TopTen – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 26 Apr 2024 11:46:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 UN เผย ‘เอเชีย’ ขึ้นแท่นทวีปที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ มากที่สุดในปี 2023 https://positioningmag.com/1471267 Fri, 26 Apr 2024 08:45:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471267 เชื่อว่าคนไทยทุกคนต่างก็สัมผัสได้กับ ความร้อน ที่สูงขึ้นทุกปี ๆ และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียต่างก็เจอกับปัญหา สภาพอากาศสุดขั้ว ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่ง UN ได้เปิดเผยว่า เอเชีย ถือเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปีที่ผ่านมา

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก World Meteorological Organization : WMO) ซึ่งเป็นหน่วยงานสภาพอากาศของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา เอเชียเป็นภูมิภาคที่ประสบภัยพิบัติมากที่สุดในโลก เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยคุกคามด้านสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน

“ในปีที่ผ่านมา หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียเผชิญกับปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ควบคู่ไปกับสภาวะที่รุนแรง ตั้งแต่ภัยแล้ง คลื่นความร้อน ไปจนถึงน้ำท่วมและพายุ” เซเลสต์ เซาโล เลขาธิการ WMO กล่าว

ประชาชนมากกว่า 9 ล้านคน บนทวีปได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและพายุ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 ราย ขณะเดียวกันแนวโน้มคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคยังคงดำเนินต่อไป โดยรายงานเตือนว่า ตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ เช่น อุณหภูมิพื้นผิว การละลายของธารน้ำแข็ง และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ส่งสัญญาณถึงสภาวะที่เลวร้ายลงและความจำเป็นในการป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชีย

ในปี 2023 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วเอเชียสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ เนื่องจากแนวโน้มภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่ช่วงปี 1960-1990 ซึ่งทำให้เอเชียร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยมีผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยรายงานพบว่า อุณหภูมิในพื้นที่ตั้งแต่ไซบีเรียตะวันตกไปจนถึงเอเชียกลาง และจากจีนตะวันออกไปจนถึงญี่ปุ่นนั้นสูงขึ้นเป็นพิเศษ ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่นและคาซัคสถานเผชิญกับความร้อนที่ร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้ว่า WMO พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนฝนอย่างมาก แต่ก็มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากมายที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม ตามรายงานล่าสุดพบว่า น้ำท่วมรุนแรงในจีนและความแห้งแล้งในอินเดียทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกมูลค่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว

น้ำท่วมหนักทางตอนเหนือของจีนในเดือนกรกฎาคม ซึ่งประสบพายุที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ในขณะที่เมืองหลวงของปักกิ่งมีฝนตกหนักที่สุดในรอบ 140 ปี ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปกติเกือบทุกเดือนของปี 2023 

อินเดียยังต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมและความแห้งแล้ง และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อินเดียมีเดือนที่ร้อนที่สุดในโลกนับตั้งแต่เคยบันทึกไว้ และอินเดียยังเผชิญกับคลื่นความร้อนในเดือนเมษายนและมิถุนายน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดมากกว่า 100 ราย 

Source

]]>
1471267
‘Meta’ กำไรพุ่งเท่าตัวแต่มูลค่าดิ่ง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังนักลงทุนกังวลแผนการลงทุนเกี่ยวกับ AI และ Metaverse https://positioningmag.com/1471099 Thu, 25 Apr 2024 05:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471099 แม้ว่าผลประกอบการของ Meta ในช่วง Q1/2024 จะออกมาค่อนข้างดี แต่มูลค่าบริษัทกลับลดฮวบถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่นักลงทุนกังวลถึงแผนการลงทุนของบริษัทที่ยังคงมีเรื่องของ Metaverse ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกที่ขาดทุนหนักที่สุด อีกทั้งยังมีแผนลงทุนใน AI ระยะยาว ซึ่งยังมองไม่เห็นโอกาสทำกำไร

Meta รายงานผลประกอบการ Q1/2024 โดยมีรายได้รวม 36,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 12,369 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +117% ที่น่าสนใจคือ รายได้จาก โฆษณา ที่เติบโตสูงถึง 27% ซึ่งรายได้จากโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97.8% ตามด้วยธุรกิจด้าน AR VR และ Metaverse 1.2% และอื่น ๆ 1.0%

ทั้งนี้ การเติบโตของโฆษณานั้นส่วนหนึ่งมาจากที่ Threads เริ่มขายโฆษณาได้ รวมไปถึง Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้นที่สามารถตรึงให้ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มได้

ในส่วนของจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวันรวมทุกแพลตฟอร์ม (Family Daily Active People – DAP) เพิ่มขึ้น +7% เป็น 3.24 พันล้านคน นอกจากนี้ จำนวนพนักงานทั่วโลกลดลงเหลือ 69,329 คน จากในปี 2022 ที่มีจำนวนพนักงานสูงสุดที่กว่า 87,000 คน

แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรแต่หุ้นของ Meta ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ Metaverse ที่ขาดทุนอย่างหนักอีกครั้งถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้แล้วก็ตาม รวมแล้วตั้งแต่ปลายปี 2020 แผนกนี้ขาดทุนสะสมไปกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์

อีกเรื่องหนึ่งเรื่องก็คือ AI โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ต้องการจะลงทุนระยะยาวกับ AI เพื่อสร้างรายได้ใหม่นอกจากรายได้จากโฆษณา ดังนั้น บริษัทต้องจัดสรรทรัพยากรใหม่เพื่อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนด้าน AI ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านทุนของปีนี้จะอยู่ที่ 35,000 – 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม

ไม่ใช่แค่การลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่การผลิตภัณฑ์ AI จนสามารถสร้างผลกำไรด้วยตัวมันเองของ Meta อาจต้องใช้เวลานานหลายปี และเขาก็ไม่สามารถระบุกรอบระยะเวลาในการทำกำไรจาก AI อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามั่นใจในศักยภาพของบริษัทในด้านนี้

Source

]]>
1471099
มองเทรนด์ ‘Affiliate Marketing’ ที่อาจหมดพลังในเร็ววัน เพราะแบรนด์ได้ยอด แต่ ‘อินฟลูฯ’ อาจหมดความน่าเชื่อถือ https://positioningmag.com/1471006 Wed, 24 Apr 2024 12:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471006 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ Affiliate Marketing ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถแปะลิงก์สินค้าจะมาแรงในช่วงนี้ เพราะถือเป็นกลยุทธ์ที่ Win-Win กับทั้งคนแปะลิงก์และแบรนด์ เพราะใช้ต้นทุนไม่มาก เพราะจ่ายเมื่อมียอดขาย ส่วนคนแปะลิงก์ก็ได้ส่วนแบ่งไม่ต้องลงทุนอะไร ยิ่งเป็น Influencers ที่มีผู้ติดตามมาก ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการขายไปอีก

KOLs + Affiliate = Full Funnel

ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก แบรนด์ต่าง ๆ ก็ต้องยิ่งแข่งขันกันหนักหน่วง ดังนั้น ทุกคนต่างก็ต้องการยอดขาย และหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ การใช้ KOLs/ Influencers กับ Affiliate Marketing เพราะใช้ได้ตั้งแต่การ ป้ายยา ไปจนถึงสามารถ ปิดการขาย ด้วยตัวเอง ยิ่งขายได้เยอะอินฟลูฯ ก็ยิ่งได้ค่าคอมมิชชั่น แบรนด์ก็วัดผลเป็นยอดขายได้ทันที และต้นทุนก็มีเพียงค่าคอมมิชชั่น ถ้าขายไม่ได้แบรนด์ก็ไม่ต้องเสียเงิน

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายแบรนด์หันมาใช้ Affiliate Marketing ไม่ว่าจะเป็น 7-Eleven หรือแม้แต่ แสนสิริ ที่ให้ค่าคอมมิชชั่นสูงสุดถึง 1 ล้านบาท! ล่าสุด เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่ง อาร์เอส กรุ๊ป ก็ดึงศิลปิน-ดาราในสังกัดกว่า 120 ชีวิต ที่มียอดผู้ติดตามมากกว่า 20 ล้านบัญชี ทำ Affiliate Marketing

“เมื่อก่อนแบรนด์ใหญ่มีเงินใช้ทีวี ใช้สื่อหลัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว สื่อพวกนี้ไม่มีพลังแล้ว” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าว

Affiliate ยิ่งสร้าง Influencers

ปัจจุบัน แบรนด์ใช้เม็ดเงินโฆษณาไปกับ Influencers ประมาณ 20-25% ของงบการตลาด และ Affiliate Marketing กลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจำนวน KOLs/ Influencers โดย ภวัต คาดว่าปัจจุบัน จำนวนของ KOLs/ Influencers ในไทยมีมากกว่า 2 ล้านราย และยังเติบโตได้อีก เนื่องจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีมากขึ้น และหลายคนก็ต้องการสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลมากขึ้น และ Affiliate Marketing ก็เป็นอีกตัวช่วยในการหารายได้เสริม

เนื่องจากความนิยมและความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของ Influencers ที่นักการตลาด และผู้ประกอบการนิยมใช้งานมากขึ้น ทำให้กลายเป็นปัจจัยหลักที่ดันให้ เม็ดเงินสื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้วเติบโต +14% และคาดการณ์โตต่อเนื่อง +8% ในปี 2024 นี้ (ข้อมูลจาก DAAT)

Affiliate เป็นดาบ 2 คมของ Influencers

แม้ว่าตอนนี้การทำ Affiliate Marketing ตอนนี้จะทวีความนิยม แต่เนื่องจากแบรนด์ที่ทำมากขึ้น เหล่า KOLs/ Influencers  มีการแปะลิงก์มากขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภค ชินหรือเบื่อ นอกจากนี้ การแปะลิงก์ขายสินค้าของยังทำให้ KOLs/ Influencers สูญเสียความน่าเชื่อถือ และสักวัน Affiliate Marketing ก็จะเริ่มหมดพลังไป

“การทำ Affiliate Marketing มันไม่ส่งผลกับภาพแบรนด์ เพราะเขามองว่ามันก็เหมือนโฆษณาแบบหนึ่ง แต่ตัว Influencers จะได้รับผลกระทบ เพราะถูกมองว่าเสียตัวตนไปแล้ว เพราะบทบาทของ Influencers ที่ผู้บริโภคมองคือ ตัวช่วยตัดสินใจ ดังนั้น กระแส Affiliate ปีหน้าอาจจะเสื่อมความนิยมลง”

รู้จัก KOLs/ Influencers 5 กลุ่ม ได้แก่

  • Mega – Celeb : > 1,000,000 followers ค่าตัว 200,000 – 1,00,000+ บาท
  • Macro : 500,000-1,000,000 followers ค่าตัว 80,000 – 200,000 บาท
  • Mid tier : 100,000-500,000 followers ค่าตัว 30,000 – 150,000 บาท
  • Micro : 10,000-100,000 followers ค่าตัว 10,000 – 30,000 บาท
  • Nano : 1,000-10,000 followers ค่าตัว 3,000 – 15,000 บาท

โดย Influencer พบว่าแบรนด์ส่วนใหญ่นิยมใช้มากที่สุดคือ กลุ่ม Micro และ Nano เนื่องจากผู้บริโภคมองว่า น่าเชื่อถือมากกว่า

]]>
1471006
‘อาลีบาบา’ เตรียมทุ่ม 2.6 พันล้านลงทุนใน ‘Ably’ อีคอมเมิร์ซสายแฟชั่นของเกาหลีใต้ https://positioningmag.com/1470875 Wed, 24 Apr 2024 06:33:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470875 ตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกตอนนี้กำลังถูกยึดครองโดยจีนไปแล้ว เพราะมีผู้เล่นเบอร์ใหญ่หลายราย ไม่ว่าจะเป็นอาลีบาบา, TikTok และ Temu ที่กระจายตัวไปเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในหลาย ๆ ประเทศ ล่าสุด อาลีบาบาก็เตรียมลงทุนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเกาหลีใต้ เพื่อเปิดทางในการรุกตลาดเกาหลีใต้

ตามรายงานโดยหนังสือพิมพ์ The Korea Economic Daily เปิดเผยว่า อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง กําลังจับตามองการลงทุน ครั้งแรกในภาคอีคอมเมิร์ซของเกาหลีใต้ โดยกำลังเจรจาเพื่อลงทุน 72.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อหุ้น 5% ใน Ably Corp แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่นหญิงของเกาหลีใต้

โดยการลงทุนดังกล่าวหากประสบความสำเร็จ จะช่วยให้อาลีบาบาสามารถตั้งหลักในตลาดเกาหลีใต้ได้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน ทั้ง AliExpress, Shein และ Temu กำลังแข่งขันกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง Gmarket และ Coupang

นอกจากนี้ อาลีบาบากำลังเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกจากแพลตฟอร์มเพื่อนร่วมชาติ ทั้ง Shein และ PDD Holdings’ Temu ซึ่ง Ably จะเข้ามาช่วยเสริมกับกลยุทธ์ของ AliExpress ที่เพิ่งเปิดตัวช่องทางสำหรับขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงโดยเฉพาะ

Ably ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 ปัจจุบัน แพลตฟอร์มมีมูลค่ามากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และเติบโตจนมีจำนวนผู้ใช้มากที่สุดในแพลตฟอร์มแฟชั่นออนไลน์ของเกาหลีใต้ โดยมีผู้ใช้กว่า 8.05 ล้านคน ในเดือนมีนาคม อีกทั้ง Ably ยังเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแฟชั่นเพียงรายเดียวที่ทํากําไรได้ในปีที่แล้ว

สำหรับข่าวการเจรจา AliExpress-Ably เกิดขึ้นหลายสัปดาห์หลังจากมีข่าวลือว่าอาลีบาบากําลังวางแผนการลงทุนประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์ในเกาหลีใต้ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยอาลีบาบาจะใช้เงิน 200 ล้านดอลลาร์ในปีนี้เพื่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์และ 100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางในการขายสินค้าของตนในต่างประเทศ นอกจากนี้ อาลีบาบาจะลงทุนอีก 72.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภค

ปัจจุบัน สินค้าจีนได้รับความสนใจจากนักช้อปชาวเกาหลีใต้ โดยปีที่แล้วการบริโภคออนไลน์เพิ่มขึ้น 121% เป็น 3.3 ล้านล้านวอนจากปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการซื้อ e-commerce ในต่างประเทศทั้งหมดของประเทศ

Source

]]>
1470875
หวั่นผูกขาด! สหรัฐฯ ฟ้องระงับการควบรวมกิจการ ‘Coach’ – ‘Capri’ มูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1470744 Tue, 23 Apr 2024 04:53:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470744 ย้อนไปช่วงเดือนสิงหาคม 2023 ที่ผ่านมา บริษัท Tapestry Inc. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าลักชัวรีอย่าง Kate Spade และ Coach กำลังเข้าซื้อกิจการ Capri Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Michael Kors และ Versace ในมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 3 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวอาจไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เนื่องจาก คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (US Federal Trade Commission: FTC) กำลังฟ้องร้องเพื่อสกัดข้อตกลงการควบรวมกิจการของ Tapestry กับ Capri Holdings

สาเหตุที่ทำให้ FTC ยื่นฟ้องระงับการควบรวมกิจการเป็นเพราะ สมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ หลายรายต้องการให้ FTC เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบดีลการควบรวมกิจการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีความเสี่ยงทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ ผู้บังคับใช้การต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐฯ ยังได้ออกแนวทางการควบรวมกิจการใหม่ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมตลาดที่ยุติธรรม เปิดกว้าง และมีการแข่งขัน

“ข้อเสนอการควบรวมกิจการอาจส่งผลต่อการแข่งขันด้านราคา ส่วนลดและโปรโมชั่น นวัตกรรม การออกแบบ การตลาด และการโฆษณา” FTC กล่าวในแถลงการณ์

ย้อนไปเดือนสิงหาคม 2023 ที่ผ่านมา บริษัท Tapestry ได้เสนอซื้อ Capri โดยหวังว่าจะต่อสู้กับคู่แข่งรายใหญ่ของยุโรป เช่น LVMH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Louis Vuitton และอาจได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นในตลาดสินค้าหรูหราระดับโลก แม้ดีลดังกล่าวจะเริ่มพูดคุยในเดือนสิงหาคม แต่แต่ FTC ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ FTC เตรียมยื่นฟ้องให้ระงับการควบรวม ทาง Capri Holdings ก็ออกมาแสดงความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของ FTCดยบริษัทมองว่า หน่วยงานไม่ได้มองถึง ความเป็นจริงของตลาดที่แข่งขันกันเข้มข้น และธุรกรรมนี้จะไม่ส่งผลต่อการแข่งขัน

ขณะที่ Tapestry กล่าวเสริมว่า ดีลดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่เอื้อการแข่งขันและสนับสนุนผู้บริโภค และ FTC กำลังเข้าใจผิดถึงการแข่งขันของตลาดและวิธีที่ผู้บริโภคซื้อสินค้า

Source

]]>
1470744
ตึงเครียดทั่วโลก! งบ ‘การทหาร’ ทั่วโลกพุ่งทะลุ 2.44 ล้านล้านดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากภาวะสงคราม https://positioningmag.com/1470667 Mon, 22 Apr 2024 12:17:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470667 จากสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ตามด้วยความตึงเครียดแถบตะวันออกกลางของ อิสราเอล กับภัยคุกคาม ทั้งจาก กลุ่มฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ อิหร่าน และในเขตเวสต์แบงก์ ยังไม่รวมความขัดแย้งของ จีน-สหรัฐฯ ที่พลอยทำให้ จีนกับไต้หวันเริ่มตึง ๆ ใส่กัน ดังนั้น การที่งบที่ใช้จ่ายกับการทหารทั่วโลกจะสูงขึ้น จึงไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจนัก

ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา งบการลงทุนทางทหารทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 2.44 ล้านล้านดอลลาร์ +6.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 ที่มีรายงานเรื่องแนวโน้มการใช้จ่ายทางทหาร

“การใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเป็นการตอบสนองโดยตรงต่อการเสื่อมถอยของสันติภาพและความมั่นคงทั่วโลก” หนาน เทียน นักวิจัยอาวุโสในโครงการการใช้จ่ายทางทหารและการผลิตอาวุธของ SIPRI กล่าว

รายงานระบุว่า รายจ่ายทางการทหารเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 9 และรายจ่ายทางการทหารเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจาก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นใน ตะวันออกกลาง

แน่นอนว่ายูเครนและรัสเซียซึ่งอยู่ในภาวะสงครามอย่างแข็งขัน ติดอันดับประเทศที่เพิ่มการใช้จ่ายทางทหารมากที่สุดในปี 2566 อยู่ที่ 51% และ 24% ตามลำดับ โดยค่าใช้จ่ายทางการทหารตามจริงของ รัสเซีย ยังคงสูงกว่ายูเครนอยู่มาก โดยอยู่ที่ประมาณ 109,000 ล้านดอลลาร์ ส่วน ยูเครน อยู่ที่ 64,800 ล้านดอลลาร์

โดย รัสเซีย กลายเป็นรายจ่ายทางการทหารรายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก ตามหลัง สหรัฐฯ ที่ใช้จ่าย 916,000 ล้านดอลลาร์ +2.3% และ จีน ใช้จ่าย 296,000 ล้านดอลลาร์ +6% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของ เยอรมนี และ สหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้น +9% และ +7.9% ตามลำดับ ส่วน อิสราเอล ซึ่งกำลังอยู่ในความขัดแย้งเช่นกัน ใช้จ่าย 27,500 ล้านดอลลาร์ +24%

“ค่าใช้จ่ายทางทหารรายเดือนของอิสราเอลเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มสงครามในฉนวนกาซา”

ในแถบเอเชีย ประเทศอย่าง ไต้หวัน ใช้จ่ายทางทหารที่ 16,600 ล้านดอลลาร์ +11% ซึ่งเป็นยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากไต้หวันก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากรัฐบาลจีน ส่วน เกาหลีใต้ ใช้ 47,900 ล้านดอลลาร์ +1.1%

ที่น่าสนใจคือ ญี่ปุ่น ที่ใช้มากถึง 50,200 ล้านดอลลาร์ +11% ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่เพิ่มขึ้น มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2515 และยังถือเป็นงบสร้างกองทัพที่มากที่สุดของญี่ปุ่น นับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับ ไทย มีการใช้จ่ายทางทหารอยู่อันดับที่ 38 ของโลก โดยมีงบประมาณอยู่ที่ 5,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีก่อนหน้า 6.5%

]]>
1470667
เอาด้วย! ‘Sony’ ร่วมวงประมูลซื้อ ‘Paramount’ ค่ายภาพยนตร์ดัง หลัง ‘Warner Bros’ ถอนตัว https://positioningmag.com/1470422 Fri, 19 Apr 2024 06:28:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470422 ย้อนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ดีลควบรวมกิจการของ Warner Bros. Discovery กับ Paramount Global ก็ไปไม่ถึงฝั่ง โดยมีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายเลือกจะระงับการเจรจาไปก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สนใจซื้อรายอื่นตกเป็นข่าวอีกเพียบ

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Sony Pictures Entertainment ร่วมกับ Apollo Global Management ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุน กำลังหารือเกี่ยวกับการร่วมมือกันเพื่อประมูลซื้อ Paramount นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทสื่ออื่นอย่าง Skydance ที่เจรจาเข้าซื้อบริษัทด้วย

อย่างไรก็ตาม ทาง Sony ยังไม่ได้ยื่นการประมูลอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก Paramount ยังคงอยู่ในการสนทนาพิเศษกับ Skydance แต่ข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้นกับ Skydance ได้สร้างแรงผลักดันให้กับนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปได้ว่า Sony และ Apollo จะเสนอเงินสดสําหรับหุ้นของ Paramount

ก่อนหน้านี้ ทาง Apollo ติดต่อ Paramount เกี่ยวกับการซื้อบริษัทด้วยมูลค่าอย่างน้อย 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงหนี้ด้วย แต่คณะกรรมการของ Paramount ได้ดำเนินการสนทนาขั้นสูงกับ Skydance ท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนของ Apollo 

จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Tony Vinciquerra ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Sony Pictures Entertainment ได้หารือกับ Apollo เพื่อร่วมมือกันในการประมูลซื้อ Paramount และเมื่อมีชื่อของ Sony ก็ช่วยคลายลดข้อกังวลใจเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุน เนื่องจาก Sony ช่วยเพิ่มประสบการณ์การปฏิบัติงานและเงินทุนเพิ่มเติมให้กับ Apollo

สำหรับ Paramount ถือเป็นค่ายที่มีภาพยนตร์ดังมากมาย อาทิ แฟรนไชส์ Mission Impossible, Top Gun, Transformers เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีแพลตฟอร์ม Paramount+ ช่องเคเบิล และเพชรเม็ดงามอย่าง CBS เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของอเมริกา

Source

]]>
1470422
ยอดขายกลุ่ม ‘LVMH’ หดตัว 2% เนื่องจากตลาด ‘เอเชีย’ ซบเซาหนัก แม้ยอดขายของ ‘จีน’ จะโต 10% https://positioningmag.com/1470367 Thu, 18 Apr 2024 15:10:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470367 สินค้าลักชัวรีที่หลายคนมองว่าปัญหา กำลังซื้อ นั้นไม่ส่งผลกระทบ เพราะเป็นสินค้าที่จับลูกค้ากระเป๋าหนัก อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ยอดขายของกลุ่ม LVMH หดตัว 2%

เครือกลุ่ม LVMH ที่ถือครองแบรนด์หรูรวมกว่า 75 แบรนด์ อาทิ Louis Vuitton, Tiffany & Co. และ Bulgari ได้เปิดเผยผลประกอบการช่วง Q1/2024 โดยหดตัว -2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นรายได้ 2 หมื่นล้านยูโร 

โดยกลุ่มสินค้าที่หดตัวมากที่สุดคือ ไวน์และสุรา ลดลง -12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ สินค้าสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง เช่น แบรนด์ Louis Vuitton เติบโต +2%  ขณะที่ไตรมาสที่แล้วเติบโต 9% 

ส่วนสินค้าประเภท นาฬิกาและจิวเวลรี มียอดขาย ลดลง -2% ในขณะที่หมวดหมู่ น้ำหอมกับเครื่องสำอาง มียอดขายสูงขึ้น +7% ส่วนหมวดหมู่ Selective Retailing มียอดขายสูงขึ้น +11%

โดยยอดขายใน ตลาดเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ลดลง -6% โดยตลาดสำคัญอย่าง จีน ที่ถือเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชีย เติบโต 10% และในส่วนของตลาด ญี่ปุ่น สามารถเติบโตได้ถึง +32% โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยน ส่วนยอดขายในตลาด ยุโรป และ สหรัฐฯ เติบโต +2%

ทั้งนี้ Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินคาดการณ์ว่า ตลาดสินค้าหรูมีแนวโน้มเติบโตเพียง 1-4% ในปีนี้ จากที่เคยคาดการณ์ในปีที่แล้วว่าจะเติบโตประมาณ 8-10%

LVMH / Reuters

]]>
1470367
ประเมินตลาด ‘รถอีวี’ ทั่วโลกปี’67 อาจโตได้ 30% แม้ไตรมาสแรกชะลอตัว เหตุผู้บริโภครอ “รถราคาถูก” ลงสู่ตลาด https://positioningmag.com/1470277 Thu, 18 Apr 2024 03:28:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470277 บริษัทวิจัยการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและพลังงานอย่าง Rho Motion ประเมินว่า การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี ทั่วโลกว่าอาจ ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภครอ รถที่มีราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปีตลาดมีโอกาสเติบโตได้ประมาณ 25-30%

ในเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นยอดจำหน่าย สูงที่สุด เท่าที่เคยมีมาในเดือนมกราคม โดยเพิ่มขึ้น +69% จากเดือนมกราคม 2566 ที่มียอดขาย 6.6 แสนคัน อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับยอดขายของเดือนธันวาคม 2566 ที่เป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดที่ 1.5 ล้านคัน ถือว่าลดลงเกือบ 5 แสนคัน

ขณะที่เดือน กุมภาพันธ์ ยอดขายลดลง 25% เหลือ 827,000 คัน เป็นผลมาจากยอดขายใน จีน ที่ลดลงมากกว่า 42% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ตลาดจีนมียอดขายสูงถึง 640,000 คัน หรือคิดเป็นกว่าครึ่งของยอดขายรถอีวีทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในเดือน มีนาคม ยอดขายรถอีวีก็พุ่งขึ้นสูงถึง 1.23 ล้านคัน ทั่วโลก โดยเติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2566 เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 27% ในตลาดจีนและ 15% ในตลาดสหรัฐฯ และแคนาดา แม้ว่าในตลาดยุโรปจะลดลง 9% ก็ตาม

“โดยรวมแล้ว การเติบโตของยอดขายชะลอตัว แต่ก็ยังค่อนข้างเป็นบวก” Charles Lester ผู้จัดการข้อมูลของ Rho Motion กล่าว

หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นเวลาหลายปี ทำให้ความต้องการขายรถยนต์ไฟฟ้าลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภค รอให้รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพง ออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเติบโตจะชะลอตัวไปบ้าง แต่คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25-30%

ทั้งนี้ ในปี 2566 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอยู่ที่ 13.6 ล้านคัน เติบโตขึ้น 31% จากในปี 2565 ตลาดเติบโตถึง 60%

reuters / X / greencarcongress

]]>
1470277
บริษัทแม่ค่ายเกม ‘GTA’ เตรียมโละพนักงาน 600 คน พร้อมยกเลิกโครงการเกมที่กำลังพัฒนาบางส่วน เพื่อลดต้นทุน https://positioningmag.com/1470246 Wed, 17 Apr 2024 08:57:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470246 สถานการณ์การลดพนักงานในบริษัทด้านเทคโนโลยีทั่วโลกยังคงมีให้เห็นเรื่อย ๆ ล่าสุดก็ถึงคิวของ TAKE=TWO Interactive Software บริษัทแม่ผู้พัฒนาเกมดังอย่าง Grand Theft Auto หรือ GTA ที่ล่าสุดเตรียมลดจำนวนพนักงาน 5% เพื่อลดต้นทุน

เป็นข่าวเศร้าของเหล่าเกมเมอร์แน่นอน เมื่อ TAKE=TWO Interactive Software ต้องลดต้นทุนบริษัท โดยเตรียมเลิกจ้างพนักงานประมาณ 600 คน รวมถึงจะ ยกเลิกโครงการเกมที่กำลังพัฒนาบางส่วน เนื่องจากคาดว่าโครงการเกมที่กำลังพัฒนาจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยถึงโครงการเกมที่ถูกยกเลิก

Take-Two คาดว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวคาดว่าจะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนได้มากกว่า 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และจากแผนการลดต้นทุนดังกล่าว ทำให้หุ้นของบริษัทเด้งสูงขึ้น 1% ในการซื้อขายระยะยาว อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มูลค่าหุ้นบริษัทลดลงเกือบ 10%

ไม่ใช่แค่ Take-Two แต่อุตสาหกรรมเกมตอนนี้ก็ลดคนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Riot Games, Electronic Arts ของ Tencent และ Sony Corp ของญี่ปุ่น เนื่องจากการใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนของผู้บริโภคหลังจากยุคการแพร่ระบาดของ COVID-19

โดยในปีนี้ การเติบโตของรายได้จากเกมพีซีและคอนโซลคาดว่าจะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด เนื่องจากนักเล่นเกมบันทึกเวลาเล่นน้อยลง ตามรายงานของ บริษัท วิจัย Newzoo

สำหรับ TAKE=TWO Interactive Software บริษัทแม่ของค่ายพัฒนาผู้พัฒนาเกม 2K, The Gearbox Entertainment Company, Private Division และ Rockstar Games ผู้ผลิตเกมดังอย่าง GTA และการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้ถือเป็นการลดรอบที่สามของ Take-Two นับจากต้นปี 2023 เป็นต้นมา

Source

]]>
1470246