ไม่มีหมวดหมู่ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 24 Jan 2025 21:52:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ฉลอง 25 ปี โครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” แบรนด์ซุปไก่สกัด ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ชวนคนรุ่นใหม่ โชว์พลังแห่งการให้ ผ่านการบริจาคเลือด https://positioningmag.com/1508043 Fri, 24 Jan 2025 08:18:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508043 เข้าสู่ปีที่ 25 ที่บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพ ภายใต้ตราผลิตภัณฑ์แบรนด์ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย เดินหน้ารณรงค์ปลูกจิตสำนึกและสร้างกระแสนิยมให้เยาวชนไทยและคนรุ่นใหม่ รู้จักแบ่งปันต่อสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน ผ่านการบริจาคโลหิต ภายใต้โครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” (BRAND’S Young Blood) รวมถึงเปิดเวทีให้เยาวชนไทยได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมประกวดต่าง ๆ

บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2568” เพื่อประชาสัมพันธ์การครบรอบ 25 ปีของโครงการฯ ตลอดจนเชิญชวนคนรุ่นใหม่แสดงพลังแห่งการให้ ผ่านการบริจาคโลหิต โดยมุ่งส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษา ร่วมบริจาคโลหิต และบริจาคเป็นประจำสม่ำเสมอทุก ๆ 3 เดือน เพื่อสำรองโลหิตคงคลังไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าจัดหาโลหิต จำนวน 125,000 ยูนิตภายในปี 2568 โดยภายในงานแถลงข่าวมี ปอร์เช่ – ศิวกร อดุลสุทธิกุล ศิลปิน นักแสดง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ร่วมแสดงพลังเลือดใหม่ผ่านการบริจาคโลหิตในครั้งนี้ด้วย

นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากค่านิยมของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับ “การตอบแทนกลับคืนสู่สังคม” (Giving Back to Society) จึงนำไปสู่การริเริ่มโครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” ซึ่งดำเนินการจนก้าวสู่ปีที่ 25 นับเป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนสังคม “แห่งการให้” โดยร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปลูกฝังหัวใจแห่งการเป็นผู้ให้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ รณรงค์ให้ร่วมบริจาคโลหิตครั้งแรก และบริจาคโลหิตต่อเนื่องเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยความสมัครใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเพื่อเพิ่มจำนวนโลหิตสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งในทุก ๆ ปี ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี มีคนรุ่นใหม่เข้าร่วมบริจาคโลหิตผ่านโครงการฯ เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมการประกวด ที่ให้น้อง ๆ นิสิต นักศึกษา ได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบผลงานเพื่อสร้างจิตสำนึกและให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อบริจาคโลหิตในวงกว้าง อาทิ การประกวดสื่อภาพนิ่ง (Infographic), การประกวดแต่งเพลงสั้น การประกวดเต้น และ การประกวดออกแบบลายเสื้อยืด เป็นต้น

BRAND’S Young Blood เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ตอกย้ำถึงค่านิยมขององค์กรด้านการตอบแทนสังคม สำหรับโครงการ BRAND’S Young Blood 2024 มีผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้น 122,792 ยูนิต จากเป้าที่ตั้งไว้ 100,000 ยูนิต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการรณรงค์หัวใจแห่งการเป็นผู้ให้แก่น้อง ๆ นักศึกษา ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต เพราะเราเชื่อว่า จิตสำนึกของการเป็นผู้ให้ เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอย่างยั่งยืน สำหรับ โครงการ BRAND’S Young Blood 2025 เราตั้งเป้ายอดบริจาคโลหิต จำนวน 125,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 25,000 ยูนิตจากเป้าหมาย 100,000 ยูนิตของปีที่แล้ว เพื่อฉลองการครบรอบ 25 ปีของโครงการฯ โดยมีการจัดกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมเพื่อสนับสนุนการบริจาคโลหิตของหน่วยรับเคลื่อนที่ ผ่านโรดโชว์รณรงค์บริจาคโลหิตในสถาบันการศึกษา และการออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคต่างๆ และ 2) กิจกรรมการแข่งขันเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ และนำเสนอไอเดียสร้างสรรค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการบริจาคโลหิตในหมู่เยาวชนในวงกว้าง โดยทั้งสองกิจกรรมจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการสร้างจิตสำนึกของผู้ให้ ที่นำไปสู่การบริจาคโลหิตอย่างยั่งยืนในหมู่เยาวชนได้อย่างแท้จริงทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติตตามรายละเอียดได้ที่ https://thaibloodcentre.redcross.or.th/ , www.suntorybeverageandfood.co.th และ เฟซบุ๊ก : BRAND’S World Thailand”

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า  ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการจัดหาโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ มีคุณภาพสูงสุดตามมาตรฐานสากล ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ และเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาคเอกชน อย่างบริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ซุปไก่สกัด เล็งเห็นความสำคัญของการรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่หันมาบริจาคโลหิตกับสภากาชาดไทย เนื่องจากการบริจาคโลหิตเป็นเรื่องจำเป็น และยังไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ขณะที่ความต้องการใช้โลหิตของโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ มีการเบิกใช้โลหิตเฉลี่ยวันละ 7,500 – 8,500 ยูนิต แต่สามารถจ่ายโลหิตได้เฉลี่ยวันละ 3,200 – 3,800 ยูนิต หรือ 42.67 – 44.71 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ส่วนการบริจาคโลหิตของกลุ่มเยาวชนในปัจจุบันมีการบริจาคเพียง 11 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้บริจาคโลหิตทั้งหมด ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีจำนวนเยาวชนบริจาคโลหิตมากถึง 24 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนนั้นเป็นพลังสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เยาวชนเห็นความสำคัญในการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการเลือด เพื่อรักษา เพราะผู้ป่วยต้องการโลหิตทุกวินาที

ยิ่งไปกว่านั้น การบริจาคโลหิตไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค โดยการบริจาคโลหิตครั้งละ 350 – 450 ซีซี คิดเป็น 10 – 12% ของปริมาณโลหิตทั้งหมดในร่างกาย โดยหลังบริจาคโลหิต ไขกระดูกในร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บริจาคควรรับประทานยาเสริมธาตุเหล็ก วันละ 1 เม็ดหลังอาหาร จนหมดตามจำนวนที่ทางสภากาชาดมอบให้ เป็นการชดเชยธาตุเหล็กที่สูญเสียไปจากการบริจาคโลหิต เพื่อให้สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สำหรับการประกวดสื่อภาพนิ่ง Infographic และออกแบบลายเสื้อยืด หัวข้อ “Give Blood Give Lives…พลังเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่” ภายใต้โครงการ BRAND’S Young Blood 2024 ได้ประกาศผู้ชนะเลิศประกวดสื่อภาพนิ่ง Infographic ได้แก่ ทีม L&J น.ส. พิชญ์สินี แป้นสุวรรณ, น.ส. วิภวานี ชวนานนท์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รับทุนการศึกษา 20,000 บาท, ผู้ชนะรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ น.ส. พีรดา ฉัตรแก้วมณี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รับทุนการศึกษา 10,000 บาท, ผู้ชนะรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ น.ส. ปพิชญา แสงนาค สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รับทุนการศึกษา 5,000 บาท และรางวัลชมเชย มี 5 รางวัล ได้แก่ น.ส. ณจันทร์ ม่วงอ่ำ – น.ส. สุภัฏฐา วรวงค์ – น.ส. ศศิณา มาทองแดง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, น.ส. วิภาดา สุรวัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, นาย ธีรภัทร สินดี – น.ส. ชนิกา อารีสนั่น มหาวิทยาลัยรังสิต, น.ส. พัณณิตา เพ็ชรเอี่ยม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รับทุนการศึกษา 2,000 บาท

ส่วนรางวัลการประกวดออกแบบลายเสื้อยืด ผู้ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ น.ส. กัญญกร โรจนกฤตยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับทุนการศึกษา 3,000 บาท และผู้ที่ได้รับรางวัลชมเชย มี 2 รางวัล ได้แก่ นายธีรภัทร ประวัดศรี และ น.ส. จิฏญา บัวหมื่นไวย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับทุนการศึกษา 2,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ชนะรางวัลในทุกระดับจะได้รับผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดดื่มฟรีตลอดปี

เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่สนใจร่วมโครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2568” (BRAND’S Young Blood 2025) สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก : BRAND’S World Thailand หรือเว็บไซต์ https://thaibloodcentre.redcross.or.th/ และ www.suntorybeverageandfood.co.th

 

]]>
1508043
ส่องสวัสดิการ “โตโยต้า” ยักษ์ใหญ่แห่งยานยนต์ ดูแลพนักงานอย่างไรให้รองรับกับความหลากหลาย https://positioningmag.com/1507717 Thu, 23 Jan 2025 12:46:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507717

การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน เนื่องจากมีการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในเรื่องวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม เราจึงได้เห็นนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน ไปจนถึงเรื่องความเท่าเทียม เพื่อรองรับสังคมที่มีความหลากหลายมากขึ้น


นโยบาย DE&I สร้างโอกาสแห่งความเท่าเทียม 

DE&I เป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่หลายๆ องค์กรเริ่มพูดถึง เป็นกระแสหลักที่ต้องจับตามองในปัจจุบัน โดยนโยบายดังกล่าวนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งในหัวใจสำคัญในการบริหารบุคคลขององค์กรทั่วโลก และแน่นอนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง
“โตโยต้า” หรือ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ก็ไม่ยอมตกขบวนนี้อย่างแน่นอน ทั้งในส่วนของบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคเอเชีย และประเทศไทย ได้ดำเนินนโยบาย DE&I เพื่อสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาติ และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ “Creating Mobility For All” ที่กล่าวว่าเราจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และมอบทางเลือก “การขับเคลื่อนสำหรับทุกคน” ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า อีกทั้งยังมีพันธกิจ “Producing Happiness for All” ที่ต้องการจะเป็นผู้สร้างความสุขให้กับทุกคน

แสดงให้เห็นว่าโตโยต้าเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความหลากหลาย และการให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงต่อต้านการคุกคามต่อกันไม่ว่าจะเป็นในระดับสังคมองค์กร พนักงานหรือคู่ค้าทางธุรกิจ


ยอมรับความหลากหลาย และไม่เลือกปฏิบัติ

โตโยต้าได้ประกาศใช้นโยบาย DE&I เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 หลักๆ จะเป็นการเริ่มจากภายในองค์กร ก่อนที่เป้าหมายในระยะยาวจะขยายผลไปสู่คู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท แนวคิดของนโยบายนี้ต้องการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ครอบคลุม และเปิดกว้าง สนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่างในทุกระดับขององค์กร ซึ่งจะสะท้อนถึงคุณค่าและปรัชญาของ Toyota Way ที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรและพนักงานให้เติบโตไปพร้อมกันนั่นเอง

นโยบาย DE&I ของโตโยต้า ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

1.Diversity (ความหลากหลาย) : นโยบายนี้เน้นในเรื่องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เคารพ และยอมรับความแตกต่างของคน ซึ่งในความแตกต่างนี้มีทั้งที่สามารถมองเห็นได้ เช่น เพศ อายุ หรือรูปลักษณ์ภายนอก เป็นต้น และยังรวมไปถึงสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น ความคิด ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม และความสามารถต่างๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขยังรวมไปถึงการยอมรับ และสนับสนุนในความแตกต่างของแต่ละคนโดยไม่มีอคติ ยกตัวอย่างเช่น การสนับสนุนผู้หญิงในบทบาทผู้นำ

2.Equity (ความเท่าเทียม) : มีการออกแบบนโยบายและกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรมแก่พนักงานทุกคน เช่น การประเมินผลงาน การจ่ายค่าตอบแทน และการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เลือกปฏิบัติ (Non-Discrimination) และมอบโอกาสที่เท่าเทียมในการพัฒนาทักษะ และความก้าวหน้าในอาชีพของแต่ละคน

3.Inclusion (การยอมรับความแตกต่าง) : เป็นการให้คุณค่ากับความแตกต่างของคน สร้างพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม และได้รับการยอมรับ รวมไปถึงป้องกันการล่วงละเมิด (Anti-Harassment) ผ่านการส่งเสริมให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรม และการกระทำใดๆ ที่ทำให้รู้สึกถึงการคุกคาม การล่วงละเมิด หรือการดูถูกเหยียดหยาม (Social Bullying) และยังสนับสนุนกิจกรรมหรือโปรแกรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและเคารพต่อความแตกต่าง

โดยที่นโยบาย DE&I ของโตโยต้ามีการปรับใช้ในส่วนของการบริหารบุคคลอย่างจริงจัง โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหา คัดเลือกพนักงานโดยปราศจากอคติรวมถึงการดูแลและพัฒนาพนักงาน ตลอดจนการประเมิณผลการปฎิบัติงานไปจนถึงเกษียณอายุอีกด้วย

คุณสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

“ปัจจุบัน สังคมไทยเปิดกว้างในประเด็นเรื่อง DE&I เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง การยอมรับในเพศทางเลือก และการส่งเสริมไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ รณรงค์ต่อต้านการ Bullying ในทุกรูปแบบ

ทั้งนี้ ความเท่าเทียมในสังคมไทยที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องการผ่านร่าง พรบ. สมรสเท่าเทียม ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 23 มกราคม 2568 นี้ ซึ่งไทยถือประเทศแรกในอาเซียน และนับเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียที่มีการผ่านร่างกฎหมายนี้ จึงมองว่า พรบ. สมรสเท่าเทียม เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะยกระดับความเท่าเทียมในสังคมไทยให้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง โตโยต้าเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของความเท่าเทียม ผ่านนโยบาย DE&I และได้ปรับสวัสดิการและกฎระเบียบต่างๆให้สอดรับกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม และยังทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม”


ปรับสวัสดิการรองรับสมรสเท่าเทียม

ในส่วนของสวัสดิการที่เรียกว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการดึงดูดพนักงานใหม่ และรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทฯ ไปนานๆ  โตโยต้าซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์ระดับโลกได้มีการปรับตัว ปรับสวัสดิการเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง

และในโอกาสที่กฏหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ โตโยต้าก็ได้ร่วมเฉลิมฉลองกับก้าวสำคัญนี้ผ่านการปรับสวัสดิการให้สอดคล้องกับ “กฏหมายสมรสเท่าเทียม” โดยให้สิทธิการลา สิทธิการรักษาพยาบาล และเงินช่วยเหลือในโอกาสต่างๆ ครอบคลุมคู่สมรสพนักงานที่เป็นเพศเดียวกัน  รวมถึงยังให้สิทธิการลาประเภทพิเศษที่นอกเหนือจากกฏหมายกำหนด อาทิ สิทธิการลาผ่าตัดแปลงเพศโดยได้รับค่าจ้าง รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการแต่งกาย พนักงานสามารถแต่งกายตามเพศวิถี หรืออัตลักษณ์ทางเพศของตนได้ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ด้วยการสร้างบรรยากาศสถานที่ทำงานให้เป็นพื้นที่ “ปลอดภัยและสบายใจ”

นอกจากสวัสดิการที่รองรับสมรสเท่าเทียมแล้ว ยังมีการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับความหลากหลาย อาทิ ห้องน้ำสำหรับผู้ใช้รถเข็น ห้องน้ำที่ไม่แบ่งแยกเพศ ทางลาดและแผงควบคุมลิฟท์รองรับผู้ใช้เก้าอี้รถเข็น ห้องละหมาด ห้องให้นมบุตร ที่จอดรถและเก้าอี้คนท้อง รวมถึง Co-Working Space ที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การทำงาน

ส่วนสวัสดิการที่โดดเด่นที่สุดของโตโยต้า คือการมี Selective Welfare ที่พนักงานสามารถออกแบบสวัสดิการของตัวเองได้ตามรายการที่บริษัทกำหนด ช่วยตอบโจทย์และรองรับความต้องการที่หลากหลาย เช่น การเลือกไม่รับสวัสดิการบางรายการ เพื่อเปลี่ยนเป็นประกันสำหรับครอบครัว หรือบัตรกำนัลต่างๆ สำหรับเติมน้ำมัน เดินทางท่องเที่ยว ทานอาหาร บริการสปา หรือกระทั่งอุปกรณ์แกดเจ็ต สินค้าไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เป็นต้น

ทั้งนี้นโยบาย DE&I ของโตโยต้า ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปรับใช้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ความรู้ สร้างการรับรู้ และสร้างจิตสำนึกอีกด้วย ที่ผ่านมาโตโยต้าได้จัดอบรม E-learning “เรื่องนโยบายความหลากหลาย และการยอมรับความแตกต่าง” และอบรมเรื่อง Unconscious Bias เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอคติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวอันเป็นหัวข้อสำคัญของการส่งเสริม DE&I ในองค์กร เพื่อสร้างค่านิยมอันดีงามในสังคม

โดยเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมนโยบาย DE&I ก็คือ การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ทำให้องค์กรได้ส่งเสริมคนเก่ง และยังเป็นการรักษาคนให้อยู่กับองค์กรระยะยาวอีกด้วย

แรกเริ่มนโยบาย DE&I มีการใช้ในองค์กรเท่านั้น แต่ยังมีแผนระยะกลาง-ยาวโดยภายในต้นปี 2025 โตโยต้าจะเริ่มส่งเสริมนโยบาย DE&I ให้กับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายเป็นกลุ่มแรก เนื่องจากมองว่ากลุ่มผู้แทนจำหน่าย คือตัวแทนที่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุด อันจะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ในเรื่องนโยบายความหลากหลายเท่าเทียมให้กับสังคม นอกจากนี้ภายในปี 2025 โตโยต้าจะขยายขอบเขตไปยังห่วงโซ่ธุรกิจของโตโยต้า (value chain) ให้ดำเนินการบนพื้นฐานเรื่องความหลากหลายความเท่าเทียมและการยอมรับความแตกต่างเช่นกัน

เรียกได้ว่าการมีนโยบาย DE&I นอกจากจะเป็นเรื่องของการบริหารบุคลากรภายในแล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการลดความขัดแย้ง และความไม่เข้าใจระหว่างบุคลากรได้อีกด้วย เพราะเมื่อทุกคนในองค์กรรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการเคารพ องค์กรก็จะสามารถเติบโตและขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับพันธกิจ “Producing Happiness for All” ที่ต้องการจะเป็นผู้สร้างความสุขให้กับทุกคนนั่นเอง

 

]]>
1507717
ไทย ขึ้นแท่นฮับ รร.นานาชาติ เบอร์ 1 ในเอเชีย “บรอมส์โกรฟ” ทุ่ม 200 ล้านบาท รับตลาดขยายตัว https://positioningmag.com/1506950 Sat, 18 Jan 2025 01:30:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506950 แม้อัตราการเกิดของเด็กไทยลดลง ส่งผลให้ภาพรวมเด็กนักเรียนในระบบหดตัว 0.9% ต่อปี และคนเรียนหลักสูตรไทยลดลง 1.7% (YoY)

แต่นั่นไม่ส่งผลลบต่อ รร.นานาชาติ ที่มีนักเรียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.9% ต่อปี และเฉพาะปี 2567 เติบโต 10.2% (YoY) อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกร พบว่า ธุรกิจ รร.นานาชาติ ในไทย ปี 2567 มีมูลค่า 80,000 ล้านบาท เติบโต 13% (YoY) จากจำนวนนักเรียนและค่าเทอมที่สูงขึ้น

เด็กเรียนหลักสูตรนานาชาติ 3 ปี เพิ่ม 15% ไทยเบอร์ 1 เอเชีย

ฮาวเวิร์ด วู หัวหน้าฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ โรงเรียนนานาชาติ บรอมส์โกรฟ ประเทศไทย

“ฮาวเวิร์ด วู” หัวหน้าฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ โรงเรียนนานาชาติ บรอมส์โกรฟ ประเทศไทย กล่าวกับ Positioning ว่า เทรนด์การมีลูกน้อยลง เหลือเพียงครอบครัวละ 1-2 คน ทำให้ผู้ปกครองโฟกัสและทุ่มเงินด้านการศึกษาให้กับลูกได้มากขึ้น

รร.นานาชาติ ได้รับปัจจัยบวกจากจุดนี้ สะท้อนจากจำนวนนักเรียนในช่วง 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-15% ขณะที่จำนวน รร. นานาชาติ ในไทย ณ ปี 2567 มีมากถึง 249 แห่ง สูงสุดในภูมิภาคเอเชีย

ภาพจาก รร.นานาชาติบรอมส์โกรฟ

ทำให้เริ่มมีนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียน รร.นานาชาติ ในไทยมากขึ้น สำหรับ รร.นานาชาติบรอมส์โกรฟ ที่ใช้หลักสูตรการศึกษาแห่งชาติประเทศอังกฤษ (English National Curriculum) และเป็นโรงเรียนรองรับระบบหอพัก (ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก) มีนักเรียนต่างชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ฮ่องกง จีน เมียนมา รัสเซีย ยุโรป คิดเป็นสัดส่วนราว 45% จากนักเรียนทั้งหมด

“ช่วงระยะหลังที่มีสถานการณ์ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ค่าครองชีพในต่างประเทศสูงขึ้น อาทิ อังกฤษ ถ้าไปเรียนต่อจากเดิมใช้เงิน 2 ล้านบาท ตอนนี้ขยับเป็น 3 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายแพงกว่าการเรียนในไทย 50% ส่วน รร.นานาชาติ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ใช้งบประมาณสูงกว่าไทยถึง 5 เท่า”

ส่งผลให้ชาวต่างชาติส่งลูกมาเรียน รร.นานาชาติบรอมส์โกรฟ ที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับประเทศอังกฤษ แต่ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า เฉลี่ย 4-6 แสนบาท/เทอม

อาคาร รร.นานาชาติบรอมส์โกรฟ

บรอมส์โกรฟ ทุ่ม 100-200 ล้านบาท พัฒนา รร.

เบื้องต้น บรอมส์โกรฟ วางงบลงทุนระยะยาว 5-10 ปี ประมาณ  100-200 ล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี รวมถึงบุคลากร รองรับยุคเปลี่ยนผ่านสู่ AI ซึ่งจะบูรณาการกับหลักสูตร ถือเป็นก้าวสำคัญเพื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ในอีก 7 ปีข้างหน้า

ด้วยโพซิชั่นการเป็น รร.นานาชาติ ขนาดกลาง ที่ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวน 530 คน ครูผู้สอนและครูผู้ช่วย รวม 80 คน แต่ละชั้นเรียนมีนักเรียนเฉลี่ย 12-24 คน ทำให้ดูแลได้อย่างทั่วถึงในสัดส่วนครู 1 คน : นักเรียน 3 คน

รร.นานาชาติบรอมส์โกรฟ

ด้วยจุดเด่นนี้ ทำให้รู้ความถนัดและความสามารถนักเรียน เพื่อให้คำแนะนำทางการเรียน รวมไปถึงการหาความถนัดเชื่อมโยงกับระดับอุดมศึกษาให้เหมาะแก่นักเรียนแต่ละราย เพื่อให้เขาได้มีความสุขกับอาชีพในอนาคต และเพื่อให้เจเนอเรชั่นหน้าเป็นเจนฯที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

“จุดหมายเราอยากให้บรอมส์โกรฟ ประเทศไทย อยู่ต่อไปในหลัก 100 ปี แต่ชาร์เลนต์ และเป้าหมายที่สำคัญอีกประการ คือ การพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ สำหรับเด็กไทยตอนนี้มีอัตราการสอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลกแซงสิงคโปร์เสียอีก แต่สิ่งที่ขาดในไทย คือ การผลิตเด็กในสายวิศวกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานระดับโลก“

นักเรียนจากบรอมส์โกรฟ

]]>
1506950
ยูนิโคล่เดินหน้ามอบฮีทเทค 1 ล้านชิ้นทั่วโลก ตามพันธกิจ โครงการ “The Heart of LifeWear” https://positioningmag.com/1506881 Fri, 17 Jan 2025 08:42:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506881 ยูนิโคล่ แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำระดับโลก หลังจากเปิดตัวโครงการเพื่อสังคม “The Heart of LifeWear” ในการส่งมอบฮีทเทค (HEATTECH) จำนวน 1 ล้านชิ้น เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ผู้ที่ต้องการทั่วโลก สำหรับยูนิโคล่ ประเทศ ไทย ได้สานต่อโครงการฯ ด้วยการมอบฮีทเทคจำนวน 15,000 ตัว ให้แก่มูลนิธิบ้านร่มไทรและมูลนิธิกระจกเงา เพื่อส่งต่อความอบอุ่นให้กับผู้ประสบภัยหนาวทางภาคเหนือของไทย โดยเมื่อวันเด็กที่ผ่านมา มร.โยชิทาเกะ วาคากุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) และพนักงานจิตอาสาจากยูนิโคล่ ประเทศ ไทย ร่วมด้วยมูลนิธิกระจกเงา ได้เดินทางไปมอบฮีทเทค เพื่อแก่เด็กๆและผู้ที่ต้องการ ณ โรงเรียนบ้านเหมืองแดง ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงที่ผ่าน ซึ่งทำให้เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในช่วงฤดูหนาวนี้

โครงการ “The Heart of LifeWear” เป็นโครงการระดับโลกครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ยูนิโคล่ตั้งคำถามว่า ‘What makes life better?’ หรือ ‘อะไรที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น?’ เพื่อค้นหาว่าแบรนด์จะสามารถทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมผ่านไลฟ์แวร์ (LifeWear) ได้อย่างไรบ้าง เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีของยูนิโคล่ในปี 2567 ที่ผ่านมา

มร. โคจิ ยาไน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท ฟาสต์ รีเทลลิ่ง จำกัด (บริษัทแม่ของยูนิโคล่) กล่าวเกี่ยวกับการเปิดตัวโครงการนี้ว่า “ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมายที่ประสบกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ไม่ได้เป็นไปตามความตั้งใจหรือความต้องการของตนเอง เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความขัดแย้ง การกดขี่ข่มเหง หรือภัยธรรม ชาติ ไม่มีใครต้องการกลายเป็นผู้ลี้ภัย หรือใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย โครงการระดับโลกล่าสุดของยูนิโคล่ ในชื่อ The Heart of Life Wear มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับชีวิตของผู้คนให้มากที่สุด โดยเฉพาะกับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมชีวิตที่ดีและสะดวกสบายมากขึ้นให้กับผู้คนทั่วโลก แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม”

ปัจจุบัน มีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงผู้คนจำนวนมากที่ต้องใช้ชีวิตในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งผู้คนเหล่านี้ต่างอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ยูนิโคล่ได้เปิดให้บริการอยู่หรือในบริเวณใกล้เคียง โครงการ The Heart of LifeWear ของยูนิโคล่ส่งมอบความช่วยเหลือให้กับผู้พลัดถิ่น เด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ และกลุ่มเปราะบางทั่วโลก เพื่อส่งเสริมชีวิตของผู้คนเหล่านี้ให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดย ยูนิโคล่จะบริจาคเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงสภาพอากาศของพื้นที่ของผู้รับบริจาคเป็นสำคัญ ประกอบด้วย ฮีทเทค (HEATTECH) ไอเทมเพื่อเพิ่มความอบอุ่น และเสื้อผ้าแอริซึ่ม (AIRism) ที่มีน้ำหนักเบาและมีคุณสมบัติในการระบายอากาศที่ดีเยี่ยม

มร.โยชิทาเกะ วาคากุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ยูนิโคล่ ประเทศไทย สานต่อโครงการ The Heart of LifeWear ด้วยการส่งมอบ ฮีทเทค ทั้งหมด จำนวน 15,000 ชิ้น ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล สำหรับการส่งมอบฮีทเทคผ่านมูลนิธิบ้านร่มไทร เพื่อความอบอุ่นแก่ผู้ที่อยู่ห่างไกล ได้เริ่มส่งมอบตั้งแต่ปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ใน อ. อมก๋อย จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลและอยู่บนดอย และในเดือนมกราคม 2568 ทางยูนิโคล่ ได้ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา เพื่อเดินทางไปที่โรงเรียนบ้านเหมืองแดง ต.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในการส่งมอบฮีทเทคให้แก่ผู้ที่ต้องการและได้รับผลกระทบ โดยในวันนี้ได้มีการมอบทั้งฮีทเทคและเสื้อผ้าแก่เด็กๆ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ เพื่อมอบรอบยิ้มและความอบอุ่นให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ สำหรับ ยูนิโคล่ ประเทศไทย เชื่อว่า กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการส่งต่อพลังแห่งเสื้อผ้าให้แก่        ผู้ต้องการอย่างแท้จริง อันเป็นพันธกิจหลักของยูนิโคล่ในการช่วยเหลือสังคมและชุมชนต่างๆ ทั่วโลก”

ติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมด้านความยั่งยืนของยูนิโคล่ ประเทศไทย และโครงการ The Heart of LifeWear และ RE.UNIQLO ‘Warmth for All’ ได้ที่ https://www.uniqlo.com/th/th/news/category/10/

 

]]>
1506881
ร้านแรก https://positioningmag.com/1502727 Wed, 11 Dec 2024 04:10:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502727 1502727 AIS https://positioningmag.com/1502520 Mon, 09 Dec 2024 12:53:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502520 1502520 สาวจีนไม่ทน! แบรนด์ “ผ้าอนามัย” ขายสินค้าไม่ตรงปก สั้นกว่าโฆษณาถึง 10 มม.  https://positioningmag.com/1501289 Thu, 28 Nov 2024 10:17:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501289 บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยรายใหญ่ในประเทศจีนหลายแห่งทยอยออกมาขอโทษผู้บริโภคเพศหญิงในจีน เนื่องจากมีการผลิตและวางจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาว “สั้น” กว่าที่มีการโฆษณาเอาไว้

โดยที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว มาจากวิดีโอไวรัลที่มีการเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีผู้หญิงจีนรายหนึ่งได้ทำการวัดความยาวของผ้าอนามัยจากแบรนด์ยอดนิยมภายในประเทศ โดยผลการวัดแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯผ้าอนามัยส่วนใหญ่ผลิตและจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาวสั้นกว่าที่มีการระบุไว้

ทำให้ผู้หญิงชาวจีนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงความคับข้องใจจากการกระทำของเหล่าบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยของจีน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของผู้หญิง ซึ่ง “ผ้าอนามัย” เป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่ผู้หญิงในประเทศใช้กันบ่อยที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ผู้หญิงในประเทศจีนเช่นกัน

โดยในหนึ่งในวิดีโอที่มีการเข้าชมเยอะที่สุดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน คือวิดีโอของผู้ใช้ Xiaohongshu ที่ได้ตรวจสอบผ้าอนามัยเก้ายี่ห้อด้วยการใช้เทปวัดความยาว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความยาวทั้งหมดยาวไม่ถึงขนาดที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ พร้อมเขียนแคปชั่นในวิดีโอว่า

“การตัดขนาดผ้าอนามัยออกไปกี่เซนติเมตร จะช่วยให้คุณรวยขึ้นได้จริงหรือ” 

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ทําให้มีผู้บริโภคเข้ามาแสดงความคิดเห็นกล่าวหาว่าผู้ผลิตผ้าอนามัยนั้นมีการหลอกลวงผู้บริโภค โดยมีความเห็นยอดนิยมที่ระบุว่า “ความยาวของแผ่นอนามัยที่พองตัว ก็เหมือนกับพื้นรองเท้าใต้ฝ่าเท้าของผู้ชาย” 

ท่ามกลางกระแสที่ร้อนแรงบนโซเชียล ทำให้สํานักข่าวจีน The Paper ได้ทำการตรวจสอบผ้าอนามัยที่แตกต่างกันกว่า 20 แบบ โดยพบว่าเกือบ 90% ของผลิตภัณฑ์ วัดออกมาแล้วมีขนาดสั้นกว่าที่กล่าวอ้างบนบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 10 มม. โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้ดูดซับรอบเดือน

ตามกฎหมายมาตรฐานแผ่นอนามัยของจีนระบุว่า ผ้าอนามัยสามารถสั้นหรือยาวกว่าที่โฆษณามีการเอาไว้ได้ 4% ซึ่งหลังจากที่มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ทางการจีนกล่าวว่าพวกเขากำลังจะพิจารณาแก้กฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ABC บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยแบรนด์ยอดนิยมของจีน กลับสร้างความไม่พอใจของผู้บริโภคสาวมากกว่าเดิม เนื่องจากมีรายงานว่าฝ่ายบริการลูกค้าได้ตอบสนองต่อการร้องเรียนโดยกล่าวว่า “หากคุณไม่สามารถยอมรับความแตกต่างของความยาวได้ คุณสามารถเลือกที่จะไม่ซื้อได้”

ABC กล่าวในแถลงการณ์เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนว่า บริษัทฯรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสําหรับการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนที่ไม่เหมาะสมและสัญญาว่าจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคมากขึ้น ด้าบริษัทอื่น ๆ รวมถึง Shecare และ Beishute ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยก็ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ สื่อของรัฐจีนได้แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากผ้าอนามัยเป็นของใช้ในชีวิตประจําวันที่จำเป็นสําหรับผู้หญิง ทำให้คุณภาพของผ้าอนามัยมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความสะดวกสบายของผู้ใช้ จากกรณีดักงล่าว ถือเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเพิกเฉยหรือละเลยได้

ผ้าอนามัยถือเป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยของผู้หญิงที่มีอัตราการใช้บ่อยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งตลาดมีมูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ (44,838,300,000 บาท) 

ในปี 2016 ตํารวจได้จับกุมขบวนการผ้าอนามัยปลอมขนาดใหญ่ได้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งผ้าอนามัยหลายล้านชิ้นถูกผลิตในโรงงานโดยไม่มีมาตรการด้านสุขอนามัยที่เหมาะสม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นของแบรนด์ยอดนิยมมาใช้ในกระบวนการผลิต

ในปี 2021 แบรนด์สุขอนามัยของผู้หญิงยอดนิยม อย่าง Space 7 ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษและสาบานว่าจะตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หลังมีผู้หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเธอพบเข็มในผ้าอนามัยของแบรนด์

จากปัญหาด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยของผู้หญิงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้หญิงที่ไม่มากพอ สร้างความโกรธเคืองในใจของเหล่าปู้บริโภคสาว จนเกิดเป็นแฮชแท็กที่กําลังมาแรงบนโซเชียลมีเดียจีนอย่าง Weibo อย่าง “มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่ผ้าอนามัยจะจัดการกับความต้องการของผู้หญิง” รวมถึงวลีที่ว่า “แผ่นอนามัยให้ผลผลิตหนึ่งเซนติเมตร ผู้หญิงให้ผลผลิตตลอดชีวิต” ซึ่งกําลังมาแรงในโซเชียลมีเดียของจีนเช่นกัน

ที่มา : BBC

]]>
1501289
SCB ตอกย้ำผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้ง เปิดตัว “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD)” รับดอกเบี้ยดีทันใจสูงสุด 4% ต่อปี* เปิดบัญชีได้ง่ายๆ บนแอป SCB EASY https://positioningmag.com/1501181 Thu, 28 Nov 2024 05:08:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501181
  • เลือกฝากได้มากถึง 5 สกุลเงินหลัก
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งขยายบริการด้านการบริหารความมั่งคั่งด้วยโมเดล Digital Wealth เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ AI-First Bank เดินหน้าเปิดตลาด Emerging Wealth เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะแรกเริ่ม โดยลูกค้าสามารถบริหารความมั่งคั่งได้ด้วยตนเองง่ายๆ ผ่านแอป SCB EASY ธนาคารจึงเปิดตัว การออมเงินรูปแบบใหม่ สำหรับคนยุคดิจิทัลที่มองหาการออมเงินสมาร์ทหรือลงทุนรูปแบบใหม่ๆ “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD) ประเภทออมทรัพย์” บนแอป SCB EASY สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย พร้อมส่งโปรโมชันช่วงเปิดตัว รับดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 4% ต่อปี* ไม่ต้องฝากประจำ ไม่มีขั้นต่ำ เลือกฝากได้มากถึง 5 สกุลเงินหลัก ได้แก่ USD, GBP, EUR, SGD และ CNY ไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม** สะดวก รวดเร็ว ครบจบในแอปเดียว

    ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD) ประเภทออมทรัพย์” จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ด้านการออมเงิน พร้อมสร้างโอกาสในการเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวสำหรับทุกคน เพื่อเปิดประตูสู่การต่อยอดการลงทุนในตลาดต่างประเทศ และช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม ตอบโจทย์การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ก่อนเดินหน้าพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า

    ขั้นตอนการเปิด “บัญชี e-FCD” บนแอป SCB EASY

    1.เลือก “เมนูธุรกรรมของฉัน”
    2.เลือก “เปิดบัญชีเงินฝาก”
    3.เลือก “เปิดบัญชี e-FCD” เงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์
    4.เลือก “สกุลเงิน” ที่ต้องการเปิดบัญชี (สามารถเลือกได้มากกว่า 1 สกุลเงิน) และทำตามขั้นตอน
    5.เปิดบัญชี e-FCD สำเร็จ กด “กลับหน้ารวมบัญชี”
    6.ระบบจะเพิ่มบัญชีในหน้ารวมบัญชีอัตโนมัติ และสามารถเริ่มทำรายการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศบนแอป SCB EASY ได้

    สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร 02-777-7777 สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/deposits/foreign-currency-deposit/e-fcd

    หมายเหตุ:

    • *อัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษสูงสุด 4% ต่อปี เฉพาะสกุลเงิน USD สำหรับระยะเวลา 22 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 และตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติ 0.15% ต่อปี
    • อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับสกุลเงิน GBP, EUR, SGD และ CNY โปรดศึกษาและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของธนาคาร
    • ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่ประกาศธนาคารกำหนด
    • บัญชี e-FCD มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ลูกค้าควรศึกษารายละเอียดข้อมูลสำคัญและเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจ
    • บัญชี e-FCD จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
    • **ไม่มีค่าธรรมเนียมในการแลกเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากธนาคาร

    ]]>
    1501181
    รู้จัก “เมดิเอเตอร์” ผู้พัฒนา “TJRI” โครงการสื่อกลางเพื่อช่วยเชื่อมสัมพันธ์ “นักธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น” https://positioningmag.com/1496260 Tue, 29 Oct 2024 09:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496260

    ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเมืองไทยมากถึง 6,000 บริษัท แต่มีบริษัทจากแดนปลาดิบที่เปิดประตูร่วมลงทุนกับบริษัทไทยน้อยมาก แม้นักธุรกิจไทยรุ่นใหม่จะมีศักยภาพสูงและพร้อมจะพัฒนาร่วมกันให้ประเทศไทยเป็นมากกว่าเพียงแค่ ‘ฐานผลิต’ ซึ่งแนวคิดตั้งต้นดังนี้ทำให้ “กันตธร วรรณวสุ” ผู้ก่อตั้ง “เมดิเอเตอร์” เลือกจะเปิดโครงการพิเศษ​ “TJRI” เพื่อมุ่งเป้าเป็นตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ให้นักธุรกิจไทยกับญี่ปุ่นได้เจอกันและต่อยอดธุรกิจให้แน่นแฟ้นมากกว่าที่เคย

    “จุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยคือ ‘ยุคโชติช่วงชัชวาล’ ของไทยเมื่อ 30-40 ปีก่อน ที่มีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและอนุญาตให้คนญี่ปุ่นตั้งบริษัทโดยคนญี่ปุ่นถือหุ้น 100% ไม่ต้องมีคนไทยร่วมด้วย ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงเหมือนทำงานเฉพาะแต่กับคนญี่ปุ่นด้วยกันเองเท่านั้น” กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด ฉายภาพถึงบริบทของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยตั้งแต่ยุคอดีต

    “ประกอบกับทั้งสังคมญี่ปุ่นและสังคมไทยต่างก็เป็นสังคม ‘High Context’ หรือสังคมที่มีลักษณะการเจรจาแบบอ้อมค้อม ไม่พูดตรงๆ ทำให้สุดท้ายคนญี่ปุ่นกับคนไทยที่อยู่คนละองค์กรกันจะไม่ค่อยมีการสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันเลย”

    กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด

    เหตุที่กันตธรมองทะลุปรุโปร่งว่าวัฒนธรรมคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไรนั้น เป็นเพราะตัวเขามีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 5 ปี และได้ทำงานในญี่ปุ่นต่ออีก 5 ปี เมื่อกลับมาประเทศไทยจึงเลือกทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนญี่ปุ่น ด้วยการก่อตั้งบริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด เมื่อปี 2552 โดยเริ่มแรกทำธุรกิจรับบริหารจัดการอีเวนต์ นิทรรศการ งานสัมมนา ฯลฯ ตามที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานรัฐของญี่ปุ่นในไทย เช่น JETRO (องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) และ JNTO (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น)

    อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องทำงานและประสานงานกับชาวญี่ปุ่นในไทยมาถึงปัจจุบัน กันตธรกล่าวว่า ตัวเขาเริ่มเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของบริบทธุรกิจในประเทศไทย เพราะในอดีตไทยอาจจะเป็นเพียง ‘ฐานผลิต’ ให้กับบริษัทญี่ปุ่น ดังนั้นการเก็บตัวอยู่เฉพาะในสังคมญี่ปุ่นจึงอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่วันนี้เมื่อไทยกำลังจะเสียศักยภาพการเป็นฐานผลิตต้นทุนต่ำให้กับประเทศใกล้เคียง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หากความสัมพันธ์ของบริษัทญี่ปุ่นกับคนไทยไม่ได้แน่นแฟ้นและเป็นมากกว่าฐานผลิต อนาคตอาจเห็นการย้ายออกของบริษัทญี่ปุ่นไปจากประเทศไทยก็ได้!

    ในขณะเดียวกัน กันตธรมองว่า อันที่จริงแล้วนักธุรกิจและผู้บริหารคนไทยยุคนี้มีความสามารถสูงขึ้นมาก มีทายาทธุรกิจมากมายที่ ‘โปรไฟล์ดี จบนอก วิสัยทัศน์ไกล’ ซึ่งน่าเสียดายหากนายญี่ปุ่นมองไม่เห็นโอกาสที่จะได้สร้างสัมพันธ์และต่อยอดธุรกิจร่วมกัน

    นั่นจึงเป็นเหตุผลและที่มาที่ทำให้กันตธรเริ่มต้นโครงการ “TJRI” หรือ “Thai-Japanese Investment Research Institute” ขึ้น มุ่งหมายจะเป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจของคนไทยและคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ


    พีระมิด 5 ขั้นสร้างสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น

    กันตธรกล่าวว่า โครงการ TJRI นี้ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์ตั้งแต่รากฐาน การทำงานเพื่อส่งเสริมสัมพันธ์จึงจะต้องทำงานเป็นพีระมิด 5 ขั้น จากหน่วยเล็กไปหาหน่วยใหญ่ คือ

    1. Business Matching – จับคู่ทางธุรกิจระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน
    2. Thai Localization – ทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่เริ่มสร้างฐานในไทยแล้วสามารถปรับตัวเข้ากับเมืองไทยได้ และส่งเสริมให้คนไทยได้เลื่อนขั้นเป็นระดับผู้บริหารในองค์กรญี่ปุ่น
    3. B2B Marketing – ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์กับบริษัทญี่ปุ่นให้เลือกมาลงทุนที่เมืองไทย
    4. Exhibition & Conference – จัดสัมมนาและการประชุมในกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นเพื่อให้หันมาสนใจประเทศไทย
    5. Media Management – ส่งบทความและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในไทยไปปรากฏบนหน้าสื่อ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยและคนไทยให้กับคนญี่ปุ่น

    หลังตั้ง TJRI ขึ้น มีหลายโปรเจ็กต์ที่ได้จัดสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เช่น กิจกรรมพานักธุรกิจญี่ปุ่นทัวร์โรงงานและบริษัทไทย นำสตาร์ทอัพญี่ปุ่นเข้าร่วมเวที Talk Stage ในงาน Sustainability Expo 2023 หรือการจัดงานสัมมนาเปิดให้บริษัทไทยเล่าความต้องการทางธุรกิจและโอกาสสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชาวญี่ปุ่น เป็นต้น

    ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ มีหลายบริษัทที่มีชื่อเสียงในไทยเคยเข้าร่วมกับโครงการ TJRI เช่น PTT, C.P. Group, SCG, กลุ่มมิตรผล, อิชิตัน กรุ๊ป, เซ็นทรัลพัฒนา ส่วนบริษัทญี่ปุ่นก็มีหลายรายที่ร่วมเป็นสมาชิก TJRI แล้ว เช่น Denso, Marubeni, Misumi, Sanyo Trading Group, Itochu, Sumitomo Corporation Thailand ฯลฯ

    ด้านการสร้างรากฐานความเข้าใจคนไทยในสื่อ กันตธรกล่าวว่า TJRI ได้ลงบทความภาษาญี่ปุ่นไปแล้วมากมาย โดยส่วนใหญ่จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นที่ฮือฮา เพราะบทความที่ลงมักจะเลือกหัวข้อที่คนญี่ปุ่นมักจะ ‘ไม่กล้าพูด’ กันเอง เช่น ข่าวการจัดอันดับ Top 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่ชาวไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดปี 2024 ที่จัดโดย WorkVenture ปรากฏว่า มีบริษัทญี่ปุ่นแค่ 3 แห่งเท่านั้นในลิสต์ คือ LINE, Toyota และ Unicharm ซึ่งความจริงข้อนี้ทำให้คนญี่ปุ่นตกใจมากที่บริษัทญี่ปุ่นไม่ได้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนทำงานไทยอีกแล้ว และกลายเป็นบริษัทใหญ่ของไทยเองที่ครองใจคนรุ่นใหม่จำนวนมาก

    “เราอยากให้คนญี่ปุ่นมองไทยใหม่ว่า เราไม่ใช่แค่ฐานผลิตเฉย ๆ แต่อยากให้เขามองว่าจะมาร่วมงานกับคนไทยเพื่อสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมใหม่ ธุรกิจใหม่ สื่อสารจุดแข็งของไทยเราว่าสามารถเป็นสปริงบอร์ดออกไปในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้ด้วย” กันตธรกล่าว “นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ประเทศไทยต่อยอดร่วมกับญี่ปุ่นได้ เช่น ด้านเกษตรกรรม ถ้าร่วมกับนวัตกรรมจากญี่ปุ่น เราอาจจะต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมไบโอเทค ยา หรืออาหารได้อีกมาก”


    “THAIBIZ” นิตยสารธุรกิจภาษาญี่ปุ่นฝีมือคนไทย

    สำหรับการสร้างฐานพีระมิดที่จะพัฒนาความเข้าใจของคนญี่ปุ่นต่อสังคมธุรกิจไทยนั้น กันตธรมองว่า แค่ลงบทความในสื่ออื่นยังไม่พอ แต่ต้องมีสื่อเป็นของตนเองด้วย ทำให้บริษัทตัดสินใจเทกโอเวอร์นิตยสารภาษาญี่ปุ่น “ArayZ” ซึ่งดำเนินการในไทยมานานถึง 10 ปี นำมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “THAIBIZ” และปรับแนวทางเป็นนิตยสารเพื่อสื่อสารเรื่องธุรกิจ-เศรษฐกิจเป็นหลัก

    โดยเรื่องราวที่ลงในนิตยสารจะมีทั้งเรื่องของบริษัท/ผู้บริหารญี่ปุ่นในไทย เช่น ผู้บริหารจาก Denso และบริษัท/ผู้บริหารไทยที่น่าสนใจ เช่น MK Restaurant Group ซึ่งคนญี่ปุ่นจะได้รู้จักและคุ้นเคยกับบริษัทไทยมากยิ่งขึ้น

    ปัจจุบัน THAIBIZ เริ่มตีพิมพ์ทุกเดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จำนวนพิมพ์ฉบับละ 12,000 เล่ม วางแจกฟรีตามสำนักงาน บริษัทญี่ปุ่นและซูเปอร์มาร์เก็ตที่คนญี่ปุ่นนิยม นอกจากนี้ บริษัทยังจัดส่งบทความรายวันทางอีเมลให้กับสมาชิก เพื่อให้คนญี่ปุ่นสามารถติดตามข่าวสารได้แม้จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือในประเทศไทย

    “กลุ่มเป้าหมายของเราคือ ผู้บริหารคนญี่ปุ่นที่ยังหนุ่มสาว ไฟแรง และอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากหาคอนเน็กชันให้มาก” กันตธรกล่าว

    ปัจจุบันเมดิเอเตอร์มีพนักงานรวมทั้งหมด 60 คน (คนไทย 50 คน และคนญี่ปุ่น 10 คน) พร้อมที่จะให้บริการช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นที่จะมาลงทุนในไทย รวมทั้งบริษัทไทยหรือญี่ปุ่นที่ต้องการรู้จัก เชื่อมสัมพันธ์ข้ามชาติ สร้างสรรค์พัฒนาไปด้วยกัน

    “KPI ของผมวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ยอดขายหรือกำไร แต่อยู่ที่เราสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเมืองไทยได้มากแค่ไหนครับ” กันตธรกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1496260
    TikTok เปิดลิสต์ ครีเอเตอร์แห่งปี ผู้สร้างปรากฏการณ์ไวรัล เข้าสู่รอบชิง TikTok Awards 2024 ตอกย้ำแพลตฟอร์มความบันเทิงชั้นนำที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แหล่งกำเนิดเทรนด์และวัฒนธรรมของชาวไทย https://positioningmag.com/1495960 Mon, 28 Oct 2024 10:38:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495960
    • เตรียมพบกับงานประกาศรางวัลสุดยอดคอนเทนต์ครีเอเตอร์แห่งปี TikTok Awards 2024 จัดเต็มรางวัลกว่า 12 สาขาครอบคลุมทุกเทรนด์และวัฒนธรรมที่ถือกำเกิดบนแพลตฟอร์ม TikTok ผ่านครีเอเตอร์ผู้เข้ารอบมากกว่า 70 รายผู้สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวไทยตลอดปี
    • ครีเอเตอร์ผู้เข้าชิงรางวัล Creator of the Year ของชาวไทยผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพอัดแน่นทั้งสาระและความบันเทิงได้แก่เบลล่า วิถีไทย (bella_bell22), เชฟกระทะยักษ์ (giantpanchef), พิซซ่ามูฟวี (pizza_movie), สยาโม (sayamo_ss), เซย์ไซน์ (saysci), วาทะลูกหนัง (watalooknungquotes)
    • เผยเพลงฮิต TikTok ฟ้ารักพ่อ(DILF), เมร่อน, วาสนาผู้ใดหนอ, Hit Me Up ฯลฯติดโผเพลงไวรัลแห่งปีสู่รอบชิง Viral Song of the Year ด้านศิลปินไทย DGERRAD, DICE, JOEY PHUWASIT, NuNew, Pixxie และ ลำไย ไหทองคำจับมือร่วมลุ้นรางวัล Artist of the Year
    • ด้านสน-ยุกต์, โม-มนชนก, ใบเฟริน- อัญชสา, ไมกี้ ปณิธาน ฯลฯ ตบเท้าเข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลสาขา Celebrity Creator of the Year
    • พร้อมดัน ไลฟ์ครีเอเตอร์ และ ครีเอเตอร์ติดตะกร้า ผ่านรางวัลสาขา TikTok Live Creator of the Year และ TikTok Shop Creator of the Year ร่วมโหวตและเป็นส่วนหนึ่งของการเฟ้นหา ‘The Inspirations of Tomorrow, Today!’ รางวัลสำหรับครีเอเตอร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวไทยได้แล้ววันนี้ถึง 30 ตุลาคม และลุ้น  ผู้ชนะพร้อมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ผ่านไลฟ์สดได้ที่ @tiktokthailand และ @iconic.iconsiam
    TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลกเผยลิสต์รายชื่อครีเอเตอร์ไทยสู่รอบชิง TikTok Awards 2024 งานประกาศรางวัลสุดยอดครีเอเตอร์ผู้สร้างคอนเทนต์ที่สุดแห่งปี ซึ่งถือเป็นเวทีแห่งการสนับสนุนทั้งครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียงและครีเอเตอร์หน้าใหม่ผู้มากความสามารถ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ นำความสุขและเสียงหัวเราะมาให้คนไทย กลับมาอีกครั้งในปีนี้! เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของบรรดาครีเอเตอร์ไทย ภายใต้คอนเซปต์ “The Inspirations of Tomorrow, Today!” สะท้อนให้เห็นถึงอิทธพลของครีเอเตอร์ที่สร้างปรากฏการณ์ไวรัลในวันนี้และเป็นแรงบันดาลใจแห่งวันพรุ่งนี้ตอกย้ำเป้าหมายของแพลตฟอร์มที่ซึ่งทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเทรนด์และปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Creator Economy) และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้กับประเทศไทย
    คุณรินทร์ลิตา อัครตุลยพัชร์ Program & Market Insight, Content Operations, TikTok ประเทศไทย เผยว่า “ความคิดสร้างสรรค์ก่อให้เกิดเทรนด์และวัฒนธรรมใหม่ๆ ในสังคม และครีเอเตอร์ของเราคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งนี้ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ที่เป็นเหมือนผืนผ้าใบแห่งการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็นหน้าต่างสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆ และสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับสิ่งที่พวกเขาสนใจเข้าไว้ด้วยกัน เราเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความสามารถ แบ่งปันมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ และเชื่อมต่อกับผู้ชมทั่วโลกได้ รางวัล ‘TikTok Awards 2024’ จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับครีเอเตอร์ที่มีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายบทสนทนาในสังคม และกำหนดอนาคตที่ยั่งยืนให้กับ Creator Economy เราภูมิใจอย่างยิ่งกับทุกๆ ความสำเร็จของครีเอเตอร์ที่เกิดขึ้นบน TikTok เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแพลตฟอร์มในฐานะผู้สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดเทรนด์ที่สังคมให้ความสนใจ พร้อมส่งต่ออิทธิพลเหล่านั้นสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้นอกแพลตฟอร์ม”
    TikTok Awards 2024 ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ TikTok จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง ยกย่อง และให้รางวัลกับครีเอเตอร์ที่มีความเป็นเลิศในการนำเสนอคอนเทนต์ได้โดนใจผู้ชมทั่วประเทศ โดยในปีนี้ TikTok Awards มาพร้อมกับคอนเซปต์ “The Inspirations of Tomorrow, Today!” ที่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิดเป็นปรากฏการณ์อันน่าจับตามอง รวมถึงกำหนด    เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม
    ในปีนี้ TikTok Awards มี 3 หมวดหมู่รางวัลที่น่าสนใจครอบคลุมทุกความหลากหลายของคอมมูนิตี้บน TikTok ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่ Judge’s Pick Awards 5 สาขารางวัลซึ่งคัดเลือกจากครีเอเตอร์ที่มีผลงานโดดเด่นในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในหลากหลายอุตสาหกรรม People’s Choice 7 สาขารางวัลคัดเลือกจากผลคะแนนโหวตของผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม โดยทั้งสองหมวดหมู่นี้มีครีเอเตอร์ผู้เข้าชิงรางวัลสาขาละ 6 ราย ตลอดจนหมวดหมู่สุดท้าย Special Awards อย่าง TikTok Changemaker of the Year เพื่อสร้างค่านิยมอันดีผ่านการมอบรางวัลให้กับครีเอเตอร์ที่ปลุกพลังในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
    Judge’s Pick Awards People’s Choice Special Awards
    1. Entertainment Creator of the Year
    2. Food Creator of the Year
    3. Beauty & Fashion Creator of the Year
    4. Education Creator of the Year
    5. Sports Creator of the Year
    1.Creator of the Year
    2. Artist of the Year
    3. Viral Song of the Year
    4. Video of the Year
    5. Celebrity Creator of the Year
    6. TikTok LIVE Creator of the Year
    7. TikTok Shop Creator of the Year
    •TikTok Changemaker of the Year
    ตลอดปีที่ผ่านมา ครีเอเตอร์ TikTok ชาวไทยได้ร่วมกันจุดประกายเทรนด์ต่างๆ มากมายบนแพลตฟอร์มที่โดนใจผู้คนนับล้านทั่วประเทศและทั่วทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่น ความงาม อาหาร และความบันเทิง ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและสร้างบทสนทนาในสังคมในวงกว้าง จนสามารถส่งต่ออิทธิพลไปยังนอกแพลตฟอร์ม ซึ่งมีจะมีเทรนด์ที่น่าสนใจ เช่น
    TikTok แฟชั่นและเมคอัพเทรนด์สู่อิทธิพลในการตัดสินใจซื้อสินค้า
    เทรนด์ความงามบน TikTok อย่าง#AsokeMakeup,#AyothayaMakeup,#ThaiMakeupคือหนึ่งในปรากฏ การณ์สำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านเมคอัพลุคที่กลายเป็นกระแสข้ามแพลตฟอร์มและในระดับนานาชาติ ได้รับความสนใจจากครีเอเตอร์ทั่วโลกมาร่วมสร้างคอนเทนต์ภายใต้แฮชแท๊กเหล่านี้อย่างล้นหลามในเวลาชั่วข้ามคืน ตลอดจนเทรนด์แฟชั่นที่ไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวันให้คนทุกเพศทุกวัยสนุกกับการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหมวดหมู่นี้ด้วย อาทิ #OOTD หรือเทรนด์ Outfit of The Day ที่มีผู้ใช้สร้างคอนเทนต์มากถึง 30.4 ล้านคลิป #FitCheck เทรนด์แฟชั่นบน TikTok ที่สร้างยอดขายให้กับสินค้าแฟชั่นบน TikTok Shop ก่อให้เกิดการสนับสนุนแบรนด์แฟชั่นหน้าใหม่ในแต่ละประเทศให้โตอย่างก้าวกระโดด ในประเทศ ไทย #คลาสแฟชั่นที่ชวนคนมามิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าชิ้นเดิมให้เป็นลุคใหม่เพื่อปลุกกระแสรักษ์โลกได้รับความสนใจจากชาวไทยอย่างต่อเนื่องกว่า 1.7 ล้านคลิป
    จากโต๊ะอาหารสู่หน้าฟีด – ร้านเด็ดเมนูดังที่เปลี่ยนทุกมื้อให้กลายเป็นไวรัล
    แฮชแท๊กอย่าง#TikTokพากิน#กินตามTikTok#เมนูดังTikTokฯลฯ นับเป็นแหล่งรวมเทรนด์อาหารยอดฮิตบนแพลตฟอร์มที่มียอดวิดีโอคอนเทนต์หลักล้าน แหล่งกำเนิดวัฒนธรรมการกินใหม่ๆ ที่สร้างสีสันให้ผู้คนมาแล้วทั่วโลก เช่น ปรากฏการณ์#Mukbangเทรนด์กินโชว์บน TikTok ที่มีคอนเทนต์มากกว่า 4.4 ล้านคลิปด้วยเสน่ห์ของคอนเทนต์ ASMR (Autonomous Sensory Meridian Response) ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดกับครีเอเตอร์จึงส่งให้กลายเป็นไวรัลได้อย่างง่ายดาย สำหรับประเทศไทยเมนูและคอนเทนต์อาหารยอดนิยมคงหนีไม่พ้นอาหารประเภท ตำ ยำ แซ่บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ต้องหลีกทางให้เมนู#ตําเส้นเล็กที่กลายเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ร้านยำต้องมี! นอกจากเป็นแหล่งรวมเมนูฮิตแล้วยังเป็นแหล่งรวมพิกัดร้านอร่อย#ปักหมุดร้านอร่อยและศูนย์รวมสูตรอาหาร#ห้องครัวTikTokส่งอิทธิพลให้ร้านอาหารและเมนูเหล่านั้นได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
    สร้างกระแสไวรัลให้กับเพลง หนัง และซีรีส์ด้วยการรีวิวสุดสร้างสรรค์
    TikTok สร้างปรากฎการณ์และส่งอิทธิพลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมความบันเทิง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดนตรีหรือเพลง ที่ทำให้หลายๆ เพลงจากศิลปินหน้าใหม่สามารถโด่งดังได้เพียงข้ามคืนด้วยการติดแฮชแท็ก#เพลงดังTikTok ที่เป็นเสมือนคลังคอนเทนต์ด้านดนตรี และเป็นแหล่งคอนเทนต์ความบันเทิงอย่าง หนัง ละคร ซีรี่ย์ ที่ครีเอเตอร์หยิบยกขึ้นมากรีวิว รีแคป วิเคราะห์ให้เห็นถึงมุมมองด้านอื่นที่น่าสนใจของเนื้อเรื่อง ตัวละคร และอื่นๆ ผ่านแฮชแท๊ก#เรื่องนี้ต้องดู#บันเทิงTikTok#TikTokพาดู#รีวิวหนัง
    สำหรับกติกาการโหวตในปีนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งาน TikTok ทุกคนโหวตให้กับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบได้ผ่านทาง #TikTokAwardsTH โหวตได้สูงสุดจำนวน 5 ครั้งต่อวัน สามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 23:59 และสามารถดูผลคะแนนสดได้จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2567 โดยจะมีการประกาศผลรางวัล    ผู้ชนะพร้อมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ณ TRUE ICON Hall ชั้น 7, ICONSIAM หรือติดตามรับชมไลฟ์สดได้ผ่านทาง @tiktokthailand และ @iconic.iconsiam ตั้งแต่เวลา 18:00-22:30 น. นอกจากนี้ ภายในงานประกาศรางวัล TikTok จะขนกองทัพศิลปินชื่อดังมากมายมาร่วมสร้างความสนุกให้กับงาน อาทิเช่น โจอี้ ภูวศิษฐ์ NuNew DICE DREAMGALS เป็นต้น รวมถึงเซอร์ไพรส์โชว์สุดพิเศษจากศิลปินต่างประเทศ พร้อมทีมพิธีกรมากความสามารถ อย่าง ดีเจอ๋อง ดีเจดาว-โอเกะ ก็อตจิ และป็อปปี้ รัชพงศ์ที่จะมาร่วมสร้างสีสันให้กับงานด้วยเช่นกัน
    เพราะมากไปกว่ารางวัลแห่งการเป็นผู้นำเทรนด์ TikTok Awards 2024 ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของครีเอเตอร์ในการกำหนดบทสนทนาในวันพรุ่งนี้ ในแต่ละวิดีโอแต่ละคอนเทนต์ที่พวกเขาสร้างขึ้นล้วนผลักดันให้คอมมูนิตี้บนแพลตฟอร์มนั้นแข็งแกร่งขึ้น TikTok จะยังคงเป็นพื้นที่ที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์และนำความสุขมาให้ชาวไทย และเชื่อว่าครีเอเตอร์ไทยมีความสามารถและศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจแห่งวันพรุ่งนี้
    รับชมและดาวน์โหลดวิดีโอ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับงาน TikTok Awards 2024 – The Inspiration of Tomorrow, Today! ได้ที่นี่
    ]]>
    1495960