TopTen – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 07:44:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก ‘Ledger Nano’ ตู้เซฟคริปโตฯ ที่ตำรวจยึดจาก ‘นานา ไรบีนา’ https://positioningmag.com/1550290 Thu, 04 Dec 2025 07:39:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550290 หนึ่งในคดีที่หลายคนในความสนใจในตอนนี้ก็คือ นานา ไรบีนา ดาราสาวชื่อดัง หนึ่งในสมาชิกแก๊งนางฟ้า ที่ถูกตำรวจเข้าจับกุมในข้อหา ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ และหนึ่งในทรัพย์สินของนานาที่ถูกตำรวจยึดก็มีอุปกรณ์หน้าตาเหมือน แฟรชไดฟ์ แต่ความจริงแล้วมันคือ Ledger Nano หรือ ตู้เซฟคริปโตเคอเรนซี่ ที่เหล่าเศรษฐีคริปโตฯ ใช้เก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

จุดเริ่มต้น Ledger

อย่างที่หลายคนรู้กันว่า สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ Cryptocurrency มีมูลค่ามหาศาล อย่างเช่น Bitcoin หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ตอนนี้มูลค่าอยู่ที่ราว 3,539,216 ล้านบาท/ 1 BTC ดังนั้น หากจะเก็บเหรียญไว้บน exchange หรือ hot wallet ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ก็แปลว่า มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกแฮ็กได้ตลอดเวลา

ด้วยแนวคิดที่ต้องการ เก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัย บริษัท Ledger จึงได้ก่อตั้งในปี 2014 โดยผู้เชี่ยวชาญ 8 รายซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านความปลอดภัย คริปโตฯ เพื่อร่วมกันคิดสร้างโซลูชันที่ปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันบล็อกเชน จนเกิดเป็น Ledger Nano

Ledger Nano = ตู้เซฟดิจิทัล

โดย Ledger Nano เป็น hardware wallet หรือจะเรียกว่าเป็น ตู้เซฟดิจิทั ของคริปโตฯ ก็ได้ แม้จะบอกว่าเป็นเหมือนตู้เซฟ แต่หลักการจริง ๆ ของ Ledger Nano คือ ไม่ได้เก็บเหรียญจริง ๆ ไว้ในเครื่อง แต่เก็บสิทธิ์ที่ใช้ เข้าถึงและสั่งการเหรียญ หรือ Private Key ออกจากสภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไปเก็บไว้ในชิปที่เข้ารหัสแบบพิเศษแบบ Offline ดังนั้น เมื่อ Private Key ถูกตัดขาดจากโลกออนไลน์ 100% แฮกเกอร์ไม่สามารถเจาะเข้ามาโอนเงินออกไปได้ถ้าไม่ได้สัมผัสตัวเครื่อง

หากผู้ใช้ต้องการทำธุรกรรม ต้องสั่งผ่านแอป Ledger Live ในโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ และแอปจะส่งข้อมูลธุรกรรมไปให้ Ledger Nano โดยผู้ใช้จะต้อง กดยืนยันบนตัวเครื่อง ก่อนจะทำธุรกรรมทุกครั้ง และในกรณีที่เครื่อง สูญหาย ผู้ใช้จะต้องใส่ Recovery Phrase (ชุดคำ 24 คำ) เพื่อกู้คืนเท่านั้น

ปัจจุบัน Ledger Nano มีสองรุ่นหลักคือ

  • Ledger Nano S Plus – รุ่นพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น (ราคาประมาณ 2,000 บาท)
  • Ledger Nano X – รุ่นพรีเมียมที่มีความจุมากกว่า รองรับ Bluetooth และสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ (ราคาประมาณ 3,100 บาท)

โดยนับตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบัน Ledger ได้จำหน่ายไปแล้วกว่า 8 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยปริมาณ Bitcoin กว่า 20% บนโลกถูกเก็บไว้บน Ledger

]]>
1550290
Google เปิดลิสต์ “คำค้นหายอดนิยมปี’ 68” ที่สะท้อนว่าคนไทยสนใจตั้งแต่เรื่อง AI ภัยพิบัติ ยันความบันเทิง https://positioningmag.com/1550270 Thu, 04 Dec 2025 03:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550270 เป็นธรรมเนียมทุกปีที่ Google ประเทศไทย จะเปิดเผยถึงอินไซต์ Year in Search หรือ คำค้นหายอดนิยม เพื่อจะสะท้อนภาพรวมความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สิ่งที่คนไทยให้ความสนใจมีดังนี้

Gemini ครองอันดับ 1

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซึ่งยังคงโดดเด่นที่สุดในปีนี้ โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 นอกจากนี้ “ChatGPT” และ “DeepSeek” ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นเดียวกัน ในด้านนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่าง “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และ “คนละครึ่ง พลัส” ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เหตุการณ์สำคัญอย่าง “แผ่นดินไหว” ทำให้ผู้คนหันมาค้นหาข้อมูลด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น สำหรับหมวดความบันเทิง ซีรีส์ไทยยังคงครองกระแสแรงแซงโค้ง โดย “สงคราม ส่งด่วน” และ “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม รวมถึงแบบทดสอบเชิงจิตวิทยาออนไลน์ “กุญแจกลางใจ” ที่สร้างกระแสในโลกดิจิทัลตลอดปี ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีผู้บริโภค “iPhone 17” ยังคงเป็นหัวข้อที่ผู้ใช้งานชาวไทยติดตามอย่างใกล้ชิด

10 อันดับหมวดข่าว

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันคนไทยยิ่งต้องการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ส่งผลให้การค้นหาใน หมวดข่าว ประจำปี 2568 สะท้อนความต้องการข้อมูลที่ทันสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศอย่างชัดเจน โดย “แผ่นดินไหว” ครองอันดับ 1 ของคำค้นหายอดนิยมหมวดข่าว ขณะที่นโยบายภาครัฐอย่าง “คนละครึ่ง พลัส” และ “บ้านเพื่อคนไทย”  ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยให้ความสนใจเพื่อยกระดับด้านคุณภาพชีวิต

ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ “ปราสาทตาเมือนธม” “ปราสาทตาควาย” และ “ไทย–กัมพูชา” ติดอันดับต้นๆ จากความสนใจของผู้คนที่ต้องการอัปเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ คำค้นหาอย่าง “พายุวิภา” “พายุคาจิกิ” และ “ตึกถล่ม” ก็ติด 10 อันดับแรกของคำค้นหาในหมวดข่าวเช่นกัน

ความกังวลของคนไทยต่อสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประจำวันทั้งการเดินทาง และความปลอดภัยสะท้อนผลอย่างชัดเจน โดย “ลงทะเบียนน้ำท่วม 2568 ออนไลน์” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวดเหตุการณ์น้ำท่วม ตามด้วย “เช็กสถานะน้ำท่วมออนไลน์” “เยียวยาน้ำท่วม 2568” “น้ำท่วมอำเภอเมืองเชียงใหม่” “แบบฟอร์มการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2568” ในอันดับ 2- 5 ตามลำดับ และล่าสุด “น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน ก็พุ่งขึ้นมาติดโผใน 10 อันดับแรกอย่างรวดเร็ว

 

หมวด AI

ความสนใจของคนไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องมือ AI ใดเครื่องมือหนึ่ง แต่กระจายไปยังหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการทั้งด้านการทำงาน การสร้างสรรค์ และความบันเทิง โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวด AI ตามมาด้วย “ChatGPT” และ “DeepSeek” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยหันมาใช้ประโยชน์จาก AI ในการค้นหาข้อมูล ช่วยทำสิ่งต่างๆ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตามมาด้วยเครื่องมือ AI ที่เน้นการสร้างสรรค์อย่าง “PixVerse” (AI สร้างวิดีโอ) “NotebookLM” (คู่หูการค้นคว้าหาข้อมูลที่ทำงานด้วยระบบ AI) และ “Suno” (AI สร้างดนตรี) นอกจากนี้ “Hailuo AI”, “LMArena”, “Khui AI” และ “Claude” เครื่องมือ AI จากค่ายอื่นๆ ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นกัน ตอกย้ำให้เห็นว่าคนไทยให้ความสนใจกับเทคโนโลยี AI จากหลายค่ายและหลายรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบนิเวศ AI ในประเทศไทย

หมวดบันเทิง

ผลการค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความหลากหลายด้านความบันเทิงของผู้ชมชาวไทย ซึ่งยังคงให้ความสนใจกับเนื้อหาหลากหลายแนว ทั้งเรื่องราวเข้มข้น พีเรียด ดราม่า แฟนตาซี ไปจนถึงการกลับมาของซีรีส์ระดับโลกที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ในหมวดละคร/ซีรีส์ไทย “สงคราม ส่งด่วน” ซีรีส์ที่มีเค้าโครงจากชีวิตจริงของผู้ก่อตั้งบริษัทขนส่ง Flash Express ครองอันดับ 1 ตามมาด้วย “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ละครแนวพีเรียดโรแมนติกคอมเมดี้ซึ่งได้รับความนิยมทั่วประเทศ ขณะที่ “เขมจิราต้องรอด” “สายรักสายเลือด” และ “บนพระจันทร์ มีกระต่าย” ติดอันดับ 3–5 ตามลำดับ

ฝั่งละคร/ซีรีส์เกาหลี ปีนี้โดดเด่นด้วยภาคต่อของซีรีส์ระดับโลก โดย “สควิดเกม เล่นลุ้นตาย 2” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “เมนูรักพิชิตใจราชา” และ “หนุ่มดวงจู๋กับหมอดูคนจ๋วย” สองซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ผสานธีมอาหารและโหราศาสตร์ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก ส่วน “ปลอมมาเรียน เนียนมาสืบ” และ “เอส ไลน์” แนววัยรุ่น–เหนือธรรมชาติติดอันดับ 4–5 ตามลำดับ

ด้านละคร/ซีรีส์จีน ยังคงมาแรงด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและงานโปรดักชันคุณภาพ โดย 5 อันดับแรกได้แก่ “กระวานน้อยแรกรัก” “อริรักลิขิตใจ” “วาสนาของปลาเค็ม” “เหนือสมรภูมิ” และ “สู่ห้วงเมฆา” ครองอันดับ 1–5 ตามลำดับ

หมวดท่องเที่ยว

จากคำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยหันมาให้ความสนใจกับ “เมืองรอง” ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ หรือเมืองที่วิถีท้องถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย “กำแพงเพชร” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “สุโขทัย” “ลำปาง” “ทรงวาด” และ “ชะอำ”

ด้านหมวดสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ เทรนด์การค้นหาในปีนี้ชี้ให้เห็นถึงการ “ออกนอกกรอบ” ของนักเดินทางไทย ที่เลือกจุดหมายใหม่ๆ เพื่อประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร โดย “ภูฏาน” ครองอันดับ 1 ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันโดดเด่น ตามด้วย “จูไห่” “ซินเจียง” “วังเวียง” “นอร์เวย์” “ฟูก๊วก” “เซนได” “มาเก๊า” “เฉิงตู” และ “อินโดนีเซีย” ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนความสนใจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งสายแอดเวนเจอร์ สายวัฒนธรรม และสายตามหาภูมิประเทศแปลกใหม่

หมวดบุคคน

หมวด How To

หมวด คืออะไร

หมวดอาหารและคาเฟ่

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี ใครที่เคยเสิร์ชหาอะไรแล้วติด Top 10 คำค้นหายอดนิยมบ้าง แชร์กันได้นะ

]]>
1550270
‘Agoda’ กางอินไซต์คนไทยพบ 66% วางแผน ‘เที่ยวในประเทศ’ มากขึ้น โดยเฉพาะ ‘เมืองรอง’ เพราะมีราคาเข้าถึงได้ https://positioningmag.com/1550126 Wed, 03 Dec 2025 09:46:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550126
ท่องเที่ยวไทย ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP โดยข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 16 พ.ย. 68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย แล้วทั้งสิ้น 28,277,276 คน ลดลง 7.18 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,308,132 ล้านบาท

Agoda ยังเชื่อในศักยภาพท่องเที่ยวไทย

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย จะลดลงเป็นครั้งแรกนับจากผ่านช่วงวิกฤต COVID-19 แต่มองว่า ไทยยังมีโอกาสที่ดี และมีจุดได้เปรียบหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ อาหาร อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจากข่าวด้านลบต่าง ๆ นั้นส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

“ไม่ว่าจะเป็นข่าวสแกมเมอร์ที่ลักพาตัวดาราจีน, ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา, ภัยพิบัติ รวมถึงข้อจำกัด เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข่าวพวกนี้ที่ออกไปมันมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจริง ๆ และเพราะการท่องเที่ยวมันคือ ธุรกิจ ดังนั้น มันมีการแข่งขัน อย่างเช่นเวียดนามที่ตามมาติด ๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยยังได้เปรียบ เพราะไทยเป็นประเทศใหญ่ และนักท่องเที่ยวยังต้องการมาไทย ยังเป็นปลายทางในใจ” ออมรี กล่าว

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า

ค่าใช้จ่าย เหตุผลใหญ่สุดในการตัดสินใจ 

ในส่วนของการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ออมรี มองว่า สามารถทำได้หลายทาง โดยไทยเองก็ถือว่าทำได้ดี เช่น การฟรีวีซ่าประเทศอินเดีย หรือการดึงอีเวนต์ใหญ่ ๆ อย่าง Tomorrowland เทศกาลดนตรี EDM ระดับโลกมาจัดในไทย รวมถึงการทำแคมเปญ Trusted Thailand ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางภาครัฐมีการลงทุน และมีการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

“เราเชื่อว่าไทยมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวจริง ๆ แต่หลายอย่างมันไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างการจัดงานอีเวนต์ใหญ่ ๆ แม้มันจะไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยตรง แต่มันก็เป็นตัวกระตุ้นได้ ”

อย่างไรก็ตาม ออมรี ย้ำว่า สุดท้ายแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจให้คนเดินทางมาได้จริง ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่าย อย่างคนชั้นกลางมีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้น เขาก็ใช้จ่ายได้มากขึ้น อดีตอาจจะเดินทางในประเทศ แต่ตอนนี้เขาสามารถเดินทางมาต่างประเทศได้ ถ้ามัน ถูกกว่าเที่ยวในประเทศ ดังนั้น เมื่อตลาดกว้างขึ้น นักท่องเที่ยวก็มีโอกาสเลือกมากขึ้น

คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศมากขึ้น

สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวในปีนี้และปีหน้า (2026) อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย โดยมีถึงสองในสาม หรือ 66% ที่วางแผนเดินทางภายในประเทศมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 30% ในปีที่แล้ว

จุดหมายปลายทางที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก หรือ เมืองรอง เริ่มดึงดูดความสนใจของนักเดินทางชาวไทยมากขึ้น เหตุผลที่นักเดินทางชาวไทยเลือกจุดหมายปลายทางเหล่านี้แทนจุดหมายยอดนิยม ได้แก่ ราคาเข้าถึงได้และมีโปรโมชั่นจูงใจ (40%), สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีรีวิวให้ศึกษา และมีบริการสนับสนุนการเดินทางต่าง ๆ (41%) และ 34% ระบุว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีกิจกรรมกลางแจ้ง

นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียที่เลือก การพักผ่อน เป็นแรงจูงใจหลักในการท่องเที่ยว    โดยมีถึง 73% ที่ระบุว่าการพักผ่อนคือเหตุผลสำคัญที่สุด รองลงมาคือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (30%) และประสบการณ์ด้านอาหาร (20%)

เน้นเที่ยวสั้น ๆ ตามวันหยุดราชการ

นักเดินทางชาวไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น ๆ เพียง 1 – 3 วันต่อทริป ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากวันหยุดราชการประจำปีหลายวัน โดย 50% ระบุว่าจะเดินทางกับครอบครัว และ 30% เลือกเดินทางกับคู่สมรสหรือแฟน

นักเดินทางชาวไทยชื่นชอบข้อเสนอคุ้มค่าสำหรับการจองที่พัก โดย 44% วางแผนใช้จ่ายไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน อีก 40% วางแผนใช้งบระหว่าง 1,601–3,200 บาทต่อคืน และมีเพียง 3% ที่ตั้งงบไว้มากกว่า 3,200 บาทต่อคืน

ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านวีซ่า 69% ของนักเดินทางชาวไทยจะเดินทางบ่อยขึ้น และอีก 57% จะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ มากขึ้น

นักเดินทางชาวไทยกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ AI โดย 69% ระบุว่ามีแนวโน้มจะใช้ AI ในการวางแผนทริปครั้งต่อไป 57% เชื่อถือข้อมูลที่สร้างโดย AI ขณะที่มีเพียง 12% ที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ AI และอีก 31% มีท่าทีเป็นกลาง

5 อันดับจุดหมายปลายท่องเที่ยวในประเทศ

  1. กรุงเทพฯ
  2. พัทยา
  3. เชียงใหม่
  4. ภูเก็ต
  5. ชลบุรี

3 อันดับจุดหมายปลายทางในประเทศที่มาแรงที่สุดได้แก่ นครศรีธรรมราช (+61%), หาดใหญ่ (+45%), ชลบุรี (+45%)

5 ปลายทางต่างประเทศยอดนิยมของคนไทย

  1. ญี่ปุ่น
  2. เวียดนาม
  3. จีน
  4. เกาหลีใต้
  5. มาเลเซีย

3 อันดับจุดหมายปลายทางมาแรง ได้แก่ มาเก๊า (+107%), อินโดนีเซีย (+87%), จีน (+84%)

5 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด

  1. มาเลเซีย
  2. จีน
  3. เกาหลีใต้
  4. อินเดีย
  5. ญี่ปุ่น

3 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยที่มาแรงที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (+78%), อิสราเอล (+76%), อินโดนีเซีย (+43%)

]]>
1550126
‘สมาคมกุ้งไทย’ มองปีหน้าโอกาสทองตลาดส่งออก แต่ติดปัญหา ‘ผลผลิต’ วนลูปที่ 2.7 แสนตัน วอน ‘รัฐ’ ดันเป็นวาระชาติแก้วิกฤต https://positioningmag.com/1549909 Tue, 02 Dec 2025 09:47:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549909 ผลิตได้เท่าเดิมเพราะปัญหาเดิม ๆ

เอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเกษตรกรเลี้ยงกุ้งราว 30,000 ราย โดยผลผลิตในปี 2568 นี้มีปริมาณรวม 270,000 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยแยกผลผลิตตามภูมิภาคได้ ดังนี้

  • ภาคกลาง: 27,100 ตัน (+1%) คิดเป็น 10% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคตะวันออก: 52,300 ตัน (-1%) คิดเป็น 19% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนบน: 100,000 ตัน คิดเป็น 37% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย: 28,600 ตัน (-1%) คิดเป็น 11% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน: 62,000 ตัน คิดเป็น 23% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกุ้งไทยในปีนี้ มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปีและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงของเกษตรกร โดยเฉพาะคุณภาพน้ำและโรคระบาด โดยเฉพาะโรคขี้ขาว และโรคตัวแดงดวงขาว เกษตรกรจึงจับกุ้งเร็วกว่ากำหนด 

“การเลี้ยงกุ้งสมัยนี้เราจำเป็นต้องตรวจกุ้งกันแทบทุกสัปดาห์เลยทีเดียว เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เอง แต่พอเราไปที่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยต่าง ๆ ความไม่เพียงพอของงบประมาณที่จะมาดูแลเกษตรกรในเรื่องของการป้องกันเรื่องโรค ต้องบอกว่าน้อยมาก ๆ” เอกพจน์ เล่า

นอกจากนี้ ยังถูกซ้ำด้วยมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลา สตูล และปัตตานี คาดว่ามีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

“ปริมาณผลผลิตจากพื้นที่ประสบอุทกภัยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผลผลิตทั้งหมด ทั้งความเสียหายทั้งจากผลผลิต และเครื่องมือรวมกันคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเราก็คาดหวังว่ารัฐบาลจะให้การเยียวยา เพราะหากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทะเลและการส่งออกของไทยในระยะยาว”

คนไทยบริโภคเพิ่ม แต่ส่งออกน้อยลง

ในปีนี้ตลาดในประเทศเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากสถานการณ์การบริโภคกุ้งที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.12 กก./คน/ปี เป็น 2.68 กก./คน/ปี ส่งผลให้ราคากุ้งปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในช่วงครึ่งปีแรกสูงขึ้น 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นแรงจูงใจในการลงกุ้งเพิ่ม แต่ในปลายไตรมาส 3 ราคากุ้งอ่อนตัวลงเล็กน้อย 5-10% เพราะปริมาณฝนมากขึ้นเกษตรกรจึงเร่งจับกุ้งก่อนกำหนด

ทั้งนี้ การบริโภคกุ้งในประเทศคิดเป็นประมาณ 15% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด หรือประมาณ 100,000 ตัน/ปี 

สำหรับภาพรวมการส่งออกกุ้ง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2568) อยู่ที่ 106,306 ตัน คิดเป็นมูลค่า 32,881 ล้านบาท ลดลง -6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งปริมาณ และมูลค่า จากหลายปัจจัยทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลต่อตลาดคู่ค้าสำคัญทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ 

ไทยมีโอกาสดี เพราะอินเดียโดนสกัด

ความต้องการบริโภคกุ้งทั่วโลกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น +6% ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะการปรับภูมิทัศน์การค้าในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่สกัดคู่แข่งรายสำคัญโดยเฉพาะ อินเดีย ด้วมาตรการ ภาษี

เพราะที่ผ่านมา อินเดียคยเป็นอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐฯ (ส่วนแบ่ง 39%) กำลังเผชิญกับ Reciprocal Tariff  ที่รวมกับมาตรการ AD/CVD (มาตรการการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน) แล้วสูงถึง 57-61% คาดการณ์ว่าสต็อกกุ้งอินเดียในสหรัฐฯ จะหมดลงในปี 2569 และผลผลิต 300,000 ตันของอินเดียจะหายไปจากตลาดนี้ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้กุ้งทั่วโลก โดยเฉพาะกุ้งไทยเข้าแทนที่

ที่ผ่านมา ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ เพียง 4% รองจากเวียดนาม (9%), อินโดนีเซีย (18%), เอกวาดอร์ (25%) และอินเดีย (39%) แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งเหล่านี้ ไทยได้เปรียบด้านภาษี โดยเสียภาษี Reciprocal Tariff เพียง 19% ซึ่งเป็นฐานต่ำสุดเท่าเทียมกันในอาเซียน และเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น

  • เอกวาดอร์: รวม CVD แล้วประมาณ 18-19%
  • อินโดนีเซีย: รวม AT แล้ว 22% (และมีปัญหา CVD/ซีเซียม 137 บางส่วน)
  • เวียดนาม: รวม AD/CVD แล้วสูงถึง 50%

ดังนั้น การได้เปรียบทางภาษีนี้ทำให้ ตลาดอเมริกาเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ปัจจุบันไทยมีการกระจายตลาดส่งออกที่แข็งแกร่งในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.)

  • ญี่ปุ่น: 24%
  • จีน: 23%
  • อเมริกา: 19%
  • กลุ่มประเทศในเอเชีย: 34%

โอกาสมี แต่ผลผลิตไม่ถึง

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นโอกาสในการส่งออกมากขึ้นในปีหน้า แต่ผลผลิตของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย ไม่เกิน 3 แสนตัน โดยไม่สามารถกลับไปแตะระดับ 6 แสนตัน เหมือนกับปี 2554-2555 ได้อีกเลย ดังนั้น ทางสมาคมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณ 5,400 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างการเลี้ยงกุ้งทั้งระบบ เพื่อไปสู่เป้าหมายการผลิต 4 แสนตัน คิดเป็นเม็ดเงิน 100,000 ล้านบาท

โดยทางสมาคมอยากให้ รัฐยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพให้ได้ตามเป้า รวมถึงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศนำเข้ากุ้ง ได้แก่ สหภาพยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ พร้อมทั้งยกระดับการฟาร์มกุ้งให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานสากลที่ตลาดต้องการ รวมถึงการดำเนินโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น

“10 ปีที่ผ่านมา ไทยเสียโอกาสมูลค่า 650,000 ล้านบาท จากการที่ควรจะขายผลิตภัณฑ์กุ้งออกไป ดังนั้น รัฐต้องยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปีหน้าเป็นปีที่ตลาดเปิดเต็มที่ แต่เราต้องผลิตกุ้งให้ได้ เพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดนี้กลับมา” เอกพจน์ ทิ้งท้าย

]]>
1549909
รู้จัก ‘ราอูล โรชา’ นักธุรกิจผู้เข้ามาเขย่าวงการมิสยูนิเวิร์ส และกำลังถูกหมายจับข้อหา ‘ค้ายา อาวุธ น้ำมันเถื่อน’ https://positioningmag.com/1549891 Tue, 02 Dec 2025 08:33:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549891 คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อของ ราอูล โรชา คานตู (Raúl Rocha Cantú) นักธุรกิจชาวเม็กซิกัน จนกระทั่งเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ดังนั้น Positioning จะพาไปทำความรู้จักกับ ราอูล ว่าเป็นใคร รวยแค่ไหน รวมถึงข่าวฉาวด้านมืด

ราอูล คือใคร?

ต้องบอกก่อนว่า ราอูล โรชา คานตู ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะครอบครัวเขาถือเป็นตระกูลเศรษฐีเก่าของประเทศเม็กซิโก ของครอบครัวใหญ่ที่ดำเนินกิจการมานานกว่าร้อยปี โดยเขาถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3

เขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยการจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจเพียงอายุ 19 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัท CYMSA Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรขนาดใหญ่ของเม็กซิโก และสามารถพัฒนาบริษัทนี้ให้เป็นผู้เล่นหลักในภูมิภาค 

ก่อตั้งอาณาจักร LHG

หลังจากนั้น ราอูล ก็ได้สร้างอาณาจักร Legacy Holding Group (LHG) ที่มีตั้งแต่ธุรกิจ พลังงาน การก่อสร้าง การบินส่วนตัว การตลาด เทคโนโลยีค้าปลีก ยานยนต์ ร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิง เรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน อาณาจักรของเขาอยู่มายาวนานกว่า 35 ปี อยู่ใน 5 ภูมิภาคของโลก ผ่านบริษัทในเครืออย่าง Legacy Energy, BSE Combustibles, Century Aviation, Expansión 2000, Punto X Punto Promociones, TicketApp และ Ariston Automotive 

เข้าสู่ธุรกิจนางงาม

จนมาปี 2024 ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่บริษัท Legacy Holding Group USA ของเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ด้วยมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 515 ล้านบาท) 

การซื้อขายครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็น ประธานและเจ้าของร่วม (Co-owner) องค์กรมิสยูนิเวิร์ส โดยมีเป้าหมายที่จะนำความเชี่ยวชาญทางธุรกิจระดับโลกมาใช้ในการขยายแบรนด์ MUO ให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม

ดราม่าแวดวงนางนาม

หลังจากการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2568 ที่เม็กซิโกคว้ามงกุฎไปครอง ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับความโปร่งใส โดยเฉพาะจากนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเลบานอนที่ลาออกจากคณะกรรมการตัดสิน ได้ออกมากล่าว อ้างว่า ราอูลมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้บริหารของบริษัทน้ำมันแห่งชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นบิดาของผู้ชนะการประกวด และมีการขอให้ลงคะแนนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมีดราม่าระหว่าง ราอูล กับ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ที่ซื้อลิขสิทธิ์ MUT จาก JKN Global ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวด มิสยูนิเวิร์สครั้งที่ 74 ที่ประเทศไทย โดยรับผิดชอบการเก็บตัวทำกิจกรรม การดูแลด้านการผลิตและการตลาด การจำหน่ายบัตร รวมถึงด้านอื่นๆ แบบครบวงจร 

เหตุการณ์เกิดจาก ณวัฒน์ ได้มีการโต้เถียงกับ ฟาติมา บอช (Fatima Bosch) Miss Universe เม็กซิโก 2025 ที่ปฏิเสธการทำงานกับสปอนเซอร์จนทำให้นางงามกลุ่มลาติน รวมถึงมิสเม็กซิโก Walk Out ออกจากห้องประชุม

จนทาง ราอูล ได้ออกมาแถลงการณ์ประณามการกระทำของนายณวัฒน์ และได้ประกาศสั่ง จำกัดบทบาทหรือยกเลิกบทบาทของนายณวัฒน์ ในการประกวดทั้งหมดทันที โดยทาง ณวัฒน์ ได้ออกมาชี้แจ้งว่ามีการ ลักลอบโปรโมตเว็บกาสิโนออนไลน์ผิดกฎหมาย 

ภาพจากเว็บไซต์ผู้จัดการ

แอน JKN หนีซุกปีก ราอูล

อีกประเด็นที่หลายคนจับตามองก็คือ ข่าวลือจากรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ สนธิทอล์ก โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ที่เล่าว่า แอน JKN ที่ผิดนัดชำระหนี้ และยื่นล้มละลาย จนถูกออกหมายจับนั้น ได้หอบเงิน 6,000 ล้านบาท ที่แปลงเป็นคริปโตเคอเรนซี หนีไปอยู่ที่แม็กซิโก โดยได้ ราอูล ช่วยเหลือ โดยได้สัญชาติ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเม็กซิโกได้อย่างไม่ต้องระแวงกับผลพวงจากวิกฤติการเงินที่ตัวเองก่อขึ้นกับผู้เสียหาย

ข่าวฉาวเกี่ยวกับอาชญากรรมร้ายแรง

ย้อนไปในปี 2011 ราอูลเคยตกเป็นข่าวระดับโลก หลังจากที่มีเหตุการณ์ กลุ่มค้ายาเสพติด Los Zetas โจมตี Casino Royale ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการภายใต้การบริหารของเขา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 ราย โดย ราอูล ได้ถูกสอบสวนในฐานะเจ้าของกิจการจากข้อหาความบกพร่องด้านความปลอดภัยของอาคาร แต่ภายหลังเขายืนยันว่าไม่เคยถูกหมายจับ และสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์จนชนะคดีได้ 

ล่าสุด สำนักงานอัยการสูงสุดเม็กซิโกได้รายงานการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยหลายรายในข้อหาเกี่ยวข้องกับ การเป็น ผู้นำองค์กรอาชญากรรม ที่ลักลอบค้ายาเสพติด, อาวุธสงคราม, และน้ำมันเถื่อนระหว่างกัวเตมาลาและเม็กซิโก หลังจากมีการเปิดการสอบสวนมานานกว่า 1 ปี ก่อนจะยื่นนขอหมายจับราอูลตั้งแต่เมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา

โดยในระหว่างการสืบสวน สำนักงานอัยการฯ ได้บุกค้นบ้านพักหลายแห่งและอ้างว่าพบหลักฐานการโอนเงินจำนวน 2.1 ล้านเปโซจากราอูลา เพื่อสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงกับนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เพื่อดำเนินภารกิจต่าง ๆ

ทั้งนี้ ตามรายงานของ Reforma ระบุว่า ราอูล ได้เจรจากับสำนักงานอัยการสูงสุดในเดือนต.ค. เพื่อขอทำข้อตกลงการยอมให้ข้อมูลสำคัญเพื่อแลกกับ ความคุ้มครองทางกฎหมาย

]]>
1549891
‘Apple’ จ่อแซง ‘Samsung’ ขึ้นแท่นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในรอบ 14 ปี และอาจลากยาวไปถึงปี 2029 https://positioningmag.com/1548946 Thu, 27 Nov 2025 07:51:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548946 เป็นเวลาถึง 14 ปีที่ ซัมซุง (Samsung) ครองแชมป์การจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลก ตามรายงานจาก Counterpoint Research แต่ดูเหมือนสถิติดังกล่าวจะถูกพังลงโดย แอปเปิล (Apple) ในปีนี้ และอาจจะลากยาวไปจนถึงปี 2029 เลยทีเดียว

Counterpoint เปิดเผยว่า Apple จะมียอดจัดส่ง iPhone ได้ประมาณ 243 ล้านเครื่องในปีนี้ เทียบกับ Samsung ที่จัดส่งได้ 235 ล้านเครื่อง ส่งผลให้ Apple จะมีส่วนแบ่ง 19.4% ของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ขณะที่ส่วนแบ่งของ Samsung จะอยู่ที่ 18.7% ขณะที่ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนโลกที่เติบโต 3.3% 

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Apple สามารถพลิกแซง Samsung มาจาก iPhone 17 series ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน ทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, 17 Air, 17 Pro และ 17Pro Max โดยยอดขายของ iPhone 17 series ในสหรัฐฯ ในช่วงสี่สัปดาห์แรกหลังเปิดตัว สูงกว่า iPhone 16 series (ไม่รวม iPhone 16e) ถึง 12% ขณะที่ในตลาด จีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ Apple ยอดขาย iPhone 17 series ในช่วงเวลาเดียวกัน สูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 18%

“นอกเหนือจากการตอบรับของตลาดที่เป็นไปในทางบวกอย่างมากสำหรับ iPhone 17 series ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรับเพิ่มคาดการณ์การจัดส่งคือ รอบการเปลี่ยนเครื่องกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน ผู้บริโภคที่ซื้อสมาร์ทโฟนในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการอัปเกรด” Yang Wang นักวิเคราะห์อาวุโสของ Counterpoint Research กล่าว 

ขณะเดียวกัน Samsung อาจเผชิญกับความท้าทายใน ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงล่าง จากแบรนด์จีน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของยักษ์ใหญ่เกาหลีใต้ในการทวงคืนตำแหน่งสูงสุด

อาจครองแชมป์ยาว 4 ปีซ้อน

ไม่ใช่แค่ปี 2925 แต่ Counterpoint Research คาดการณ์ว่า Apple จะครองตำแหน่งสูงสุดในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกไปจนถึงปี 2029 จากหลายปัจจัย ไดแก่

  • iPhone มือสอง: มี iPhone มือสองจำนวน 358 ล้านเครื่อง ถูกขายไปในช่วงปี 2023 ถึงไตรมาสที่สองของปี 2025 ผู้ใช้เหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะ อัปเกรดเป็น iPhone เครื่องใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจัยเหล่านี้จะสร้างฐานความต้องการขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยรักษาการเติบโตของการจัดส่ง iPhone ในไตรมาสต่อ ๆ ไป
  • ผลกระทบด้านภาษีที่ต่ำกว่าที่คาด: Apple ได้รับประโยชน์จากผลกระทบด้านภาษีที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากข้อตกลงสงบศึกทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สิ่งนี้ช่วยสนับสนุนซัพพลายเชนที่กว้างขึ้นของ Apple และการเติบโตในบางภูมิภาค เช่น ตลาดเกิดใหม่
  • สภาพเศรษฐกิจ: ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น ที่ช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

“ด้วยปัจจัยสนับสนุนเชิงโครงสร้างเหล่านี้ Apple จึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะแซงหน้า Samsung ในด้านการจัดส่งประจำปี 2025”

ในขณะเดียวกัน Apple คาดว่าจะเปิดตัว iPhone 17e รุ่นเริ่มต้นในปีหน้า รวมถึง สมาร์ทโฟนแบบพับได้ Counterpoint คาดการณ์ บริษัทวิจัยระบุว่าการปรับปรุงผู้ช่วยเสมือน Siri ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึง “การปรับปรุงดีไซน์ iPhone ครั้งใหญ่” ในปี 2027 ก็จะช่วยหนุนการครองความเป็นเจ้าตลาดของ Apple ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“ด้วยการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ครอบคลุมระดับราคาที่หลากหลาย รวมถึงซีรีส์ ‘e’ ที่กำลังเติบโต Apple กำลังวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคที่มีความต้องการ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และเพื่อเสริมสร้างสถานะในกลุ่มพรีเมียมระดับล่าง ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าตลาดโดยรวม ด้วยความต้องการระบบนิเวศ iOS ที่เพิ่มขึ้น Apple จะยังคงเป็นผู้นำเหนือผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นไปจนถึงสิ้นทศวรรษนี้”

*การจัดส่ง (Shipments) หมายถึงจำนวนอุปกรณ์ที่ผู้ค้าจัดส่งไปยังช่องทางค้าปลีก และไม่เท่ากับยอดขายโดยตรง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการและความคาดหวังด้านยอดขายจากผู้ผลิต    สมาร์ทโฟน

]]>
1548946
การศึกษา ‘MIT’ พบ! AI แทนที่ 11.7% ของตลาดแรงงานสหรัฐฯ คิดเป็นค่าจ้าง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ‘งานธุรการ’ เสี่ยงสูงกว่าสาย ‘เทค’ หลายเท่า https://positioningmag.com/1548928 Thu, 27 Nov 2025 06:00:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548928 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology – MIT) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเข้ามาแทนที่แรงงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้แล้วถึง 11.7% หรือคิดเป็นมูลค่าค่าจ้างสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในภาคการเงิน การดูแลสุขภาพ และบริการระดับมืออาชีพ

การศึกษานี้ดำเนินการโดยใช้เครื่องมือจำลองแรงงานที่เรียกว่า ดัชนีภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Index) ซึ่งสร้างขึ้นโดย MIT และห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอ๊คริดจ์ (Oak Ridge National Laboratory – ORNL) ดัชนีนี้จำลองวิธีการปฏิสัมพันธ์ของแรงงานชาวสหรัฐฯ จำนวน 151 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีเท่านั้น และจำลองว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจาก AI และนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างไร

โดยดัชนีนี้ จะถือว่าคนงาน 151 ล้านคนเป็นตัวแทน (agents) แต่ละราย มีการติดแท็กทักษะ งาน อาชีพ และที่ตั้งของแต่ละคน มันทำแผนที่ทักษะมากกว่า 32,000 รายการ ใน 923 อาชีพ ครอบคลุม 3,000 เขต และจากนั้นจะวัดว่าระบบ AI ในปัจจุบันสามารถทำงานเหล่านั้นได้แล้วที่ใดบ้าง โดยสิ่งที่นักวิจัยพบคือ 

การเลิกจ้างในสายงานเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ (IT) ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ คิดเป็นเพียง 2.11 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 2.2% เท่านั้น หรือเป็นเพียงแค่ ยอดภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่สำคัญกว่า คือ ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ความเสี่ยงส่วนใหญ่มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ที่อยู่ใน งานประจำทั่วไป เช่น งานธุรการสำนักงาน (Office Administration), ฝ่ายบุคคล (HR), โลจิสติกส์ และการเงิน ซึ่งเป็นส่วนที่คนมักมองข้ามไป

Prasanna Balaprakash ผู้อำนวยการ ORNL และผู้นำร่วมในการวิจัย กล่าวว่า ดัชนีนี้ดำเนินการทดลองในระดับประชากร โดยเผยให้เห็นว่า AI ปรับเปลี่ยนงาน ทักษะ และการไหลเวียนของแรงงานอย่างไร ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในระบบเศรษฐกิจจริง

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็น แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) หรือสนามทดลอง สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้น ไม่ใช่เครื่องมือทำนายการตกงาน แต่เป็นเครื่องมือที่บอกว่า AI ในวันนี้สามารถทำทักษะอะไรได้บ้าง เพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้ดัชนีนี้จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ถ้ามีการฝึกอบรมทักษะใหม่ หรือมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับการจ้างงานและ GDP ในพื้นที่ของตน ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน มีหลายรัฐที่ได้นำเครื่องมือนี้ไปใช้เพื่อวางแผนรับมือกับผลกระทบของ AI และจัดทำแผนฝึกอบรมบุคลากรที่เหมาะสมกับอนาคตแล้ว เช่น เทนเนสซี, นอร์ทแคโรไลนา และยูทาห์

Source

]]>
1548928
เพราะสายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล! ‘ทรู’ เดินเกมรุกคว้า ‘อ.สมเจตน์’ เปิดตัว ‘เบอร์พลังดาว’ ปักเป้าโต 30% https://positioningmag.com/1548916 Thu, 27 Nov 2025 04:18:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548916 หากพูดถึงเรื่องการ มู (มูเตลู) หรือ สายมู ของไทย น่าจะไม่แพ้ชาติใดในโลก ที่ไหนดี อะไรว่าศักดิ์สิทธิ์ พร้อมจะไปสักการะบูชา และแน่นอนว่า เบอร์มงคล ก็เป็นอีกไอเทมหลักของชาวสาย มู และถือเป็นอีกตลาดที่ยังคง ทำเงิน ให้กับโอเปอเรเตอร์ทุกค่ายรวมถึง ทรู-ดีแทค ที่ล่าสุดคว้า อ.สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ มาเปิดตัว เบอร์พลังดาว เดินหน้ากลยุทธ์ Better มู Gether หวังโกยยอดเปิดเบอร์มงคลโต 30%

สายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าว่า มี 5 ปัจจัย ที่ทำให้ คนไทยสนใจเรื่องมู ได้แก่

  • Avoid Problem: ผู้คนมองหาวิธีประคองใจ ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
  • Decision Making: ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจต่าง ๆ
  • Bad Situation: การมูหรือการดูดวงทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจ ช่วยตั้งหลักรับมือช่วงที่ยากลำบาก
  • Entertainment: เพื่อความสุขในการเพิ่มพลังบวก และสร้างความหวังเล็กๆ
  • The Opportunity: หวังช่วยเปิดทางให้โอกาสใหม่ๆ หรือจังหวะชีวิตที่ดีขึ้น เดิมพลังในการเดินหน้าต่อ

ที่น่าสนใจคือ การมูไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว Gen Z เป็นเจนเนอเรชั่นที่สนใจเรื่องมูมากที่สุด โดยผลสำรวจพบว่า 50% Engagement ของคอนเทนต์มูเตลูมาจาก Gen Z ตามด้วย Gen Y 26% และ Gen X 14%

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ากว่า 70% เชื่อในพลังของตัวเลข ทำให้ เบอร์มงคล กลายเป็น ไอเทมเสริมดวงที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 46.3% ของไอเทมมูทั้งหมด นอกจากนี้ คนไทย 3 ใน 4 ใช้ AI ดูดวง

ยิ่งขายเบอร์มงคลได้ = ได้ลูกค้าคุณภาพ

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทรู-ดีแทคมียอดขายเบอร์มงคล-เบอร์สวยเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นเลขหมาย ซึ่งทรงตัวในหลักนี้มาตลอด

ที่สำคัญ ลูกค้าเบอร์มงคลจะมียอดใช้งานเฉลี่ย หรือ ARPU (Average Revenue Per User) ที่สูงกว่าลูกค้าโพสต์เพด (ลูกค้ารายเดือน) ปกติเกือบ 2 เท่า อยู่ที่ประมาณ 899 บาท/เดือน จากปกติเฉลี่ย 415 บาท/เดือน นอกจากนี้ จะใช้เบอร์นานเฉลี่ย 2-3 ปี ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรา Churn Rate หรือยกเลิกการใช้บริการที่ต่ำกว่าปกติ เท่าตัว

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น

ดึงอ.สมเจตน์ เสริมทัพ

หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายเบอร์มงคลเติบโตก็คือ อาจารย์ ที่เป็นพาร์ทเนอร์ โดย โรจน์ ยอมรับว่า ชื่อเสียงของอาจารย์มีผลต่อความน่าเชื่อถือ โดยที่ผ่านมา ทางทรูและดีแทคได้จับมือกับ อาจารย์ลักษณ์ โหราธิบดี และ อาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา

ล่าสุดได้ดึง อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ เจ้าของเว็บไซต์ เบอร์มงคลสมเจตน์ดอทคอม ที่เปิดมา 16 ปี มีผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย และมีการขายเบอร์มงคลกว่า 1 แสนเลขหมาย/ปี พร้อมกับเปิดตัว เบอร์พลังดาว โดยเตรียมเบอร์มงคลล็อตใหม่ 3 แสนเบอร์ คาดว่าจะช่วยดันยอดขายเบอร์มงคล เพิ่ม 30%

“เราเห็นพฤติกรรมว่า บางคนเขาไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวเอง แต่เขาเปลี่ยนทั้งครอบครัว อย่างแม่เปลี่ยนมาใช้เบอร์มงคล เบอร์ลูกก็เปลี่ยนด้วย”

อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ

สายมูก็เป็นอีกแบรนด์ดิ้งทรู

โอลิเวอร์ ทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์สายมู หรือ Better มูGetther เป็นอีกทิศทางการทำตลาดของแบรนด์ เพราะตลาดในปัจจุบันไดนามิกมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้ต้องการ One size fit all โดยเฉพาะ Gen Z ที่ใช่แค่เอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น โซเชียลฯ, เพลง, ซีรีส์, เกม ไม่พออีกต่อไป ต้องมองในเชิงสังคมมนุษยวิทยามากขึ้น อย่างเรื่องมูก็เป็นอีกความเชื่อของ Gen Z

“เราต้องปรับตัวเสมอ เพราะลูกค้าไม่ใช่ของตาย เขาพร้อมจะไปตามเหตุและผล เลือกเบอร์ ช่วยให้มีคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งทันยุคทันสมัยมากขึ้น แต่สุดท้าย เขาจะอยู่กับเรานานหรือไม่ ก็จะวนกลับมาที่คุณภาพ”

]]>
1548916
สรุปแนวทาง ‘ลงทุน’ ปี’69 โดย ‘บล.บัวหลวง’ ในวันที่หุ้นไทยยัง ‘เป็นรอง’ ในภูมิภาค ควรกระจายพอร์ตอย่างไรดี? https://positioningmag.com/1548809 Thu, 27 Nov 2025 04:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548809 หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ว่าจะเริ่ม ทยอยฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงกว่า 8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยบวกสำคัญที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ คือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการฟื้นตัวของ ภาคการท่องเที่ยว ทำให้คงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2569

การฟื้นตัวในปีหน้าจะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต: การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะเริ่มลงทุนจริงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ดิจิทัล (Data Center) และ อิเล็กทรอนิกส์ (Semiconductor) ซึ่งได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว
  2. ภาคท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก: คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ
  3. ภาคการส่งออกพลิกฟื้น: การส่งออกคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มจะ ฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2569

กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำ: Barbell Strategy

บัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนใช้ กลยุทธ์ Barbell Strategy เพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนของพอร์ต โดยแบ่งการลงทุนออกเป็นสองด้าน คือ สินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ:

  • ตลาดหุ้น (60%): เน้นหุ้นคุณภาพสูงหรือหุ้นปันผลสูง แบ่งเป็น หุ้นไทย 10% และ หุ้นต่างประเทศ 50% ผ่าน DR ในธีมสำคัญ เช่น AI ในสหรัฐฯ, เศรษฐกิจดิจิทัลในจีน, รวมถึงอินเดียและเวียดนาม
  • ตราสารหนี้ (30%): ใช้เพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
  • ทองคำ (10%): ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยราคามีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก คาดราคาทองคำเข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3

“นักลงทุนไทยควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศ ให้มากกว่าปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 5−10% เพราะตลาดทุนไทยอาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับ AI ซึ่งไทยยังเป็นแค่ Data Center แต่ไม่ได้เป็นบริษัทต้นน้ำ ซึ่งตลาดหลักที่เม็ดเงินจะไป ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น” ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าว

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

4 ธีมหลักกลุ่มหุ้นน่าสนใจ

บัวหลวงเน้นการลงทุนใน 4 ธีมหลักที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องและได้รับประโยชน์จากปัจจัยหนุนต่างๆ:

  1. ผู้นำการเติบโตธีม Data Center และ Digital Transformation:
    • การเติบโตของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำ (WHAUP, GULF) และสื่อสาร (ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำสำหรับ Data Center ที่เร่งตัวขึ้น
  2. กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก:
    • กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, SCC) ที่มี Valuation ถูกมาก และจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลก รวมถึงนโยบาย Anti-involution ที่จำกัดอุปทานส่วนเกิน
    • กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (ITC) ที่ความต้องการยังคงแข็งแกร่ง
  3. กลุ่มที่กำไรเติบโตต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ:
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 และ “Easy e-receipt” จะหนุนกลุ่มค้าปลีก, ห้างสรรพสินค้า (CPN, CENTEL, AOT)
    • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะส่งผลดีต่อกลุ่มการเงินที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดี (MTC, TIDLOR)
  4. กลุ่มปันผลสูง กระแสเงินสดสม่ำเสมอ:
    • ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนใหม่ เช่น โครงการ TISA (Thailand Individual Investment Account) ซึ่งจะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีอย่างธนาคารและสื่อสาร (KTB, SCB)

หุ้นเด่นภายใต้การลดดอกเบี้ย

การลดดอกเบี้ยหลัก ๆ จะหนุนกลุ่ม Rate Sensitive (อัตราดอกเบี้ยอ่อนไหว) เช่น Finance (การเงิน), Yield Play (ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน), และ ICT (กลุ่มที่มีภาระหนี้เยอะ) เนื่องจากได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย) และมีฟื้นฐานกำไรที่ยังแข็งแกร่ง แต่ในกลุ่ม Finance ต้องระวังเรื่อง Asset Quality (คุณภาพสินทรัพย์) และการก่อตัวของ NPL Formation (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ GULF (GPC)

กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง

หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ ยานยนต์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาระ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

]]>
1548809
ไม่ได้สักแต่ใช้เงิน! ผลสำรวจชี้ ‘คนรวย’ เริ่มหันไปหาแบรนด์ราคา ‘สมเหตุสมผล’ เหตุแบรนด์เนมขึ้นราคาจน ‘แพงเวอร์’ สวนทางคุณภาพ https://positioningmag.com/1548431 Mon, 24 Nov 2025 12:05:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548431 จากผลการศึกษาล่าสุดโดยบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co คาดการณ์ว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยส่วนบุคคลทั่วโลกจะหดตัวลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภคที่มีฐานะดีเริ่มต่อต้านการขึ้นราคาที่สูงเกินจริงสำหรับแบรนด์เนมที่สินค้าดูธรรมดา 

Bain & Co คาดว่า ยอดขายสินค้าลักชูรี่ปีนี้จะ ลดลง -2% สู่ระดับ 3.58 แสนล้านยูโร (ประมาณ 412 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จาก 3.64 แสนล้านยูโรในปี 2024 ซึ่งนับเป็นการ ชะลอตัวสองปีซ้อน นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008-2009

โดยสถานการณ์ตลาดในปีนี้ คาดว่าจะมีเพียง ตะวันออกกลาง ที่เติบโตราว 4-6% คิดเป็นมูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านยูโร ขณะที่ตลาดสำคัญอื่น ๆ หดตัวทั้งหมด อาทิ

  • สหรัฐอเมริกา: คาดว่าจะทรงตัวที่ประมาณ 1.01 แสนล้านยูโร
  • ยุโรป: ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน และคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยสู่ 1.08 แสนล้านยูโร
  • จีนและญี่ปุ่น: คาดว่าจะชะลอตัวลงมากถึง 8% สู่ 4.2 หมื่นล้านยูโร และ 3.1 หมื่นล้านยูโร ตามลำดับ

Claudia D’Arpizio หุ้นส่วนของ Bain และผู้ร่วมเขียนงานวิจัย ระบุว่า หมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รองเท้า และกระเป๋าถือ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการ ขึ้นราคาสูงที่สุด และการขึ้นราคาของแบรนด์เนม บวกกับวิกฤตด้านความคิดสร้างสรรค์ของสินค้า ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ สูญเสียลูกค้าไป 60-70 ล้านราย หรือคิดเป็นประมาณ 18% ของฐานลูกค้าที่ลดลง เหลือ 330 ล้านคน

เนื่องจากผู้บริโภคกำลัง ลดระดับไปหาแบรนด์ที่เข้าถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะพวกเขา ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากขึ้น โดยที่ไม่ได้มองแค่เพียงชื่อแบรนด์ 

นอกจากนี้ ภาวะขั้วสุดขีดในตลาด หรือการที่กลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงมาก (Ultra-high-net-worth individuals) ที่ยังคงมีความสามารถในการซื้อสูงที่สุด กำลังทำให้ลูกค้าส่วนที่เหลือรู้สึก แปลกแยก เพราะแบรนด์มุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มนี้มากเกินไป จนทำให้ประสบการณ์ของลูกค้า ถูกออกแบบมาสำหรับคนเพียงไม่กี่คน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะหดตัว 2 ปีติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี แต่ตลาดโดยรวมยังคงใหญ่กว่าปี 2019 ที่ยังไม่มีการระบาดของ COVID-19 ประมาณ 25% โดยตลาดเคยเติบโตสูงสุดถึง 3.69 แสนล้านยูโร ในปี 2023

ทั้งนี้ Bain คาดการณ์ว่า ในปีหน้าตลาดอาจจะฟื้นตัว 3-5% สู่ระดับ 3.65-3.75 แสนล้านยูโร 

Source

]]>
1548431