายแบรนด์ที่เลือกเซ็นทรัลเวิลด์เปิดร้านสาขาแรก และบางแบรนด์เป็นแฟล็กชิพสโตร์
นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขาย บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า
“เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนให้กับทุกคน รวมถึงพันธมิตรคู่ค้า โดยมีศูนย์การค้ากว่า 41 สาขาใน Strategic Prime Locations ทั่วประเทศ และในประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง พร้อมแบรนด์ร้านค้ากว่า 18,000 ร้านค้า และเป็น House of Global Brands ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก 76 แบรนด์ในการเปิดสาขาแรกในไทย รวมถึงแฟลกชิปสโตร์กว่า 44 แบรนด์ พร้อมซัพพอร์ตการขยายสาขาทั่วประเทศและการสนับสนุนแบรนด์ไทยน้องใหม่มากกว่า 200 แบรนด์ ผ่าน Retail Incubation Program เช่น โครงการ LEAD by Central Pattana หลักสูตรรีเทลหนึ่งเดียวที่ให้ผู้ประกอบการได้เรียนจริง ทำจริง และเติบโตจริง กับเซ็นทรัลพัฒนา
เซ็นทรัลพัฒนาไม่ได้มองร้านค้าเป็นเพียงแค่คู่ค้าอย่างเดียว แต่เป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาวที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน พร้อมจะเป็น Your Success Partner เป็นเพื่อนคู่คิดตลอดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ ด้วยโลเคชั่นสุดปังสร้างร้านให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมติดอาวุธให้พาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตแบบ 360 องศา ด้วยเครื่องมือทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ รวมถึง Data Platform ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดอีกด้วย
ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์การค้าหนึ่งเดียวที่รวมกว่า 18,000+ ร้านค้าทั่วประเทศมากที่สุด เป็น House of Global Brands 76 แบรนด์ดังปักหมุดสาขาแรกในไทย และ 44 แฟลกชิพสโตร์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล จากความสำเร็จนี้สะท้อนได้จาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
มีทีมงานเฉพาะทางทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างใกล้ชิดแบบ “Tenant Centric” โดยมีความรู้และประสบการณ์ในการเข้าใจลูกค้าในแต่ละภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง นำเสนอ Marketing Solution แบบ 360 องศา ช่วยผลักดันยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงการ Co-create กับแบรนด์ เพื่อให้คู่ค้า ผู้ประกอบการท้องถิ่น และชุมชนเข้ามาอยู่ใน Ecosystem ที่ยั่งยืนของเซ็นทรัลพัฒนา พร้อมทำงานร่วมกับแบรนด์ทุกขนาดเพื่อสร้างโอกาสและพัฒนาประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับคู่ค้าและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
โปรแกรมเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่ดีที่สุด เป็น Retail Incubation Programme กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักตัวเองและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้คำแนะนำจากกูรู พร้อมกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีสนามให้ทดลองนำแนวคิดใหม่ๆ มาวิเคราะห์และปรับปรุงก่อนใช้จริง ช่วยจุดประกายความยั่งยืนให้ธุรกิจ โดยตัวอย่างเช่น โครงการ ‘LEAD’ by Central Pattana คอร์สรีเทลที่ดีที่สุด เรียนจริง ทำจริง โตจริง สร้างความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ใหม่และสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต่อเนื่องกว่า 200 แบรนด์ ในระยะเวลา 6 ปี ล่าสุด! ได้รับรางวัล Marketing Excellence Awards 2024 และในอนาคต ยังมีโปรแกรมเพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพพร้อมติดอาวุธให้ผู้ประกอบการอีกหลายมิติ ให้พร้อมเติบโต Scale-Up และขยายสาขาไปทั่วประเทศ
แบรนด์คู่ค้า Central Pattana มีอัตราการเติบโตสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปถึง 2.7 เท่า เมื่อเข้าร่วม “โปรแกรม The 1 BIZ” Data Platform พร้อมใช้ ให้คู่ค้าเข้าถึง Data ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด ผ่านการร่วมมือกับ The 1 ที่มีข้อมูลทั้งเชิงลึก และเข้าถึงได้ตรงจุด ด้วยฐานสมาชิกกว่า 21 ล้านคน พร้อมอัดฉีด 360 Marketing investment เพื่อทำ Marketing activation ทั้ง Campaign promotion และ Communication สนับสนุน Platform กว่าอีก 200 ล้านบาทต่อปี ติดปีกคู่ค้าด้วยบทพิสูจน์การเติบโตเพิ่มยอดขายเฉลี่ยให้แบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในระยะเวลา 6 เดือนแรกของการเข้าร่วมโปรแกรม
สำหรับในปี 2567 แบรนด์ระดับโลกที่เชื่อมั่นเลือกเปิดสาขาแรกรวมถึงแฟล็กชิปสโตร์กับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ล้วนได้รับความนิยมเกิดเป็นกระแสไวรัลไปทั่วประเทศ อาทิ
กลุ่มอาหาร และเครื่องดื่ม
กลุ่มแฟชั่น และไลฟ์สไตล์
ทั้งนี้ ในปีนี้ยังมีแบรนด์ระดับโลกที่เลือกกลับมาเปิดใหม่ในไทยอีกครั้งกับเรา อาทิ AESOP แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ในคอนเซปต์ใหม่ และ GENKI SUSHI ซูชิสายพานจากญี่ปุ่น ใช้ Kousoku Train รถไฟความเร็วสูงเพื่อเสิร์ฟซูชิถึงโต๊ะ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นข้อการันตียืนยันความสำเร็จของการเป็นเบอร์หนึ่งของศูนย์การค้าไทย เป็นจุดหมายปลายทางของแบรนด์ดังระดับโลกที่เลือกศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหมุดหมายในการเปิดสาขาแรก รวมไปถึงแบรนด์ไทยชั้นนำก็เลือกเซ็นทรัลพัฒนาในการขยายธุรกิจ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ติดสปีดในการเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยบทบาท Big Brother ภายใต้โครงการ LEAD by Central Pattana มีแบรนด์ดังที่มีแพชชั่นอันแรงกล้าเข้าร่วมอย่าง GENTLEWOMAN, RAVIPA, WITH IT, URTHE, YUEDPAO, โรงชาชงดี ปัจจุบันสามารถสยายปีกได้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยโครงการนี้ได้สร้างความสำเร็จกว่า 200 แบรนด์
เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเขย่าวงการค้าปลีกสร้างอิมแพ็คระดับประเทศ เตรียมจับตามอง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” บิ๊กโปรเจ็คต์ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนของ Central Park Office จะเปิดให้บริการใน Q3 ปี 2568 และศูนย์การค้า Central Park จะเปิดให้บริการใน Q4 ปี 2568 และเซ็นทรัล กระบี่ ที่คาดว่าจะเปิดใน Q4 ปี 2568 เรียกได้ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศได้แน่นอน ดึงดูดคลื่นนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาพร้อมเม็ดเงินหมุนเวียนจากทั่วโลก
]]>ในช่วงปีที่ผ่านมาขึ้นชื่อว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย หลายวงการมีเรื่องราวมากมายทั้งแง่บวก และแง่ลบ ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเคลื่อนไหวไม่น้อยหน้าจากธุรกิจอื่น หลายแบรนด์ต่างพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกเซ็กเมนต์
AssetWise หรือ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ของไทย ขึ้นแท่นบริษัทที่น่าจับตามองอย่างมากในปีนี้ ด้วยความที่มีการพัฒนาโครงการที่หลากหลายทั้งแนวราบ และแนวสูง คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เรียกว่าเก็บครบทุกเซ็กเมนต์ที่ตลาดต้องการ แถมล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยังเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับท็อป 10 ที่มีรายได้สูงที่สุดอีกด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มมองโอกาสในการพัฒนาโครงการนอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น มีการเริ่มโครงการในหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว รวมไปถึงขตเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
ทางแอสเซทไวส์ได้ขยายการลงทุนไปยังสุดยอดโลเคชันศักยภาพแห่งหนึ่งในประเทศไทย นั่นก็คือ “ภูเก็ต” ผ่าน “ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแอสเซทไวส์ หลังจากที่ได้เข้าถือหุ้นสัดส่วน 67.94% ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เมื่อไม่นานมานี้
ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 12 ปี และมีโครงการที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ตามทำเลศักยภาพ 3 ทำเล คือ บางเทา ในยาง และราไวย์ ซึ่งเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ความงดงามของธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการพักอาศัยระยะยาว (Long-Stay) และท่องเที่ยวระยะสั้น
การที่แอสเซทไวส์เข้าซื้อกิจการถือหุ้นใหญ่ เป็นทางลัดที่ทำให้ขายธุรกิจมายังภูเก็ตได้โดยปริยาย โดยมีผู้เล่นระดับโลคอลที่รู้พฤติกรรมของคนพื้นที่อย่างดี เติมเต็มพอร์ตฟอร์ลิโอให้แน่นขึ้น ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าระดับอินเตอร์ และยังเป็นการอัพภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีมูลค่ามากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
เรียกได้ว่า THE TITLE จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่ทำให้แอสเซทไวส์เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มรายได้ให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงความหลากหลายในการพัฒนาโครงการโลเคชั่นใหม่ๆ อีกด้วย
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“วันนี้เราได้พิสูจน์แล้วว่า กลยุทธ์ Expand ขยายทำเลมายังภูเก็ต เป็นอีกหนึ่ง Key Success ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับเครือแอสเซทไวส์ได้อย่างมั่นคงตามแผน The New Frontiers ที่เราประกาศไว้ แต่นอกเหนือจากมิติด้านการเติบโตแล้ว ASW และ TITLE ยังต้องการพัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน Heaven Bestination จุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกอยากมาสัมผัสประสบการณ์และใช้ชีวิตด้วย เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างสรรค์ Community ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน”
ถ้าพูดถึงจังหวัดภูเก็ตในตอนนี้ ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเพียงหัวเมืองใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยวได้อีกต่อไป เพราะขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการเดินทางเข้ามาพักระยะยาว หรือพักในช่วงเกษียณอายุเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติล้วนหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองภูเก็ตกันทั่วโลก เราจึงได้เห็นอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตบูมมากเป็นพิเศษ
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตได้ฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตปี 2567 ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ
ส่งผลให้กำลังซื้อของคนในพื้นที่แข็งแกร่งขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมในภูเก็ตทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 33,730 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นราว 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ด้านยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 4,497 หน่วย ขยายตัวขึ้น 259.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าทั้งหมดราว 40,190 ล้านบาท เติบ โตขึ้น 799% ซึ่งทำเลที่มียอดขายใหม่โดดเด่นมากที่สุดคือ “หาดบางเทา-หาดสุรินทร์” จำนวน 2,202 หน่วย หรือคิดเป็น 48.97% ของจำนวนหน่วยยอดขายใหม่ทั้งหมด
ด้วยศักยภาพของภูเก็ต ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้จึงได้พัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน “Heaven Bestination” จุดหมายปลายทางของทุกประสบการณ์ความสุขที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ที่ผสมผสานความเงียบสงบและความงดงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณา The Title Heaven Bestination เล่าเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ลากกระเป๋าบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเดินทางมายังภูเก็ต ซึ่งเป็น World Destination จุดมุ่งหมายสำหรับการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก ที่มีกิจกรรมทั้ง Day Life และ Night Life อีกทั้งแต่ละหาดยังมี Character และมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งโครงการของ THE TITLE จะยิ่งเข้าไปช่วยเติมเต็มความสุขของผู้อยู่อาศัยในภูเก็ตมากยิ่งขึ้น ผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายแบบทุกมิติ
เปิดเพิ่มอีก 4 โปรเจ็คต์ มูลค่า 15,500 ล้านบาท และคอมมูนิตี้มอลล์
ล่าสุดไฮซีซั่นนี้ (2024-2025) ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ภูเก็ต 4 โครงการ มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท ปักหมุดทำเลบางเทา, กะตะ และราไวย์ ได้แก่
นอกจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้วยังมี Mingle Naiyang คอมมูนิตี้มอลล์ที่เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ Tops Supermarket ที่จะเปิดบริการเต็มรูปแบบไตรมาส 1 ปี 2568 เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นแค่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัย
แต่ยังสร้างคอมมูนิตี้ให้น่าอยู่กับชุมชนในภูเก็ตอีกด้วย โดยใน Mingle Naiyang จะมีสำนักงานขายใหม่ ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างโครงการ The Title Serenity Naiyang รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่โซนในยางอีกด้วย
ปัจจุบันแอสเซทไวส์ และ TITLE มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 31,500 ล้านบาท จากความสำเร็จของแบรนด์ THE TITLE ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ภาพรวมยอดขายของแอสเซทไวส์มียอดขายสะสม 9 เดือนแรกปี 2567 ทั้งหมด 14,578 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนที่มาจาก TITLE คิดเป็น 43% ของยอดขายสะสม ทั้งนี้ ปัจจุบัน TITLE มี Backlog สะสมทั้งหมดราว 8,022 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (THE TITLE HALO 1) และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการอื่นๆ ต่อเนื่องจนถึงปี 2570
#HeavenBestination #AssetWise #TheTitle #RhombhoProperty #Phuket #LeisureCondominium
]]>ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ตามการขยายตัวของสังคมเมือง ที่มาพร้อมกับความต้องการในเรื่องของความสะดวกสบาย ด้วยเหตุนี้เองแบรนด์ โลตัส ภายใต้การดำเนินงานของ CP AXTRA จึงมีภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ด้วยการพัฒนาบริการและออกแบบสาขารูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ SMART Urban Supermarket
ในวันที่สังคมเมืองของไทยขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ความต้องการความสะดวกสบายก็ตามมา ซึ่งจะเห็นว่าคนหันมาซื้อสินค้าจากร้านค้าใกล้บ้านมากขึ้น การใช้บริการเดลิเวอรี่กลายเป็นเรื่องปกติ และนับตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 เทรนด์การทำอาหารที่บ้านก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ดังนั้น เรื่องของ วัตถุดิบ จึงเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ สินค้าที่เกี่ยวกับ อาหาร ไม่ว่าจะพร้อมทาน หรือแค่วัตถุดิบ จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยังช่วยสร้าง ลอยัลตี้ ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องการดำรงชีวิตประจำวัน
เพื่อรองรับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โลตัส ภายใต้ CP AXTRA จึงมุ่งสู่การเป็น จุดหมายปลายทางด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค (The Ultimate Food & Lifestyle Destination for All) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ โลตัส โก เฟรช (Lotus’s go fresh) จะถูกออกแบบให้มีคอนเซ็ปต์ที่ต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับทำเลที่ตั้ง และคนในชุมชนนั้น ๆ รวมถึงช่วยสร้างความแตกต่างให้กับโลตัส โก เฟรช กับห้างค้าปลีกอื่น ๆ
ล่าสุด CP AXTRA ก็ได้ขยายสาขาใหม่ที่ใช้คอนเซ็ปต์ SMART Urban Supermarket คือ โลตัส โก เฟรช ซูเปอร์มาร์เก็ต ประเวศ ที่ตั้งอยู่ Jas Green Village บนถนนสุขาภิบาล 2 รวบรวมสินค้าอาหารสดพรีเมียม และวัตถุดิบนำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ และเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าในพื้นที่ รวมถึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ นอกจากนี้ สาขานี้ยังตั้งอยู่บนทำเลที่มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เนื่องจากเชื่อมต่อกับถนนสำคัญหลายสาย ได้แก่ ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ถนนอ่อนนุช และถนนลาดกระบัง ทำให้รองรับทุกความต้องการของลูกค้าในชุมชนใกล้เคียง ที่มีประชากรหนาแน่นและกำลังเติบโต
โลตัส โก เฟรช ซูเปอร์มาร์เก็ต ประเวศ นอกจากจะยังคงความเป็นศูนย์รวมอาหารสดพรีเมียม และมีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกในราคาที่คุ้มค่า ยังได้เพิ่มความสะดวก ช่วย ลดขั้นตอนการเตรียมอาหาร ด้วยบริการเสริมอื่น ๆ อาทิ บริการตัดแต่ง หั่นและแล่เนื้อสัตว์ และ ตัดแต่งผลไม้สด ส่งตรงจากสวน บริการ Slushy Bar หรือ ปั่นน้ำผลไม้ รวมถึงการให้ข้อมูลวัตถุดิบต่าง ๆ จาก พนักงานที่มีความรู้เฉพาะทาง อีกด้วย
นอกเหนือจากสินค้าอาหารสดและวัตถุดิบนำเข้า ทาง โลตัส โก เฟรช ซูเปอร์มาร์เก็ต ประเวศ ยังมีสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ครบทุกเจนเนอเรชั่น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว และสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยบริการชำระเงินแบบไร้เงินสดผ่านทรูมันนี่วอลเล็ท รวมถึงสามารถเลือกเลือกรับสินค้าเองหรือจัดส่งถึงบ้านด้วย ผ่าน Lotus’s SMART App
ต้องยอมรับว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกถือว่ามีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้น การปรับตามเทรนด์ของการเติบโตของสังคมเมือง ที่เน้นความสะดวกสบาย โดยมุ่งมั่นเป็นเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน ที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ CP AXTRA เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
]]>กรุงเทพฯ 11 ธันวาคม 2567: Pearson (LON: PSON) บริษัทด้านการเรียนรู้ชั้นนำระดับโลก ประกาศเปิดตัวหลักสูตร BTEC ภาษาไทย เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงคุณวุฒิที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย และช่วยพัฒนากำลังแรงงานที่มีทักษะของประเทศไทย
หลักสูตร BTEC ภาษาไทย เกิดขึ้นจากความสำเร็จของหลักสูตร BTEC ภาษาอังกฤษ ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2561 นับตั้งแต่นั้นความต้องการหลักสูตร BTEC ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาขั้นสูงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนปัจจุบัน BTEC ได้รับการรับรองจากระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) และได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไทย
“BTEC เป็นเส้นทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียน นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจาก TCAS อีกด้วย BTEC เทียบเท่ากับชั้นม.6 และ A-Level อีกทั้งคุณวุฒิ BTEC ได้รับการยอมรับจากกว่า 80 มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม!” คุณเบน มอร์เลย์, UK’s Commercial Counsellor and Department of Business and Trade Country Director, กล่าว ณ งานเปิดตัว NewEd School โรงเรียนใหม่ที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนหลักสูตร BTEC
“การพัฒนาที่สำคัญนี้ มอบความยืดหยุ่นให้กับนักเรียนที่ต้องการศึกษาหลักสูตรระดับโลกจากสหราชอาณาจักร ในขณะที่ยังคงศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พร้อมกับยังคงมีตัวเลือกในการศึกษาต่อในประเทศไทย” คุณอันนาเบล ลอว์เดย์, Pearson Workforce Skills Head of International Stakeholder Relationships, กล่าวในฐานะแขกพิเศษ ณ พิธีเปิด NewEd BTEC
“BTEC เสริมสร้างหลักสูตรที่มีอยู่เดิม ช่วยให้นักเรียนได้รับการศึกษาอย่างรอบด้าน และเตรียมความพร้อมด้วยทักษะที่ต้องการในตลาดโลก ประกอบไปด้วยหลักสูตรที่หลากหลาย อาทิ สื่อสร้างสรรค์ การตลาดดิจิทัล การท่องเที่ยวและโรงแรม ธุรกิจ และอีสปอร์ต“
หลักสูตรเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบทักษะและความรู้เชิงปฏิบัติที่นายจ้างทั่วโลกให้ความสำคัญ เปิดโอกาสสู่เส้นทางอาชีพที่หลากหลาย”
โครงสร้างของ BTEC นั้นมีความยืดหยุ่น สามารถนำมาสอนได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และยังสามารถผสมผสานกับหลักสูตรที่มีอยู่เดิมได้ เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้และความต้องการของสถาบันการศึกษาที่หลากหลาย ด้วยการได้รับการยอมรับจากกว่า 300 มหาวิทยาลัยทั่วโลกและ 80 มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ผู้สำเร็จหลักสูตร BTEC จึงได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดงานระดับโลก
ด้วยการนำหลักสูตร BTEC มาใช้ สถาบันการศึกษาไทยสามารถยกระดับหลักสูตรให้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งนักเรียนไทยและนักเรียนต่างชาติ เตรียมความพร้อมสู่อนาคตให้นักเรียน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรของประเทศไทย Pearson มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสถาบันการศึกษาและครูอาจารย์ในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตร BTEC ผ่านการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและทรัพยากรต่างๆ Pearson มุ่งมั่นในการเสริมพลังให้ครูผู้สอนมอบการศึกษาที่ดีที่สุดให้แก่นักเรียน
ศึกษาและนำเสนอหลักสูตร BTEC: https://bit.ly/btec-thailand
ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์: Heather Gilmore [email protected]
เกี่ยวกับ Pearson
ที่ Pearson เป้าหมายของเราเรียบง่าย: เพื่อเติมเต็มชีวิตสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต เราเชื่อว่าโอกาสในการเรียนรู้ทุกโอกาส ล้วนเป็นหนทางสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ พนักงานเพียร์สันกว่า 20,000 คนทั่วโลก จึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวาและหลากหลายเพื่อผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อชีวิตจริง
เราคือผู้นำด้านการเรียนรู้ระดับโลก ที่ให้บริการลูกค้าในเกือบ 200 ประเทศ ด้วยเนื้อหาดิจิทัล การประเมินผล คุณวุฒิ และข้อมูลเชิงลึก สำหรับเรา การเรียนรู้ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราทำ แต่มันคือตัวตนของเรา เยี่ยมชมเราได้ที่ pearsonplc.com
]]>ในโลกปัจจุบัน กระแสความยั่งยืนกำลังเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญ อันเนื่องมาจาก ความกดดันจากภาคนโยบาย กฏหมาย การจัดเก็บภาษีและการคัดเลือกคู่ค้าที่เข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว ไม่สามารถทำเพียงแค่โครงการ Corporate Social Responsibility (CSR) แล้วจบไป แต่จำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ตั้งเป้าหมาย วางกลยุทธ์ และเก็บข้อมูลเพื่อนำมารายงานต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักลงทุน เพื่อให้สามารถเติบโตได้ในสภาวะที่กติกาการทำธุรกิจของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป เรื่องความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด
Tact Social Consulting หรือ บริษัท แทคท์ โซเชียล คอนซัลติ้ง จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ก่อตั้งโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแพชชั่นอย่างแรงกล้าในเรื่องความยั่งยืน “ชยุตม์ สกุลคู” ในตำแหน่ง CEO “ปวรรัตน์ ลิสกุลรักษ์” ตำแหน่ง COO และ “ดลพร พิทักษ์สิทธิ์” ตำแหน่ง CFO
กลุ่มผู้ก่อตั้งทั้ง 3 ท่านเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เรียนกันคนละคณะ แต่ว่าเป็นนักกิจกรรมด้วยกัน ได้ทำกิจกรรมอย่างค่ายอาสาพัฒนาชุมชนหลายโครงการ ทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น เมื่อเรียนจบจึงได้ชวนกันตั้งบริษัท ระหว่างทางได้มีโอกาสทำความเข้าใจปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ลึกขึ้นจากการทำโครงการร่วมกับบริษัทเอกชน ภาครัฐ นักวิชาการ และองค์กรต่าง ๆ จึงมีความตั้งใจจะเป็นกลไกในการช่วยผลักดันภาคส่วนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืน และลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วจบ จึงเป็นที่มาของชื่อบริษัทว่า Tact มาจากคำว่า Take Action หรือการลงมือทำนั่นเอง
Tact เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี 2561 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า “Driving Sustainable Transformation” ทำให้ Tact มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรในการช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ยังยืนได้ ผ่านการให้บริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ช่วยองค์กรในการวางกลยุทธ์และดำเนินโครงการที่เป็นแนวทางแก้ปัญหาที่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้บรรลุตามที่องค์กรเป้าหมายที่ตั้งไว้
ชยุตม์ สกุลคู แม่ทัพใหญ่ของ Tact ได้เริ่มเล่าว่า
“เราเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาเรื่องความยั่งยืน และเป็นผู้ลงมือทำร่วมกับองค์กร เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านไปสู่องค์กรที่มีวิธีคิดในการรับผิดชอบประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในปัจจุบันภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งเอกชนและรัฐในประเทศไทยให้ความสนใจกับเรื่องความยั่งยืนมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จึงเป็นโอกาสของ Tact ที่จะได้เข้าไปช่วยองค์กรปรับตัวและลงมือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น”
กลุ่มลูกค้าของ Tact แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ เนื่องจากกติการการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อบริหารจัดการและรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนมากขึ้น
กลุ่มองค์กร 3 กลุ่มนี้จึงเป็นลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่
Tact Social Consulting มีบริการหลักด้วยกัน 4 อย่าง ได้แก่
โดยที่จุดเด่นของ Tact Social Consulting ก็คือ การให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก โดยเริ่มจากการพูดคุยเพื่อเข้าใจบริบทและความจำเป็นเฉพาะของแต่ละธุรกิจในประเทศไทย เราช่วยแนะนำว่าลูกค้าควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นพิเศษ และปรับการบริการให้เหมาะสมกับ Stage ของธุรกิจ ทั้งนี้ยังสามารถปรับรูปแบบการบริการให้เข้ากับอุตสาหกรรม งบประมาณ และโจทย์เฉพาะของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างลงตัว
Tact ให้ความสำคัญกับคุณภาพของบริการ ในทุกโครงการจะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทางมายาวนานทำงานร่วมกันในโครงการด้วย เช่น Sustainability Consulting & Reporting ที่ทางบริษัทได้พาร์ทเนอร์กับทางสถาบันพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน (SBDi) ผู้ออกแบบหลักสูตรและสอนบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์มากว่า 15 ปี รวมถึงบริการด้านอื่น ๆ ที่ตั้งใจช่วยให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ปัจจุบัน แทคท์ เป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและได้ร่วมงานกับลูกค้าภาคธุรกิจและภาครัฐมากกว่า 30 องค์กร ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การธนาคาร พลังงาน ก่อสร้าง และการท่องเที่ยว เราจัดทำกลยุทธ์และโครงการด้านความยั่งยืน รวมถึงการอบรมเรื่อง ESG, Net Zero และ Carbon Accounting การวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้น และการจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI ให้กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกหลายแห่ง
ทำความยั่งยืนให้เกิดเป็น Action มากขึ้น ผ่านการร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft
“ตอนนี้ Tact ได้รับเลือกเป็น Prioritized Partner ของ Microsoft ในการให้บริการ Microsoft Cloud for Sustainability ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี ที่จะนำเอาเทคโนโลยี AI มาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลด้าน ESG และเป็นโอกาสในการสร้างเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสร้างการเติบโตของแทคท์ด้วย” ชยุตม์กล่าว
โดยที่ Microsoft Cloud for Sustainability (MCfS) จะช่วยบริหารจัดการข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ ทั้งในรูปแบบของ Excel และ ERP ขององค์กรให้รวบรวมอยู่ในที่เดียว และช่วยในการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จัดทำ Dashboard สำหรับผู้บริหารและ เรียบเรียงข้อมูลทั้ง E, S และ G ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่ต้องการ
ก้าวต่อไปของแทคท์คือการเป็น Top of Mind ในเรื่องที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนในประเทศไทย เราตั้งเป้าหมายว่าเราอยากจะพัฒนาและขยายบริการให้ตอบโจทย์ความท้าทายด้านความยั่งยืนได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
]]>เตรียมปักหมุดเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสลมหนาวใกล้เมืองกรุงฯ กันได้ในงาน “ชัยพัฒนาแฟร์ สัญจร จังหวัดนครนายก” ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 12 -15 ธันวาคม นี้ ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล และศูนย์ฝึกอบรมสุดาเดือนเพ็ญ และที่พักของมูลนิธิชัยพัฒนา จังหวัดนครนายก ที่จะยกขบวนของอร่อยและสินค้าคุณภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์ของใช้ ของที่ระลึก และงานหัตถกรรม ฯลฯ จากทั่วทุกภูมิภาค กว่า 170 ร้านมารวมไว้ในที่เดียว เพื่อให้คุณได้ช็อป ชิม ชิลล์ กันอย่างเต็มอิ่ม ท่ามกลางบรรยากาศในสวนร่มรื่น คลอเสียงดนตรี และธารน้ำจากเขื่อนขุนด่านปราการชล ที่เรียกได้ว่าเป็น Landmark ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพ ฯ ที่จะชวนคุณมาปักหมุดจุดท่องเที่ยวที่เป็น Highlight ของที่นี่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมล่องแก่ง เขื่อนสวยขุนด่านปราการชล พิพิธภัณฑ์ขุนด่านปราการชล สถานที่ศักดิ์สิทธิ์วัดสวยงาม ตามรอยหลวงปู่มั่น ถ้ำสาริกา ฯลฯ ที่ให้คุณได้พาครอบครัว และคนที่คุณรักมาพักผ่อน แวะเช็คอินถ่ายภาพเก๋ๆ กันได้แบบสุดชิลล์ในแบบที่ไม่ควรพลาด
ในงาน “ชัยพัฒนาแฟร์ สัญจร จังหวัดนครนายก” พบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของเวทีการแสดง การแสดงดนตรีในสวน โดยวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์, ศิลปินเพลงเอก , วงออร์เคสตร้าจากนักเรียนนายร้อย จปร, วงปี่สก็อตวชิราวุธวิทยาลัย และวงดนตรีไทยโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ฯลฯ และการสาธิตการทำอาหารจากเชฟชื่อดัง และเวิร์ค ชอปหลากหลายหัวข้อจากอุทยานการอาชีพชัยพัฒนา จังหวัดนครปฐม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และกิจกรรมจากโรงเรียน และร้านอาหารในจังหวัดนครนายก ฯลฯ
เพลิดเพลินไปกับโซนมูลนิธิชัยพัฒนา ผลิตผล และสินค้าตัวท็อปจาก “โครงการมูลนิธิชัยพัฒนา” กว่า 45 โครงการโซนสินค้าจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 ศูนย์ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสำนักงาน กปร.นำสินค้าวัตถุดิบอาหารพรีเมี่ยม และหายากมาจำหน่ายในงาน โซนของดีของอร่อยจังหวัดนครนายก ที่คัดสรรของกินขึ้นชื่อจากร้านอาหารดังและผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดกว่า 90 ร้าน ที่มารวมไว้ที่นี่ที่เดียว โซนสินค้าและบริการจากบริษัทพันธมิตรมูลนิธิชัยพัฒนา ที่ได้ยกสินค้ามาจัดแสดง และจำหน่ายภายในงาน อาทิ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท บีเอ็มดับเบิลยูแมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาขน) , บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, กลุ่มเซ็นทรัล, บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และกูร์เมต์ มาร์เก็ต, เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม, บริษัท กูร์เมท์ วัน ฟู้ดส์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ภูฟ้า ไร่ชีวิตพอเพียงเพ็ชร์บุรี (องค์กรเพื่อสังคม) ฯลฯ พบกับโซนศิษย์เก่าหลักสูตร “ผู้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (นพย.) จัดแสดงผลงานของกลุ่มศิษย์เก่า นพย. ที่เป็นผู้นำในภาคธุรกิจ ผู้นำชุมชน อาจารย์ และเกษตรกร และโซน “โครงการทหารพันธุ์ดี” ก็จัดเต็มเอาใจชาวเกษตรโดยเฉพาะ ทั้งนิทรรศการความรู้ สินค้าคุณภาพเพื่อการเกษตร และ กิจกรรมสนุกๆ มากมาย
พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมสนุกกับกิจกรรม TikTok Contest ได้ร่วมประกวดคลิปลุ้นรางวัลพิเศษจากมูลนิธิชัยพัฒนา ได้แก่ ประกวดทำคลิป TikTok ทำอาหาร ที่ใช้วัตถุดิบจากโครงการของมูลนิธิชัยพัฒนา และประกวดทำคลิป TikTok ประชาสัมพันธ์การเที่ยวงาน“ชัยพัฒนาแฟร์ สัญจร” เพื่อร่วมบันทึกความประทับใจไปด้วยกัน ผู้สนใจสามารถติดตามได้ที่ TikTok มูลนิธิชัยพัฒนา หรือ chaipattana9 และ Facebook มูลนิธิชัยพัฒนา
]]>ประเทศไทยเองก็ตระหนักดีถึงความจำเป็นของมือที่จะเข้ามาประคองการใช้ชีวิตในสังคมของผู้พิการ จึงพยายามให้ความสำคัญในสิทธิของผู้พิการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเข้าถึงการศึกษาขึ้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้พิการ โดยมีการตั้งหลักสูตร การศึกษาพิเศษขึ้นซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและความต้องการพิเศษของผู้เรียน หลักสูตร นอกจากจะสอนทักษะทางวิชาการแล้ว ยังเน้นการเตรียมความพร้อมเพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจําวันได้
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ ในฐานะบริษัทที่มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาศักยภาพเยาวชน เล็งเห็นถึงความสำคัญการเข้าถึงสิทธิการศึกษาพื้นฐานของผู้พิการที่เป็นเด็กและเยาวชน จึงเข้ามาสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย สนับสนุนการก่อสร้างอาคารเรียน ร่วมสร้างสรรค์ห้องเรียนที่เป็นมิตร เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยแบ่งพื้นที่ห้องเรียนเพื่อให้เด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน รวมไปถึงปรับปรุงสนามเด็กเล่นให้มีความสวยงามและปลอดภัยในการใช้งาน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กในมิติต่าง ๆ เพื่อให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายและเล่นสนุกอย่างมีความสุข
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ กัลฟ์ยังส่งเสริมให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นโดย “กัลฟ์อาสา” พนักงานจิตอาสาของกัลฟ์ ที่พร้อมจะมาสร้างรอยยิ้มและแบ่งปันความรู้ให้กับน้องๆ อย่างใกล้ชิด ๆ ทั้งการระบายสี การเล่านิทานที่สอดแทรกการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กด้วยหมอนช้างจับมือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อมือระหว่างฟังอีกด้วย
ความตั้งใจของกัลฟ์ในการสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี หน่วยบริการแก่งคอย ในครั้งนี้ถือเป็นสองมือที่ยื่นเข้ามาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา สร้างและส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็กพิเศษ และยังส่งต่อการยอมรับและความเข้าใจ ที่จะช่วยประคับประคองให้เด็กผู้พิการเหล่านี้ก้าวเดินได้อย่างมีความสุขในอนาคต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขในสังคมต่อไป โดยกัลฟ์มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความหลากหลายในสังคม (Diversity) การยอมรับในความแตกต่าง (Inclusion) พร้อมทั้งสร้างโอกาสและความเท่าเทียม (Equity) เพื่อเป็นการส่งต่อพลังในการสร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน
]]>การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันนี้มีตัวช่วยที่อำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ การทำการตลาด รวมไปถึงที่ปรึกษาด้านการเงิน ยิ่งถ้าใครอยากทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะมีตัวช่วยที่ทำให้ธุรกิจสยายปีกได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดยกลุ่มงานธุรกรรมการเงิน (Transaction Banking Group) กำหนดจุดยืนในการเป็น Trade Advisory ที่ปรึกษาด้านธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนลูกค้าธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์ และมีความเข้าใจในธุรกิจ โดยผสานความร่วมมือกับ MUFG หนึ่งในกลุ่มการเงินชั้นนำระดับโลก ให้การชำระเงินระหว่างประเทศรวดเร็ว สะดวกและง่ายขึ้น รวมถึงยกระดับบริการ Trade Services แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกมิติความต้องการของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และเร่งเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองธุรกิจนำเข้า และส่งออกให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค
คุณนิลวรรณ จีระบุญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีให้ความสำคัญกับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมให้คำปรึกษากับลูกค้า เราไม่เพียงมอบบริการทางการเงิน แต่เรายังมุ่งมั่นที่จะติดอาวุธให้กับลูกค้า ด้วยการให้คำปรึกษาแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ การจัดการกับความท้าทายที่ลูกค้าอาจพบเจอ อาทิ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน สกุลเงิน การโอนเงินและรับเงินจากคู่ค้าปลายทาง และการนำเสนอโอกาสใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงในตลาดต่างประเทศ”
กรุงศรี Trade Advisory จึงถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดหลักในการผลักดัน และเข้ามาช่วยสนับสนุนลูกค้าธุรกิจทุกขนาด ครอบคลุมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึง SME โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนำเข้า และส่งออกสินค้าจากต่างประเทศ ให้สามารถขยายตัว และแข่งขันในระดับภูมิภาค และทั่วโลกได้
นอกจากกรุงศรีจะมุ่งมั่นให้บริการการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนครอบคลุมทุกความต้องการทางธุรกิจตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางการเงิน การสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม การบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ไปจนถึงการเข้าถึงสินเชื่อพิเศษที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วกรุงศรียังพร้อมเป็นที่ปรึกษา เป็นพันธมิตรที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจการค้าต่างประเทศของลูกค้าในทุกด้านผ่านกลยุทธ์ความแข็งแกร่งทั้ง 5 ด้านของกรุงศรีนั่นคือ
1) เครือข่ายระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยความร่วมมือจาก MUFG และธนาคารพันธมิตรทั่วโลก
2) ทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยดูแล และให้คำปรึกษาแนะนำในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ
3) ต่อยอดบริการทางการเงินดิจิทัล เพิ่มความคล่องตัวให้ลูกค้า เช่น บริการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
4) นำเสนอบริการที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง อาทิ ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
5) เข้าถึงข้อมูลสำคัญและเทรนด์ใหม่ๆ เช่น จัดกิจกรรมสัมมนาอัพเดทความรู้การเงินระดับโลก
ตัวอย่างประสบการณ์จริงจากลูกค้าธุรกิจที่ใช้บริการ Trade Advisory โดย บริษัท กิจเสรีอินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งทางกรุงศรีมีส่วนช่วยสนับสนุนธุรกิจและให้คำปรึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อการขยายธุรกิจ การให้คำปรึกษาด้านการเงิน การให้บริการธุรกรรมการเงินทั้งขารับ และขาจ่าย สำหรับธุรกรรมในประเทศและต่างประเทศ ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยในระดับสากล
คุณวีรชาติ วัฒนาพฤกษากุล กรรมการบริหารบริษัท กิจเสรีอินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “กรุงศรีไม่ได้เป็นเพียงธนาคาร แต่ยังเป็นที่ปรึกษาที่เราสามารถไว้วางใจได้ การที่เราสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศ และเติบโตได้อย่างมั่นคง เป็นผลจากการที่กรุงศรีให้การสนับสนุนในหลายๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การให้คำปรึกษาจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการช่วยให้เราสามารถเข้าถึงตลาดการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการที่เรามีคู่ค้าในจีน การมีบริการชำระเงินและโอนเงินด้วยสกุลเงินหยวน ทำให้เราสามารถตอบโจทย์คู่ค้าของเราในต่างประเทศได้ อีกทั้งเงินหยวนยังมีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนของเราได้ดีมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือกรุงศรีสามารถลดทอนกระบวนการเรื่องเอกสารต่างๆ ให้สะดวก รวดเร็ว มากยิ่งขึ้น ทำให้การชำระเงินระหว่างเราและคู่ค้าปลายทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อธุรกรรมคล่องตัว ธุรกิจก็เดินหน้าไปต่อได้”
ทั้งนี้ กรุงศรียังมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าธุรกิจระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมี Krungsri TradeLink เป็นแพลตฟอร์มหลักที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งสามารถเพิ่มความสะดวก รวดเร็วด้วยการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งรวมทั้งการขอสินเชื่อเพื่อการนำเข้า (Trust Receipt) การแจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit Advising) และยืนยันการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
“กรุงศรียังคงเน้นย้ำจุดยืนในการเป็น Trade Advisory ที่ปรึกษาด้านธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนลูกค้าในทุกก้าว” คุณนิลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
นับเป็นเวลา 25 ปี ที่คาราวาน “ผ้าห่มผืนเขียว” ในโครงการ “ไทยเบฟ..รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นไปยังพี่น้องผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารที่หนาวจัด พร้อมมอบโอกาส ความช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมอันเป็นประโยชน์มากมายที่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วนมาร่วมแบ่งปันรอยยิ้มที่ “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่ง การให้ที่ยั่งยืน”
ล่าสุด โครงการ “ไทยเบฟ..รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ส่งมอบผ้าห่มถึงมือของพี่น้องชาวอ.ศรีเชียงใหม่จ.หนองคายจำนวน 13,000 ผืน โดยมี นายสมภพ สมิตะสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย พร้อมด้วย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย ผู้บริหารระดับสูง อาทิ นายอำนาจ ผการัตน์ นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ นางธารทิพย์ ศิรินุพงศ์ ฯลฯ ร่วมลงพื้นส่งมอบผ้าห่ม และให้กำลังใจพี่น้องชาวบ้านที่มารับผ้าห่มผืนเขียว ณ โรงเรียนพระพุทธบาทวิทยาคม อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ด.ช.อลงกรณ์ วิเศษอุต นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระพุทธบาทวิทยาคม พูดถึงความรู้สึกว่า “ดีใจมากครับที่โครงการฯ เลือกมาที่โรงเรียนของผม เคยเห็นแต่ในทีวีว่ามีโครงการฯ นี้แจกผ้าห่มตามที่ต่างๆ วันนี้มีพี่ๆ มาที่โรงเรียนเยอะเลย มาแจกขนม ไอติม มีให้ช่างมาตัดผมให้ฟรีด้วย ผมและเพื่อนๆ ได้ทำกิจกรรมประดิษฐ์สิ่งต่างๆ จากพี่ที่เดินทางมาจาก กทม. สนุกมากๆครับ อยากให้โครงการฯ มาทุกปีเลยครับ”
คุณตาสุภี ศรีบุญเรือง อายุ 94 ปี และ คุณวันคำ จำปาทอง (ลูกสาว) พูดด้วยความดีใจว่า “พอรู้ข่าวว่าไทยเบฟ จะมาแจกผ้าห่มที่นี่ รู้สึกดีใจมากค่ะ เพราะใกล้บ้าน ตอนนี้ที่หนองคายเริ่มหนาวแล้ว แต่จะหนาวมากขึ้นต้นเดือนหน้า ดีใจที่ผ้าห่ม 1 ผืน เคยดูแต่ในทีวี วันนี้ได้รับผ้าห่มเป็นของตัวเอง รู้สึกดีใจมากค่ะ และนอกจากนี้พ่อยังมาตรวจสุขภาพฟรี คุณหมอที่มาเป็นกันเอง พูดเพราะมากค่ะ ขอบคุณโครงการไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาวมากค่ะ”
ปิดท้ายด้วย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ได้เคียงข้างพี่น้องคนไทยมา อย่างยาวนาน เป็นปีที่ 25 จากจุดเริ่มต้นของโครงการตั้งแต่ปี 2543 จนถึงวันนี้ ที่ได้สานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” ของ คุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า “คนไทยให้กันได้” ที่จะนำความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนเขียวไปส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยหนาว เพื่อช่วยบรรเทาความหนาวเย็นปีละจำนวน 200,000 ผืน เป็นต้นมา ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 25 ปีเต็ม ที่ผ้าห่มผืนเขียว จำนวนกว่า 5,000,000 ผืน ได้แผ่ขยายความอบอุ่นไปสู่ผู้ประสบภัยหนาว พร้อมกับมอบโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ พร้อมกันมาอย่างต่อเนื่อง ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพการส่งเสริมการศึกษา และกีฬา และการส่งเสริมในด้านการสร้างอาชีพ เพื่อให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคาราวานผ้าห่มผืนเขียว สัญลักษณ์ของการ “ให้” และ “ความห่วงใย” ของคนไทยที่มีให้ต่อกันเสมอมา ขอขอบพระคุณ บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด,มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก, โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร, บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน),บริษัท เอฟแอนด์เอ็น ยูไนเต็ด จำกัด ,บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้ร่วมเคียงข้างพี่น้องคนไทย บนเส้นทางความอบอุ่นอันยาวนานมาตลอด 25 ปี พร้อมมุ่งหน้าเดินทางส่งมอบความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนเขียวไปยังพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป “เพราะคนไทย ให้กันได้”
ไทยเบฟ เชื่อมั่นในพลังแห่งความมืออันแข็งแกร่งของทุกภาคส่วนที่พร้อมขับเคลื่อน และขยายเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน
]]>ในอดีตหลายคนมองว่าเรื่องการเงิน การลงทุน ประกันเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก น้อยคนนักที่จะมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ่ง แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาท ทำให้เรื่องการเงินกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว แถมยังเข้าใจง่าย ใช้งานง่าย รวมไปถึงยังมีตัวช่วยอย่างเทคโนโลยี AI ยิ่งทำให้มนุษย์เราเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างตรงจุด และปลอดภัยมากขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งสังคมดิจิทัล ทั้งในแง่องค์กร และผู้บริโภค มีการปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นช่วงโควิดที่ทำให้เมืองไทยกลายเป็น “สังคมไร้เงินสด” อย่างแท้จริง คนไทยหันมาใช้บริการ Mobile Banking กันมากขึ้นแบบก้าวกระโดด และมีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ “ธนาคารไทยพาณิชย์” หรือ SCB จึงได้เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ดิจิทัลแบงกิ้งอย่างเต็มสูบ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ AI-First Bank พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมโยงบริการ และยกระดับกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
ที่ผ่านมา SCB ได้ออกบริการใหม่ๆ มากมายอย่างเช่น บริการด้าน Digital Wealth ครบวงจร การลงทุนผ่านแอป SCB EASY บริการ AI Advisory Chatbot บริการ MyAlert และ บริการ WEALTH4U เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม มีการดีไซน์ตามความต้องการ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตรงใจ และปลอดภัยมากที่สุด เพราะเป้าหมาย และความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
และเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้นให้ผู้บริโภค ล่าสุด SCB ได้ส่งบริการ “EASY Store” ศูนย์รวมบริการทางการเงินเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalized) บนแอป SCB EASY บริการนี้จะคัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการทางเงินที่เหมาะสม และตรงใจลูกค้าแต่ละราย ทั้งการลงทุน บัตรเครดิต สินเชื่อ ประกัน และบัญชีเงินฝาก เรียกได้ว่ามีบริการทางการเงินแบบครบวงจร พร้อมสิทธิพิเศษมากมายสะดวก ง่าย ครบ จบ ในที่เดียว
โดยบริการใหม่นี้มีการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยดูแล และพัฒนา เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงใจแต่ละคนมากที่สุด นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่มอบประสบการณ์ดิจิทัลแบงก์เฉพาะบุคคลแบบเต็มรูปแบบ ด้วย “AI ที่รู้ใจยู” สอดคล้องกับกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคาร
นางปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า
“ภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ของธนาคาร เราให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนธุรกิจธนาคารในทุกมิติ เพื่อเร่งพัฒนาประสบการณ์และบริการให้เป็นดิจิทัลแบงก์อย่างเต็มรูปแบบ มุ่งสู่การเป็น AI-First Bank โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ปัจจุบันธนาคารมีจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ทำธุรกรรมผ่านทางดิจิทัลมากขึ้น แต่หลังจากเราได้ทำการศึกษาและวิจัยอย่างลึกซึ้งถึงพฤติกรรมของลูกค้าพบว่า ยังมีข้อจำกัดในการสร้างการรับรู้ (Awareness) และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของลูกค้าบางกลุ่ม เช่น ข้อเสนอที่ไม่ตรงใจ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงมุ่งแก้ Pain Point ของลูกค้า ผ่านการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาโมเดลที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านแบบจำลองข้อมูลอัจฉริยะ (Machine Learning) และวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านของลูกค้าในเชิงลึก ต่อยอดเป็นบริการ “EASY Store” ศูนย์รวมบริการทางการเงินเฉพาะคุณ (Hyper-Personalized) บนแอป SCB EASY เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้อง เหมาะสม รู้จักรู้ใจลูกค้า ตามความต้องการและความสนใจส่วนบุคคล นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่มอบประสบการณ์ดิจิทัลแบงก์เฉพาะบุคคลแบบเต็มรูปแบบ ด้วย “AI ที่รู้ใจยู” ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกโดยมีแอป SCB EASY เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงใจ เข้าถึงคุณ พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า”
EASY Store ถูกออกแบบและพัฒนาภายใต้โมเดลที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล โดย AI จะทำการวิเคราะห์จากข้อมูลของลูกค้า พฤติกรรม ความต้องการทางการเงิน รวมไปถึงเทรนด์และแนวโน้มในอนาคตของตลาด เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดเฉพาะบุคคล
โดย EASY Store เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการทางเงินต่างๆ ของธนาคารไว้ในที่เดียวพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เงินฝาก และประกัน โดยทางธนาคารได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง (Digital Wealth) ที่คัดสรรกองทุนเฉพาะเพื่อคุณจากกองทุนที่มีมากกว่า 800 กองทุน พร้อม “ฟีเจอร์ช่วยแนะนำการลงทุน (WEALTH4U)” ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้เริ่มลงทุนที่มีศักยภาพและกลุ่มที่ต้องการให้ความมั่งคั่งเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการแนะนำกองทุนที่คัดสรรมาให้เหมาะสมตามเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าแต่ละราย และมีฟังก์ชั่นเปรียบเทียบกองทุนให้แบบรู้ใจ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่ายยิ่งขึ้นและให้พอร์ตมีโอกาสไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม รวมไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันต่างๆ (Digital Insurance) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ประกันสะสมทรัพย์ ประกันรถยนต์ ประกันเดินทาง ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และ “บริการผู้ช่วยวางแผนประกันด้วยตัวเอง (EASY Protect Advisory)” เจอแบบประกันที่เหมาะกับคุณ เหมือนมีกูรูมาช่วยแนะนำ เพียงตอบคำถามสั้นๆ และยังมีสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) และบัตรเครดิต ที่คัดสรรมาโดยเฉพาะอีกด้วย
ในอนาคต ธนาคารมีแผนขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการไปยังผลิตภัณฑ์บ้านมือสองทรัพย์ธนาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีที่สุดของลูกค้า ให้ง่าย สะดวก ครบ จบในที่เดียว
มีการตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งาน “EASY Store” มากกว่า 30% จากจำนวนผู้ใช้งานแอป SCB EASY ทั้งหมดกว่า 18 ล้านคน พร้อมช่วยผลักดันยอดขายดิจิทัล (Digital Sales) ผ่านช่องทางแอป SCB EASY ให้เติบโตกว่า 61% YoY และช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ดิจิทัลของธนาคารให้เพิ่มสูงกว่า 13% ภายในปี 2567 เพื่อไปสู่เป้าหมายรายได้ดิจิทัล 25% ในปี 2568 ให้ได้
สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลบริการ “EASY Store” ได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/digital-banking/scb-easy/easy-store.html
หมายเหตุ
]]>