TopTen – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 26 Nov 2024 14:16:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Huawei’ เปิดตัว Mate 70 เรือธงรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ‘HarmonyOS NEXT’ เต็มรูปแบบ พร้อมประกาศเลิกใช้ Android อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2569 https://positioningmag.com/1500893 Tue, 26 Nov 2024 13:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500893 หลังกลับมาสู่ตลาดสมาร์ทโฟนจีนด้วย Huawei Mate 60 เรือธงรุ่นแรกที่รองรับ 5G แถมใช้ชิปขนาด 7 นาโนเมตรของตัวเอง และปีนี้ Huawei ได้เปิดตัวเรือธงรุ่นใหม่ Mate 70 ซีรีส์ ที่ทำงานบน HarmonyOS NEXT ระบบปฏิบัติการมือถือที่พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบรุ่นแรกของบริษัท

หัวเว่ย (Huawei) ได้เปิดตัวซีรีส์ Mate 70 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดที่เป็นรุ่นต่อจาก Mate 60 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ส่งแรงกระเพิ่มในตลาดจีนอย่างมาก รวมถึงยังตอกกลับ สหรัฐฯ ที่จำกัดการเข้าถึงชิป ด้วยการเป็นรุ่นแรกที่รองรับ 5G ด้วยชิปขนาด 7 นาโนเมตรที่พัฒนาเองในประเทศ 

และอย่างที่หลายคนรู้ว่าหัวเว่ย ถูกแบนจากการทำธุรกิจกับบริษัทสหรัฐฯ ทำให้หัวเว่ยไม่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Android ของ Google ตั้งแต่ปี 2019 ทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนต้องพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเองซึ่งก็คือ HarmonyOS

อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS เวอร์ชันแรก ๆ ของบริษัทสร้างขึ้นยังคงรองรับระบบปฏิบัติการ Android อยู่ แต่ Huawei Mate 70 ซีรีส์นี้ จะทํางานบน HarmonyOS NEXT ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบตัวแรกของบริษัท 

โดยหัวเว่ยตั้งเป้าจะเลิกใช้ระบบปฏิบัติการ Android อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2569 และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หัวเว่ยจะอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้สินค้ารุ่นเก่าบางรุ่นให้ใช้ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT ใหม่นี้ ซึ่งการที่หัวเว่ยจะเลิกพึ่งพาระบบปฏิบัติการ Android ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ

สำหรับ Mate 70 ซีรีส์ จะมีหน่วยประมวลผลที่ได้รับการยกระดับ ซึ่งดำเนินการด้วยระบบปฏิบัติการ HarmonyOS Next ของหัวเว่ยเอง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดย Mate 70 ซีรีส์จะมีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่

  • Mate 70 (เริ่มต้น 5,499 หยวน หรือราว 26,300 บาท)
  • Mate 70 Pro (เริ่มต้น 6,499 หยวน หรือประมาณ 31,000 บาท)
  • Mate 70 Pro+ (เริ่มต้น 8499 หยวน หรือประมาณ 40,700 บาท)

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังเปิดตัว Mate X6 สมาร์ทโฟนจอพับ ราคาเริ่มต้นที่ 12,999 หยวน หรือราว 62,159 บาท

โดยหลังจากเปิดให้จอง Mate 70 ซีรีส์ ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สามารถทำยอดจองได้ถึง 3 ล้านเครื่อง อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงยอดจองเท่านั้น ไม่ใช่ยอดขาย ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หัวเว่ยอยู่ อันดับ 3 ตามหลัง Apple ที่อยู่อันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15.3% โดยการจัดส่งสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามข้อมูล IDC

Source

]]>
1500893
ยอดขาย ‘รถยนต์’ เดือนต.ค. ลดลง 36.08% ดิ่งหนักสุดในรอบ 54 เดือน! เนื่องจากพิษหนี้ครัวเรือน และแบงก์เข้มออกสินเชื่อ https://positioningmag.com/1500737 Tue, 26 Nov 2024 05:30:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500737 ท่าทางจะฟื้นลำบากสำหรับตลาด รถยนต์ เพราะยอดขายในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือว่า แย่สุดในรอบ 4 ปี เลยทีเดียว ขณะที่ภาพรวมตลอด 10 เดือนก็หดตัวกว่า 20% แม้แต่ รถอีวี ที่เคยโตแรงก็หดตัว จนถึงขั้นต้องปรับคาดการณ์การผลิตรถยนต์ทั้งปีลงถึง 2 แสนคัน

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 36.08% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 54 เดือน นับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาด COVID-19 ในเดือนพฤษภาคม 2563 สำหรับในส่วนของยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว -32.19% ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง -49.73%

โดยปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง และการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี หรือ -1.2% และลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชีหรือ -3% ขณะที่จำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาส 3 อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ -2.8% และลดลง -5.8% จากไตรมาส 3 ปี 2566 

ทั้งนี้ ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา รถยนต์มียอดขาย 476,350 คัน ลดลง -26.24% เมื่อเทียบกับ 10 เดือนแรกของปี 2566 และเมื่อแยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์มีจำนวน 284,304 คัน เท่ากับ 59.84% ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 12.22%

ด้านการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว +5.08% แต่เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ถือว่าลดลงถึง -20.23% อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกในเดือนตุลาคม 2566 ถือเป็นฐานที่สูง เพราะสามารถส่งออกได้ถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และยุโรป 

โดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิก กลุ่มฯ ในปี พ.ศ. 2567 ใหม่ โดยปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน

]]>
1500737
สรุปทุกกลยุทธ์ ‘ซิซซ์เล่อร์’ ที่ใช้ดันยอดขายโต 15% โดยไม่ต้องขึ้นราคามา 2 ปี! https://positioningmag.com/1500569 Mon, 25 Nov 2024 08:16:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500569 ถือเป็นอีกปีที่ดีสำหรับ ซิซซ์เล่อร์ (Sizzers) ก็น่าจะไม่ผิดนัก เพราะผลงาน 3 ไตรมาสแรกรายได้ก็เติบโตถึง 15% และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มถึง 25% โดย Positioning จะสรุปให้ฟังว่า ซิซซ์เล่อร์ทำอะไรที่ช่วยให้แบรนด์เติบโตได้ขนาดนี้ ท่ามกลางผู้เล่นใหม่ที่ตบเท้าเข้ามามากขึ้น

Build brand ด้วยน้องชีสโทสต์

หนึ่งกลยุทธ์ที่เห็นได้ชัดจาก ซิซซ์เล่อร์ ปีนี้ก็คือ การปั้นแบรนด์ผ่าน น้องชีสโทสต์ มาสคอตที่แบรนด์ยกเครื่องใหม่ให้มีคยวามน่ารักมากขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น รวมถึงการออก สินค้าพรีเมียม โดยเฉพาะ กล่องสุ่ม ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดีจนต้องมี Box 2 และเพิ่มจำนวนอีก 10 เท่า จาก 3,000 กล่องที่ขายเกลี้ยงในรอบแรก เป็น 30,000 กล่อง

แน่นอนว่าผลพลอยได้คือยอดขาย แต่เป้าหมายจริง ๆ คือ การสร้าง แบรนด์เลิฟ เพราะสิ่งของจะเพิ่มบทบาทของแบรนด์ ช่วยให้รีไมด์ถึงแบรนด์ได้ตลอดเวลา

“โจทย์เราคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์เราไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ลูกค้า เพราะเราไม่ได้อยากเป็นแค่แบรนด์ร้านอาหาร แต่ไปอยู่ในทุก ๆ ช่วงเวลาของเขา ซึ่งต้องชีสโทสต์ทำให้แบรนด์ดิ้งเราเติบโต เพราะสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า” อนิรุทร์ เดวิด คอลลินส์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด (Sizzler) ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ดกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ สินค้าพรีเมียมยังช่วยเพิ่มจำนวน สมาชิก (Member) เพราะนอกจากจะได้ซื้อสินค้าในราคาพิเศษ ยังได้ของพรีเมียมที่ซื้อไม่ได้อีกด้วย ซึ่งสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่สมาชิกจะได้ ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ลูกค้าอยากใช้จ่ายในร้านเพื่ออัปเกรดขั้นของตัวเอง

สำหรับปีนี้ จำนวนสมาชิกของซิซซ์เล่อร์เติบโตถึง 70% จากปีที่ผ่านมามีจำนวน 5 แสนราย เป็น 8.5 แสนราย โดยปัจจุบัน Member แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 

  • Green (สมัครฟรี มีสัดส่วน 70%)
  • Gold (ค่าสมัคร 399 บาท) 
  • Diamond (ต้องมีคะแนนสะสม 600 คะแนนขึ้นไป) มีประมาณ 2 หมื่นคน

“กลุ่ม Diamond ถือเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรา มาทานถึง 13-14 ครั้ง/ปี จากลูกค้าปกติมาทานเฉลี่ย 3-4 ครั้ง/ปี ซึ่งกลุ่มแฟนพันธุ์แท้เขาไม่ได้ต้องการส่วนลด แต่ต้องการความเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งเราจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อให้เขายังคงรักแบรนด์ และอาจกระตุ้นให้ Member กลุ่มอื่นอยากอัพเกรดขึ้นมาด้วย”

แพ็กเกจจิ้งก็สร้างแบรนด์เลิฟได้

แม้ว่าตลาดร้านอาหารจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่ เดลิเวอรี่ ซิซซ์เล่อร์ก็ไม่ได้ทิ้ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงแห่งการจัดปาร์ตี้หรืองานเลี้ยง อย่างไรก็ตาม ซิซซ์เล่อร์ยอมรับว่า ไม่ใช่ Top of mind ในการสั่งไปปาร์ตี้เหมือนกับ Finger food แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส

ดังนั้น ซิซซ์เล่อร์จึงออก แพ็กเกจจิ้งเดลิเวอรี่ใหม่ โดยทำเป็น สเต็กถาด และกล่องเป็นเกม บันไดงู เพื่อให้เหมาะกับการใช้ร่วมสนุกกันในกลุ่ม อีกทั้งยังช่วย สร้างการจดจำแบรนด์ ซึ่งปีนี้ยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 9% จากปีที่แล้วมีสัดส่วน 6%

“สิ่งที่ยากที่สุดคือ Build brand เพราะเราเริ่มจากศูนย์ ที่ไม่ได้มีเอกลักษณ์ของซิซซ์เล่อร์ เราเลยต้องสร้างมาใหม่ นี่เป็นความท้าทายของเรา”

เป็น Winner ในทุก Occasion

งานเทศกาลที่ซิซซ์เล่อร์ทำได้ดีจนเป็นภาพจำก็คือ วันแม่ แต่ในปีนี้ซิซซ์เล่อร์ต้องการเป็น Winner ในทุก Occasion ดังนั้น จึงเน้นหนักในทุกเทศกาลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวันเด็ก, วันสงกรานต์ รวมถึงการจัดเดือนเกิดแบรนด์ อย่าง Cheese Toast Mont ในเดือนกันยายน ที่ช่วยดันให้ยอดขายช่วง Q3/2024 เติบโตสูงสุด

นอกจากนี้ ทางซิซซ์เล่อร์มีการออก เมนู Festive Season ทุกไตรมาสเพื่อสร้างความตื่นเต้นภายใต้แคมเปญ Sizzling World Taste และ Season of Sizzling Delight โดยล่าสุดเป็น Sizzler Taste of Canada ที่มี กุ้งล็อบสเตอร์ มาเป็นวัตถุดิบ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าในช่วงแห่งการฉลองส่งท้ายปี ที่ต้องการความพรีเมียม

“แต่ละไตรมาสเราก็จะมีสินค้าใหม่ ๆ ตามแต่ละประเทศที่เราหยิบมาเป็นคอนเซ็ปต์ ยิ่งไตรมาสสุดท้ายเป็นช่วงของเทศกาล ช่วงการเฉลิมฉลอง และไตรมาสนี้ลูกค้าต้องการความพรีเมียม เราเลยนำล็อบสเตอร์มาเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะไม่ได้หาทานง่าย และย้ำภาพความเป็นพรีเมียม แต่ราคายังเข้าถึงได้”

NPD แค่เสริม ต้องโตด้วยเมนูหลัก

แม้จะมีสินค้าใหม่ทุกไตรมาส แต่ คอร์โปร์ดักส์ (เมนูเล่ม) จะทิ้งไม่ได้ และการที่แบรนด์เติบโตด้วยเมนู NPD ในสายตาของ อนิรุทร์ มองว่า ไม่ยั่งยืน ดังนั้น การออก NPD ใหม่จะต้องนำไปสู่คอร์โปรดักส์ด้วย ทำให้การออกเมนู NPD ทางซิซซ์เล่อร์จึงสอดแทรกคอร์โปรดักส์ลงไปด้วย รวมถึงมีการจัด เมนูทานได้ทุกวัน ที่มีราคาเข้าถึงได้ เริ่มต้น 239 บาท เพื่อดึงดูดกลุ่มพนักงานออฟฟิศให้ทานได้ทุกวัน

ปัจจุบัน สัดส่วนการขายคอร์โปรดักส์ของซิซซ์เล่อร์มีสัดส่วน 90% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามี 85% ซึ่ง อนิรุทร์ พอใจกับสัดส่วนดังกล่าว เพราะอีก 10% คือต้องเหลือไว้เป็นช่องว่างให้เล่นกับช่วงซีซันนอล

“NPD ช่วยสร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้าได้ แต่ต้องไม่โตจนมากกว่าคอร์โปรดักส์ เพราะถ้าการเติบโตของคอร์โปรดักส์ต่ำถือว่าไม่ดี จะไม่ยั่งยืน”

ย้ำไม่ขึ้นราคามา 2 ปี แม้ต้นทุนจะขึ้น

จากกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ทำมาตลอดปี ช่วยให้ยอดขาย 3 ไตรมาสของซิซซ์เล่อร์เติบโต +15% และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น +25% โดยที่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซิซซ์เล่อร์ ไม่เคยขึ้นราคา ดังนั้น การเติบโตไม่ได้มาจากการขึ้นราคา แต่มาจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปิดปีซิซซ์เล่อร์จะเติบโตได้ 15-16%

“ทางง่ายคือ ขึ้นราคา เล่นของว้าว และโตที่ NPD แต่เราเราเลือกทางที่ยาก คือ เติบโตด้วยคอร์โปร์ดักส์ ด้วย     แบรนด์ดิ้ง และที่ยากกว่าคือ ทำให้คอร์โปรดักส์เรายังน่าตื่นเต้น” 

ปีหน้าดันสลัดสู้ศึก

สำหรับการแข่งขันในปัจจุบัน อนุริทร์ มองว่า ตลาดเริ่มมี คู่แข่งเพิ่มมากขึ้น โดยมีหลายแบรนด์ที่เริ่มมาเน้นที่สเต๊ก และเริ่มขยายสาขามากขึ้น ดังนั้น ปีหน้าซิซซ์เล่อร์จะดัน สลัดบาร์ ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์ที่ใครก็สู้ไม่ได้ โดยจะเพิ่ม วัตถุดิบใหม่ รับเทรนด์ Future Food

“สลัดบาร์เป็นจุดแข็งของเรา เราก็ต้องสร้างความแตกต่าง และสื่อสารมากขึ้น และนำสิ่งที่เราเรียนรู้จากปีนี้ เพื่อสร้างปีหน้า และทีมงานไวมากขึ้นกับเทรนด์ในตลาด รวมถึงต้องมีความยืดหยุ่นพอตอบสนองความต้องการการตลาด เพราะความท้าทายยังเป็นเรื่องของพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไว และการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น”

ปัจจุบัน ซิซซ์เล่อร์มีทั้งหมด 65 สาขา โดยปีนี้เปิดใหม่ 2 สาขา ได้แก่ สาขา One Bangkok และเซ็นทรัลนครปฐม สำหรับปีหน้าคาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา

]]>
1500569
เจาะแนวคิดเปิด ’Nintendo Store’ ของ ‘ซินเน็ค’ กับการใช้ ‘ประสบการณ์’ เป็นสะพานเชื่อมแบรนด์กับ ‘แฟนกลุ่มใหม่’ https://positioningmag.com/1500458 Sat, 23 Nov 2024 09:24:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500458 หากพูดถึงชื่อของ นินเทนโด (Nintendo) หรือ ปู่นิน ที่เกมเมอร์ชาวไทยมักเรียกติดปาก ก็ถือเป็นค่ายเกมระดับตำนานที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ถ้าเจาะไปถึงตัวเกมและคาแรกเตอร์ใหม่ ๆ จากทางค่าย อาจต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้เท่านั้นที่จะรู้จัก ดังนั้น Nintendo Store จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ Nintendo ทำความรู้จักกับแฟน ๆ หน้าใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

Nintendo store สะพานเชื่อมแฟนคลับ

ย้อนไปช่วงปี 2023 ได้มีข่าวดีสำหรับวงการเกมเมอร์ เมื่อทาง ซินเน็ค (Synnex) บริษัทได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์ นินเทนโด (Nintendo) ผ่านการกระจายสินค้าให้กับร้านค้าปลีกทั่วไทย โดยปีแรกสามารถกวาดยอดขายสูงถึง 1,500 ล้านบาท 

จนมาปลายปี 2024 ซินเน็คได้เปิด Nintendo Authorized Store by SYNNEX ที่เกิดจากการร่วมกับ คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) และ สยามพิวรรธน์ ด้วยงบลงทุนสูงถึง 20 ล้านบาท โดย Nintendo Store ตั้งอยู่บนชั้น 3 สยามพารากอน มีพื้นที่ 336 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นแห่งแรกที่ใช้ชื่อ Nintendo และมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คำถามคือ ทำไมต้องเปิดสโตร์ด้วย เพราะแบรนด์นินเทนโดเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว และช่องทางจำหน่ายในปัจจุบันก็ค่อนข้างครอบคลุม คำตอบง่าย ๆ ก็คือ สร้างแบรนด์ โดยการ ขายประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองเล่น การซื้อสินค้าภายในสโตร์ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเกม, แผ่นเกม, อุปกรณ์เสริม, ฟิกเกอร์, ตุ๊กตา และของใช้ต่าง ๆ รวมกว่า 300 SKU ก็จะยิ่งทำให้แฟน ๆ ได้มีประสบการณ์ร่วมกับสินค้าของทางค่าย รวมถึงได้รู้จักกับเกมหรือคาแรกเตอร์ใหม่ ๆ จากทางค่ายอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางสโตร์จะมีกิจกรรมจัดทุก ๆ สัปดาห์ ดังนั้น ก็จะยิ่งเหมาะกับแฟน ๆ เกมค่ายนินเทนโดที่ส่วนใหญ่จะเป็น กลุ่มครอบครัว ที่จะได้มีเอนเกจเมนต์กับแบรนด์ ดังนั้น นินเทนโดสโตร์จะเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่าง แฟนพันธุ์แท้ และสร้าง แฟนกลุ่มใหม่

สโตร์ยังช่วยดึงลูกค้านักท่องเที่ยว

อีกจุดที่ทำให้ สยามพิวรรธน์ กล้าจะให้พื้นที่ขนาด 336 ตารางเมตร กับนินเทนโดสโตร์ก็คือ การเพิ่มศักยภาพของการเป็น Global Destination ของสยามพารากอน เพราะอย่างที่บอกไปว่า Nintendo Authorized Store by SYNNEX เป็นสาขาแรกในภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และได้ใช้ชื่อ Nintendo อย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการตกแต่งต่าง ๆ ก็ทำให้ ได้ประสบการณ์เหมือนกับไปที่ญี่ปุ่น

ปัจจุบัน สยามพารากอนมีทราฟฟิกในวันธรรมดาเฉลี่ย 1.5-2 แสนคน/วัน และพุ่งถึง 2-2.5 แสนคนในวันหยุด ซึ่งลูกค้า 40% เป็นต่างชาติ โดยหลัก ๆ จะเป็นจีน อินเดีย เกาหลี ไต้หวัน UAE ซึ่งทุกประเทศมีศักยภาพในการซื้อขายสูง เมื่อมีอะไรใหม่ ๆ เขายินดีจะกลับมา และแฟลกชิปสโตร์เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวมองหา ดังนั้น การมาของ  นินเทนโดสโตร์ก็จะเป็นอีกแรงดึงดูดให้มาท่องเที่ยวเมืองไทย และเป็นอีกกำลังซื้อสำคัญของนินเทนโด

อนาคตมีสินค้าเฉพาะสโตร์ไทยแน่นอน

แม้ว่าปัจจุบันนินเทนโดสโตร์ประเทศไทยจะมีสินค้ากว่า 300 SKU แต่ก็ ยังไม่มีสินค้า Exclusive ที่วางขายเฉพาะในไทย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะ มีแน่นอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการพูดคุย 

ในส่วนของยอดขายเฉพาะสโตร์ ทางซินเน็คไม่ได้มีการวางเป้าหมายไว้ แต่ยอดขายทั้งหมดจากสินค้าค่าย Nintendo ในปีหน้า บริษัทวางไว้ที่ 1,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย เพราะต้องรอดูการเปิดตัว Nintendo Switch รุ่นใหม่

]]>
1500458
ระส่ำอีกราย! ‘Ford’ เตรียมลดพนักงาน 4,000 คน หลังตลาดยุโรปแข่งดุ ยอด ‘รถอีวี’ เข็นไม่ไป https://positioningmag.com/1500067 Thu, 21 Nov 2024 03:54:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500067 ไม่ใช่แค่แบรนด์ญี่ปุ่นที่ได้ผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงจากการมาของ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี จากจีน แต่ฝั่ง ตะวันตก เองก็กระทบไม่ว่าจะเป็น Volkswagen จนล่าสุด Ford ที่เตรียมลดพนักงานถึง 4,000 คน

ฟอร์ด (Ford Motor Co) เปิดเผยว่า จะลดจำนวนพนักงานลง 4,000 คน ภายในสิ้นปี 2027 โดยจำนวนพนักงานทั้งหมดที่ถูกปลดจะมาจากฝั่งยุโรปทั้งหมด ได้แก่ เยอรมนี 2,900 ตําแหน่ง, สหราชอาณาจักร 800 ตําแหน่ง และประเทศอื่น ๆ ใน ยุโรป 300 ตําแหน่ง โดยปัจจุบันฟอร์ดมีพนักงานในยุโรป 28,000 คน และ 174,000 คนทั่วโลก

นอกจากนี้ ฟอร์ดยังต้องออกมาตรการเพื่อลดต้นทุนอื่น ๆ ได้แก่ ลดการผลิตรถรุ่นเอ็กซ์พลอเรอร์ (Ford Explorer) และลดกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นคาปริ อีวี (Capri EV) ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มีฐานการผลิตในเยอรมนี ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานั้น ฟอร์ดอ้างว่าเป็นผลจากแรงกดดันจากเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากรถไฟฟ้าจากจีน รวมถึงยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้

“อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกยังคงอยู่ในช่วงของการหยุดชะงักที่สําคัญ เนื่องจากเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปไปสู่ไฟฟ้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในยุโรปนั้นรุนแรงเป็นพิเศษ นอกจากเจอการแข่งขันที่รุนแรง ยังต้องสู้กับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์ 

ทั้งนี้ ยอดขายของฟอร์ดในตลาดยุโรปช่วง 9 เดือนแรกลดลง -15.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่ลดลง -6.1% ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของฟอร์ดลดลงเหลือ 3% จากปีที่ผ่านมามี 3.5% 

เมื่อเจาะลงไปในตลาดรถยนต์เยอรมนีในช่วง 9 เดือนแรกพบว่า ยอดขายรถอีวีลดลงถึง -28.6% ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ มาจากการที่รัฐบาลยกเลิกนโยบายอุดหนุนผู้บริโภค รวมถึงการขยายสถานีชาร์จที่ล่าช้ากว่าที่คาด

Source

]]>
1500067
ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว! ‘รถโดนใจ’ เชื่อปีหน้าตลาด ‘รถมือ 2’ ฟื้นแน่ พร้อมปักเป้ายอดขาย 5 หมื่นคัน https://positioningmag.com/1499150 Fri, 15 Nov 2024 04:05:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499150 ครบปีเป็นที่เรียบร้อยสำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายรถมือสองรถโดนใจ (Roddonjai) จาก ทีทีบีไดรฟ์ โดย ทีเอ็มบีธนชาติ หรือ ทีทีบี (ttb) ที่แม้ว่าตลาดใจะอยู่ในช่วง ท้าทาย แต่แพลตฟอร์มก็สามารถทำยอดขายได้เกินเป้า และมองว่าปีหน้า ตลาดรถมือสอง จะฟื้นตัวกลับมาจากจุดต่ำสุด

มั่นใจปีหน้าฟื้น หลังตลาดผ่านจุดต่ำสุด

อย่างที่รู้กันว่าช่วงปี 2566-2567 พิษเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์มือสองของไทยอย่างมาก โดยในปี 2566 จำนวนรถยนต์ที่ถูกยึดมีประมาณ 250,000-300,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้รถมือสอง ล้นตลาด ขณะเดียวกัน ผู้ซื้อก็ ซื้อยาก เพราะวถาบันการเงิน ปล่อยกู้ยากขึ้น ดังนั้น แม้ราคารถมือสองจะถูกผู้ประกอบการกดราคาขายให้ต่ำ หรือแม้แต่บางรายต้องยอมขาดทุน ก็ยังเอาไม่อยู่ ดังนั้น จะเห็นว่ามีผู้เล่นหลายรายที่ต้องพับกิจการไป

แน่นอนว่า ทีทีบีก็ได้ผลกระทบ โดยยอดสินเชื่อคงค้างสินเชื่อรถยนต์ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะ ลดลง 10% คิดเป็นมูลค่า 3.8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ถือว่าหดตัวน้อยกว่าตลาดที่ลดลงราว 20-30% โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พอร์ตสินเชื่อรถยนต์ตกน้อยกว่าตลาด คือ สินเชื่อรถแลกเงิน ที่ยังเติบโตได้ รวมถึงการ ปล่อยสินเชื่อรถมือสอง

ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม รถโดนใจ (Roddonjai) โดย TTB มีเต็นท์รถกว่า 1,600 ราย รวมแล้วมีรถในระบบกว่า 65,000 คัน มีผู้เข้าชม 23 ล้านราย และแพลตฟอร์มสามารถขายได้ 38,000 คัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าเป้าที่วางไว้ 30,000 คัน และมีรถที่ขอสินเชื่อกับ TTB ประมาณ 20,000 คัน หรือคิดเป็น 70%

แม้ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายของตลาด และถือเป็น จุดต่ำสุด ดังนั้น ในปีหน้ามั่นใจว่าตลาดรถยนต์มือ 2 จะดีขึ้น ทั้งจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะทำให้การเข้าถึงสินเชื่อมีทิศทางที่ดีขึ้น และที่สำคัญ คือ การมาของมาตรการ ผ่อนเงินต้น พักดอก ของรัฐบาล ซึ่งมองว่าจะช่วยลดปริมาณการยึดลดลง และช่วยพยุงราคาตลาดรถยนต์มือ 2 ไว้ได้

“ปีนี้เป็นปีที่ยาก เพราะบ้านและรถได้รับผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจ แต่จากข้อมูลหลังบ้านยังมีความต้องการอยู่ มีทั้งกลุ่มเต็นท์รถ และรถบ้าน” ชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์และทรานส์ฟอร์เมชัน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าว

ชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์และทรานส์ฟอร์เมชัน ทีเอ็มบีธนชาต

ปีที่ 2 รุกรถบ้าน

ในช่วงแรก แพลตฟอร์มรถโดนใจจะเป็นรถจากเต็นท์รถ แต่ปีหน้าแพลตฟอร์มจะเริ่มรุก รถบ้าน ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสใหญ่ เพราะประเทศไทยมีรถที่จดทะเบียนถูกต้อง 18-19 ล้านคัน โดยรถพร้อมเปลี่ยนอายุ 4-7 ปี มีประมาณ 11 ล้านคัน แต่ตลาดรถมือสองมีการซื้อขายเพียง 5-7 แสนคัน/ปี เท่านั้น ทำให้แพลตฟอร์มได้เพิ่มฟีเจอร์เพื่อให้สะดวกกับผู้ขายมากขึ้น และครบวงจร รับกับพฤติกรรมผู้ขายที่ปัจจุบันเน้นขายออนไลน์มากขึ้น ได้แก่

  • บริการ Quick Selling Service มีผู้ช่วยลงขาย ถ่ายภาพ นัดหมายตรวจสภาพ และให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน
  • บริการตรวจคุณภาพ รถทุกคันผ่านการตรวจคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญมาตรฐานสากลสูงสุด 274 จุด พร้อมรับรายงานการประเมินคุณภาพ การันตีคุณภาพรถให้
  • โปรโมตฟรี ทุกคัน รถทุกคันที่ประกาศขายผ่านรถโดนใจ จะได้แพ็กเกจโฆษณาออนไลน์ ช่วยปิดการขายได้ไวขึ้น
  • ขายได้ราคา ผู้ขายสามารถตั้งราคาขายได้ด้วยตนเอง โดยมีตัวช่วยในการตั้งราคาด้วย ttb bluebook ที่ได้รับมาตรฐานสากล ช่วยให้การตั้งราคาได้ง่ายขึ้น ตามราคาตลาด
  • บริการสินเชื่อถึงที่ บริการจัดสินเชื่อให้ถึงที่ทั่วไทย ด้วยดีลดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติไว และโปรโมชันพิเศษจากทีทีบีไดรฟ์ อำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ

“จุดแข็งของเราคือ สะดวก เพราะเพนพอยต์ของคนขายรถบ้านคือ ไม่รู้วิธีขาย ถ่ายรูปไม่เป็น ไม่มีความน่าเชื่อถือ และกลัวจะโดนตีราคาผิด ๆ ส่วนผู้ซื้อก็ต้องการความมั่นใจทั้งสภาพรถและเจ้าของรถ และไม่รู้วิธีขอสินเชื่อ ซึ่งเราทำให้มันง่ายขึ้นทั้งคนซื้อและคนขาย”

ตั้งเป้าปีหน้า 5 หมื่น ยอดสินเชื่อ 70%

ในสิ้นปีนี้คาดว่าแพลตฟอร์มรถโดนใจจะมียอดขายประมาณ 40,000 คัน และปีหน้าคาดว่าจะเติบโตเป็น 50,000 คัน ส่วนยอดสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วน 70% หรือประมาณ 30,000 คัน

“ปีนี้มูลค่ารถมือ 2 ลดลงประมาณ 10% แต่ปีหน้ามั่นใจว่าราคาตลาดจะสมเหตุสมผลมากขึ้น ทำให้ยอดขายดีขึ้น และมียอดสินเชื่อตามเป้าที่วางไว้”

]]>
1499150
เป็นไปตามคาด! ตลาด ‘แบรนด์เนม’ ลดลง 2% ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 https://positioningmag.com/1499153 Thu, 14 Nov 2024 14:59:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499153 ดูเหมือนว่าการที่ วัยรุ่นและชนชั้นกลางของจีน เปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ ติดแกรม อีกต่อไป แต่เน้นใช้เงินกับการซื้อประสบการณ์ และแน่นอนว่าเมื่อจีนที่เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ สินค้าลักชูรี่ ทำให้ภาพรวมทั่วโลกหดตัวลง และทำให้กลายเป็นหนึ่งในปีที่อ่อนแอสุดในประวัติศาสตร์

ตามรายงานของบริษัท Bain & Company คาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้าแบรนด์เนม หรือสินค้าลักชูรี่ปีนี้อาจ หดตัว 2% คิดเป็นมูลค่า 386,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นยอดขายที่อ่อนแอสุดเป็นประวัติการณ์ 

“หากไม่นับช่วงการระบาดของ COVID-19 นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อุตสาหกรรมสินค้าลักชูรี่หดตัวนับตั้งแต่วิกฤตปี 2008-2009” Federica Levato หุ้นส่วนของ Bain กล่าว

หนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจากการหดตัวของ ตลาดจีน ที่ประเมินว่ายอดขายลดฮวบถึง 20-22% เนื่องจากผู้บริโภคของจีนทั้งกลุ่มวัยรุ่นและชนชั้นกลางเลือกที่จะใช้เงินกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งจีนถือเป็นตลาดสำคัญที่ดันให้ภาพรวมตลาดลักชูรี่ทั่วโลกเติบโต 

ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าฐานผู้บริโภคสินค้าแบรนด์เนม ลดลง 50 ล้านคน จากผู้บริโภคทั้งหมดประมาณ 400 ล้านคน ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของตลาดส่วนหนึ่งอาจขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่แต่แบรนด์เลือกใช้ รวมไปถึงการ ตั้งราคา เพราะมีสัญญาณให้เห็นว่าราคาสินค้าที่สูงขึ้นกําลังทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย

อย่างไรก็ตาม มาตรการการลดอัตราดอกเบี้ยและการลดภาษีของสหรัฐฯ อาจกระตุ้นให้ชาวอเมริกันใช้จ่ายมากขึ้น แต่อาจไม่ได้ซื้อสินค้าแบรนด์เนม แต่เป็นการใช้จ่ายกับการซื้อประสบการณ์ เช่น การทานอาหาร ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นเพิ่มขึ้นในปีนี้

Source

]]>
1499153
ขอกลับมาผงาด! ‘ญี่ปุ่น’ เตรียมทุ่ม 10 ล้านล้านเยน ฟื้นอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ https://positioningmag.com/1498850 Wed, 13 Nov 2024 12:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498850 ในยุค AI แบบนี้ อุตสาหกรรมที่คึกคักเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น เซมิคอนดักเตอร์ หรือ ชิป ซึ่งปัจจุบัน ไต้หวัน กลายเป็นประเทศเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า ในอดีต ญี่ปุ่น ถือเป็นผู้เล่นเบอร์ต้น ๆ และรัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องการพาประเทศกลับมาผงาดในอุตสาหกรรมอีกครั้ง

รัฐบาลญี่ปุ่น ได้ประกาศแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ของประเทศ โดยเตรียมทุ่มงบสนับสนุนมูลค่า 10 ล้านล้านเยน (ราว 2.25 ล้านล้านบาท) หรือมากกว่า ภายในปีงบประมาณ 2030 เพื่อใช้เป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 50 ล้านล้านเยน (ราว 11.27 ล้านล้านบาท) ตลอด 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมาตรการทั้งหมดคาดว่า จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวม 160 ล้านล้านเยน (ราว 36.12 ล้านล้านบาท) 

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับพันธมิตร เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ไต้หวัน และหลายประเทศในสหภาพยุโรป โดยเน้นที่การวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์รุ่นต่อไป

“เราจะกําหนดกรอบความช่วยเหลือใหม่เพื่อดึงดูดการลงทุนภาครัฐและเอกชนมากกว่า 50 ล้านล้านเยนในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์” Shigeru Ishiba นายกรัฐมนตรี กล่าว 

หนึ่งในบริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์จากเงินทุนนี้ ก็คือ Rapidus ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยรัฐบาลญี่ปุ่น ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทชิป 8 บริษัท และบริษัทชิปเจ้าอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Toyota Motor และ Sony Group และกําลังร่วมมือกับ IBM ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมา Rapidus บริษัทได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ แล้ว เนื่องจากตั้งเป้าที่จะผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร ภายในปี 2027 ซึ่งชิปดังกล่าวจะนำไปใช้ในการพัฒนา AI

ทั้งนี้ ในปี 1988 ญี่ปุ่นเคยเป็นเป็นประเทศที่ครองส่วนแบ่งในตลาดชิปถึง 50% แต่หลังจากปี 1990 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นต้องประสบกับปัญหาจากนโยบาย ข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างญี่ปุ่น-อเมริกา ส่งผลให้ต้องปรับราคาสินค้าและต้องเปิดตลาดให้บริษัทจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน จนในปี 2017 สัดส่วนของญี่ปุ่นในตลาดชิปลดเหลือไม่ถึง 10%

ขณะเดียวกัน ประเทศอย่าง ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ ก็หันมาลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ผลักดัน จนปัจจุบัน บริษัท TSMC ของไต้หวันกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของโลก ส่วนฝั่งเกาหลีใต้ก็มี ซัมซุง (Samsung) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทวางแผนที่จะเริ่มผลิตชิป 2 นาโนเมตรในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2025

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า เงินอุดหนุนเป็นสิ่งจําเป็น แต่ไม่สามารถรับประกันความสําเร็จได้ เพราะสถาปัตยกรรมของชิป 2 นาโนเมตรแตกต่างจากชิป 3 นาโนเมตร โดยเฉพาะการผลิตจํานวนมาก ถือเป็นความท้าทายสําหรับผู้เล่นทุกคน

Source

]]>
1498850
รู้จัก ‘คลาวด์เนิร์ส’ สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาแพลตฟอร์มหลังบ้าน ‘บ้านพักคนชรา’ ในวันที่ผู้ให้บริการทุกรายยัง ‘จดมือ’ https://positioningmag.com/1498776 Wed, 13 Nov 2024 09:58:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498776 อย่างที่หลายคนรู้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญ สังคมผู้สูงอายุ อย่างเต็มรูปแบบ โดยจากจำนวนประชากร 66 ล้านคน กว่า 20% ของประชากรไทยมีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป หรือกว่า 13.2 ล้านคน และสิ่งที่เติบโตล้อกันไปคือ ความต้องการเข้าใช้บริการสถานดูแลผู้สูงอายุ แต่ที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ การบริหารจัดการของบ้านพักคนชราทั้งหมดยังใช้การ จดด้วยมือ อยู่เลย

บ้านพักคนชราทั้งหมดยังเป็นแมนนวล

ธนศักดิ์ ฮุ่นตระกูล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอช เฮลท์เทค จํากัด สตาร์ทอัพผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสถานประกอบการ บริการสถานดูแลผู้สูงอายุ ประมาณ 3,000 แห่ง ทั่วประเทศ และมีความต้องการเติบโตเฉลี่ย 7.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่า สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่นอยู่ที่ 6.8% และ 6.4% ตามลำดับ (อ้างอิงจาก Mcknight Senior Living, 2023)

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของระบบหลังบ้านของบริการสถานดูแลผู้สูงอายุทุกที่ยังเป็น ระบบแมนนวล โดยยังใช้การจดด้วยมือ ส่งผลให้ในแต่ละวัน เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง ในการเก็บข้อมูลเพื่ออัพเดทให้แพทย์และญาติ ทำให้ ธนศักดิ์ เห็นโอกาสในการทำ คลาวด์เนิร์ส (CloudNurse) แพลตฟอร์มสำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุ จึงได้เริ่มก่อตั้งบริษัทด้วยเงินลงทุน 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ

ธนศักดิ์ ฮุ่นตระกูล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอช เฮลท์เทค จํากัด

โดยแพลตฟอร์ม CloudNurse จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลได้สะดวกขึ้น เร็วขึ้น และลดข้อผิดพลาด โดยลดเวลาทำงานเหลือ 15 นาที ซึ่งมีฟีเจอร์หลัก ๆ ได้แก่

  • ระบบบันทึกข้อมูลผู้สูงอายุ (E-Charting) ช่วยลดเวลาการบันทึกข้อมูลที่ยุ่งยากใช้เวลานาน พร้อมกับ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย รวดเร็ว และแม่นยำ
  • ระบบจัดการยาอิเลกทรอนิกส์ (eMAR) ช่วยติดตามการจ่ายยา ลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาดจากการให้ยา
  • ระบบรายงานเหตุ (Incident Reporting) ช่วยวิเคราะห์แก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงาน เพิ่มคุณภาพการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างต่อเนื่อง
  • รายงานผลประกอบการ (Dashboard) นำเสนอข้อมูลเชิงลึกบ่งชี้ประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยนำเสนอต่อการรองรับการเติบโตของธุรกิจ
  • รายงานข้อมูลให้แก่ญาติผู้สูงอายุ (AI-Generated Family Report) ช่วยสรุปรายงานการดูแลและข้อมูลผู้สูงอายุโดยอัตโนมัติ จะช่วยให้การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ดูแลและครอบครัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น

มั่นใจเป็นเจ้าแรก ไร้คู่แข่ง

ธนศักดิ์ มองว่า สำหรับมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์สำหรับบริการหลังบ้านสถานดูแลบ้านพักคนชราอยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยัง ไร้คู่แข่ง เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่ โรงพยาบาล ซึ่งระบบหลังบ้านของโรงพยาบาลยังนำมาปรับใช้กับสถานดูแลบ้านพักคนชราไม่ได้ เนื่องจากเป็นการดูแลระยะยาว และมีรายระเอียดปลีกย่อยมากกว่า

สำหรับโมเดลรายได้ของ CloudNurse จะเป็นรูปแบบ ซับสคริปชั่น โดยจะคิดค่าบริการที่ 350 บาท/คน/เดือน ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าสถานดูแลผู้สูงอายุ 3 ราย รวม 100 เตียง และอยู่ระหว่างการเจราให้บริการสถานดูแลผู้สูงอายุ 20 แห่ง โดยบริษัทตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 100 แห่ง ภายในปี 2568 และจะขยายไปสู่ ผู้ใช้ทั่วไป ภายใน 3-4 ปี จากนี้ เพราะนอกจากตลาดสถานดูแลผู้สูงอายุ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ดูแลกันเองที่บ้าน

“การทำตลาดค่อนข้างง่าย เพราะสถานดูแลผู้สูงอายุจะมีสมาคม ซึ่งเราเข้าที่สมาคมที่เดียวจบเลย แต่โอกาสใหญ่ที่เรามองในอนาคตคือผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งเราจะเริ่มทำตลาดในอีก 3-4 ปีจากนี้” 

ปัญหาตลาดไทย คือ ดีมานด์มากกว่าซับพลาย

แม้ว่าความต้องการใช้บริการบ้านพักคนชราของไทยจะเติบโต แต่ก็สวนทางกับปริมาณบ้านพักคนชราในไทยที่น่าจะไม่เพียงพอ โดยจากจำนวน 3,000 แห่ง คิดเป็นจำนวน 60,000 เตียง เท่านั้น ในขณะที่ปริมาณความต้องการคาดว่าจะอยู่ที่ 750,000 เตียง โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยที่ความต้องการส่วนใหญ่จะมาจากผู้สูงวัยที่มีอายุเฉลี่ย 75 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ธนศักดิ์ มองว่า จากความต้องการมหาศาลนี้ แต่อาจมีผู้ใช้เพียง 100,000 คน ที่ มีกำลังพอ จะใช้บริการบ้านพักคนชรา เพราะปัจจุบัน ราคาค่าบริการอยู่ที่ 15,000-55,000 บาท/คน/เดือน ในขณะที่การจ้างผู้ดูแลส่วนตัวมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 2,500 บาท/วัน

]]>
1498776
สหรัฐฯ สั่ง ‘TSMC’ ห้ามส่งชิปขั้นสูงให้ ‘จีน’ หวังสกัดการพัฒนา AI https://positioningmag.com/1498278 Mon, 11 Nov 2024 04:25:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498278 สหรัฐอเมริกา ยังคงเดินหน้าแบนหัวเว่ย โดยไม่ใช่แค่คุมเข้มการส่งออก ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เพราะหลังจากที่มีการพบว่า หัวเว่ย ได้ใช้ชิปจาก TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวัน ทำให้สหรัฐฯ ได้ขอให้เลิกจัดส่งชิปขั้นสูงไปยังจีน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลก หยุดส่งชิปขนาด 7 นาโนเมตร หรือมากกว่า ซึ่งเป็นชิปขั้นสูงที่มีไว้สําหรับขับเคลื่อน AI และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ไปยังประเทศจีน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. นี้

โดยก่อนหน้านี้ ทาง Tech Insights บริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยีได้แยกชิ้นส่วนสินค้าของ หัวเว่ย (Huawei) ที่เผยให้เห็นชิปของ TSMC อยู่ภายใน ซึ่งถือเป็นการ ละเมิดการควบคุมการส่งออก เพราะหัวเว่ยถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ ส่งผลให้ทาง TSMC ต้องหยุดจัดส่งชิปให้กับบริษัท Sophgo เนื่องจากคาดว่าเป็นบริษัทที่ส่งต่อชิปให้ทางหัวเว่ย

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่การปราบปรามครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายในจีน และจะช่วยให้สหรัฐฯ ประเมินว่าบริษัทอื่น ๆ กําลังเปลี่ยนเส้นทางชิปสําหรับ AI ไปยังหัวเว่ยหรือไม่ 

ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ร่างกฎใหม่เกี่ยวกับการส่งออกอุปกรณ์ทําชิปจากต่างประเทศ และวางแผนที่จะเพิ่มบริษัทจีนประมาณ 120 แห่ง ในรายชื่อนิติบุคคลที่จํากัดของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงโรงงานผลิตชิป ผู้ผลิตเครื่องมือ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกบังคับใช้

ทั้งนี้ จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาของ TSMC แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีรายได้จากชิปขนาด 7 นาโนเมตรหรือชิปขั้นสูงถึง 69% จากรายได้ทั้งหมด 

Source

]]>
1498278