ไม่มีหมวดหมู่ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Dec 2024 04:10:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ร้านแรก https://positioningmag.com/1502727 Wed, 11 Dec 2024 04:10:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502727 1502727 AIS https://positioningmag.com/1502520 Mon, 09 Dec 2024 12:53:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502520 1502520 สาวจีนไม่ทน! แบรนด์ “ผ้าอนามัย” ขายสินค้าไม่ตรงปก สั้นกว่าโฆษณาถึง 10 มม.  https://positioningmag.com/1501289 Thu, 28 Nov 2024 10:17:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501289 บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยรายใหญ่ในประเทศจีนหลายแห่งทยอยออกมาขอโทษผู้บริโภคเพศหญิงในจีน เนื่องจากมีการผลิตและวางจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาว “สั้น” กว่าที่มีการโฆษณาเอาไว้

โดยที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว มาจากวิดีโอไวรัลที่มีการเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีผู้หญิงจีนรายหนึ่งได้ทำการวัดความยาวของผ้าอนามัยจากแบรนด์ยอดนิยมภายในประเทศ โดยผลการวัดแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯผ้าอนามัยส่วนใหญ่ผลิตและจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาวสั้นกว่าที่มีการระบุไว้

ทำให้ผู้หญิงชาวจีนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงความคับข้องใจจากการกระทำของเหล่าบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยของจีน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของผู้หญิง ซึ่ง “ผ้าอนามัย” เป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่ผู้หญิงในประเทศใช้กันบ่อยที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ผู้หญิงในประเทศจีนเช่นกัน

โดยในหนึ่งในวิดีโอที่มีการเข้าชมเยอะที่สุดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน คือวิดีโอของผู้ใช้ Xiaohongshu ที่ได้ตรวจสอบผ้าอนามัยเก้ายี่ห้อด้วยการใช้เทปวัดความยาว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความยาวทั้งหมดยาวไม่ถึงขนาดที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ พร้อมเขียนแคปชั่นในวิดีโอว่า

“การตัดขนาดผ้าอนามัยออกไปกี่เซนติเมตร จะช่วยให้คุณรวยขึ้นได้จริงหรือ” 

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ทําให้มีผู้บริโภคเข้ามาแสดงความคิดเห็นกล่าวหาว่าผู้ผลิตผ้าอนามัยนั้นมีการหลอกลวงผู้บริโภค โดยมีความเห็นยอดนิยมที่ระบุว่า “ความยาวของแผ่นอนามัยที่พองตัว ก็เหมือนกับพื้นรองเท้าใต้ฝ่าเท้าของผู้ชาย” 

ท่ามกลางกระแสที่ร้อนแรงบนโซเชียล ทำให้สํานักข่าวจีน The Paper ได้ทำการตรวจสอบผ้าอนามัยที่แตกต่างกันกว่า 20 แบบ โดยพบว่าเกือบ 90% ของผลิตภัณฑ์ วัดออกมาแล้วมีขนาดสั้นกว่าที่กล่าวอ้างบนบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 10 มม. โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้ดูดซับรอบเดือน

ตามกฎหมายมาตรฐานแผ่นอนามัยของจีนระบุว่า ผ้าอนามัยสามารถสั้นหรือยาวกว่าที่โฆษณามีการเอาไว้ได้ 4% ซึ่งหลังจากที่มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ทางการจีนกล่าวว่าพวกเขากำลังจะพิจารณาแก้กฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ABC บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยแบรนด์ยอดนิยมของจีน กลับสร้างความไม่พอใจของผู้บริโภคสาวมากกว่าเดิม เนื่องจากมีรายงานว่าฝ่ายบริการลูกค้าได้ตอบสนองต่อการร้องเรียนโดยกล่าวว่า “หากคุณไม่สามารถยอมรับความแตกต่างของความยาวได้ คุณสามารถเลือกที่จะไม่ซื้อได้”

ABC กล่าวในแถลงการณ์เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนว่า บริษัทฯรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสําหรับการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนที่ไม่เหมาะสมและสัญญาว่าจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคมากขึ้น ด้าบริษัทอื่น ๆ รวมถึง Shecare และ Beishute ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยก็ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ สื่อของรัฐจีนได้แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากผ้าอนามัยเป็นของใช้ในชีวิตประจําวันที่จำเป็นสําหรับผู้หญิง ทำให้คุณภาพของผ้าอนามัยมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความสะดวกสบายของผู้ใช้ จากกรณีดักงล่าว ถือเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเพิกเฉยหรือละเลยได้

ผ้าอนามัยถือเป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยของผู้หญิงที่มีอัตราการใช้บ่อยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งตลาดมีมูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ (44,838,300,000 บาท) 

ในปี 2016 ตํารวจได้จับกุมขบวนการผ้าอนามัยปลอมขนาดใหญ่ได้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งผ้าอนามัยหลายล้านชิ้นถูกผลิตในโรงงานโดยไม่มีมาตรการด้านสุขอนามัยที่เหมาะสม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นของแบรนด์ยอดนิยมมาใช้ในกระบวนการผลิต

ในปี 2021 แบรนด์สุขอนามัยของผู้หญิงยอดนิยม อย่าง Space 7 ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษและสาบานว่าจะตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หลังมีผู้หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเธอพบเข็มในผ้าอนามัยของแบรนด์

จากปัญหาด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยของผู้หญิงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้หญิงที่ไม่มากพอ สร้างความโกรธเคืองในใจของเหล่าปู้บริโภคสาว จนเกิดเป็นแฮชแท็กที่กําลังมาแรงบนโซเชียลมีเดียจีนอย่าง Weibo อย่าง “มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่ผ้าอนามัยจะจัดการกับความต้องการของผู้หญิง” รวมถึงวลีที่ว่า “แผ่นอนามัยให้ผลผลิตหนึ่งเซนติเมตร ผู้หญิงให้ผลผลิตตลอดชีวิต” ซึ่งกําลังมาแรงในโซเชียลมีเดียของจีนเช่นกัน

ที่มา : BBC

]]>
1501289
SCB ตอกย้ำผู้นำดิจิทัลแบงก์กิ้ง เปิดตัว “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD)” รับดอกเบี้ยดีทันใจสูงสุด 4% ต่อปี* เปิดบัญชีได้ง่ายๆ บนแอป SCB EASY https://positioningmag.com/1501181 Thu, 28 Nov 2024 05:08:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501181
  • เลือกฝากได้มากถึง 5 สกุลเงินหลัก
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งขยายบริการด้านการบริหารความมั่งคั่งด้วยโมเดล Digital Wealth เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ AI-First Bank เดินหน้าเปิดตลาด Emerging Wealth เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะแรกเริ่ม โดยลูกค้าสามารถบริหารความมั่งคั่งได้ด้วยตนเองง่ายๆ ผ่านแอป SCB EASY ธนาคารจึงเปิดตัว การออมเงินรูปแบบใหม่ สำหรับคนยุคดิจิทัลที่มองหาการออมเงินสมาร์ทหรือลงทุนรูปแบบใหม่ๆ “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD) ประเภทออมทรัพย์” บนแอป SCB EASY สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย พร้อมส่งโปรโมชันช่วงเปิดตัว รับดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 4% ต่อปี* ไม่ต้องฝากประจำ ไม่มีขั้นต่ำ เลือกฝากได้มากถึง 5 สกุลเงินหลัก ได้แก่ USD, GBP, EUR, SGD และ CNY ไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม** สะดวก รวดเร็ว ครบจบในแอปเดียว

    ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์ (e-FCD) ประเภทออมทรัพย์” จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ด้านการออมเงิน พร้อมสร้างโอกาสในการเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวสำหรับทุกคน เพื่อเปิดประตูสู่การต่อยอดการลงทุนในตลาดต่างประเทศ และช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม ตอบโจทย์การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ก่อนเดินหน้าพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า

    ขั้นตอนการเปิด “บัญชี e-FCD” บนแอป SCB EASY

    1.เลือก “เมนูธุรกรรมของฉัน”
    2.เลือก “เปิดบัญชีเงินฝาก”
    3.เลือก “เปิดบัญชี e-FCD” เงินฝากเงินตราต่างประเทศอิเล็กทรอนิกส์
    4.เลือก “สกุลเงิน” ที่ต้องการเปิดบัญชี (สามารถเลือกได้มากกว่า 1 สกุลเงิน) และทำตามขั้นตอน
    5.เปิดบัญชี e-FCD สำเร็จ กด “กลับหน้ารวมบัญชี”
    6.ระบบจะเพิ่มบัญชีในหน้ารวมบัญชีอัตโนมัติ และสามารถเริ่มทำรายการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศบนแอป SCB EASY ได้

    สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร 02-777-7777 สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/deposits/foreign-currency-deposit/e-fcd

    หมายเหตุ:

    • *อัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษสูงสุด 4% ต่อปี เฉพาะสกุลเงิน USD สำหรับระยะเวลา 22 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 และตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติ 0.15% ต่อปี
    • อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับสกุลเงิน GBP, EUR, SGD และ CNY โปรดศึกษาและดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของธนาคาร
    • ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่ประกาศธนาคารกำหนด
    • บัญชี e-FCD มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ลูกค้าควรศึกษารายละเอียดข้อมูลสำคัญและเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจ
    • บัญชี e-FCD จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
    • **ไม่มีค่าธรรมเนียมในการแลกเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากธนาคาร

    ]]>
    1501181
    รู้จัก “เมดิเอเตอร์” ผู้พัฒนา “TJRI” โครงการสื่อกลางเพื่อช่วยเชื่อมสัมพันธ์ “นักธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น” https://positioningmag.com/1496260 Tue, 29 Oct 2024 09:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496260

    ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเมืองไทยมากถึง 6,000 บริษัท แต่มีบริษัทจากแดนปลาดิบที่เปิดประตูร่วมลงทุนกับบริษัทไทยน้อยมาก แม้นักธุรกิจไทยรุ่นใหม่จะมีศักยภาพสูงและพร้อมจะพัฒนาร่วมกันให้ประเทศไทยเป็นมากกว่าเพียงแค่ ‘ฐานผลิต’ ซึ่งแนวคิดตั้งต้นดังนี้ทำให้ “กันตธร วรรณวสุ” ผู้ก่อตั้ง “เมดิเอเตอร์” เลือกจะเปิดโครงการพิเศษ​ “TJRI” เพื่อมุ่งเป้าเป็นตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ให้นักธุรกิจไทยกับญี่ปุ่นได้เจอกันและต่อยอดธุรกิจให้แน่นแฟ้นมากกว่าที่เคย

    “จุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยคือ ‘ยุคโชติช่วงชัชวาล’ ของไทยเมื่อ 30-40 ปีก่อน ที่มีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและอนุญาตให้คนญี่ปุ่นตั้งบริษัทโดยคนญี่ปุ่นถือหุ้น 100% ไม่ต้องมีคนไทยร่วมด้วย ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงเหมือนทำงานเฉพาะแต่กับคนญี่ปุ่นด้วยกันเองเท่านั้น” กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด ฉายภาพถึงบริบทของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยตั้งแต่ยุคอดีต

    “ประกอบกับทั้งสังคมญี่ปุ่นและสังคมไทยต่างก็เป็นสังคม ‘High Context’ หรือสังคมที่มีลักษณะการเจรจาแบบอ้อมค้อม ไม่พูดตรงๆ ทำให้สุดท้ายคนญี่ปุ่นกับคนไทยที่อยู่คนละองค์กรกันจะไม่ค่อยมีการสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันเลย”

    กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด

    เหตุที่กันตธรมองทะลุปรุโปร่งว่าวัฒนธรรมคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไรนั้น เป็นเพราะตัวเขามีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 5 ปี และได้ทำงานในญี่ปุ่นต่ออีก 5 ปี เมื่อกลับมาประเทศไทยจึงเลือกทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนญี่ปุ่น ด้วยการก่อตั้งบริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด เมื่อปี 2552 โดยเริ่มแรกทำธุรกิจรับบริหารจัดการอีเวนต์ นิทรรศการ งานสัมมนา ฯลฯ ตามที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานรัฐของญี่ปุ่นในไทย เช่น JETRO (องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) และ JNTO (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น)

    อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องทำงานและประสานงานกับชาวญี่ปุ่นในไทยมาถึงปัจจุบัน กันตธรกล่าวว่า ตัวเขาเริ่มเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของบริบทธุรกิจในประเทศไทย เพราะในอดีตไทยอาจจะเป็นเพียง ‘ฐานผลิต’ ให้กับบริษัทญี่ปุ่น ดังนั้นการเก็บตัวอยู่เฉพาะในสังคมญี่ปุ่นจึงอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่วันนี้เมื่อไทยกำลังจะเสียศักยภาพการเป็นฐานผลิตต้นทุนต่ำให้กับประเทศใกล้เคียง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หากความสัมพันธ์ของบริษัทญี่ปุ่นกับคนไทยไม่ได้แน่นแฟ้นและเป็นมากกว่าฐานผลิต อนาคตอาจเห็นการย้ายออกของบริษัทญี่ปุ่นไปจากประเทศไทยก็ได้!

    ในขณะเดียวกัน กันตธรมองว่า อันที่จริงแล้วนักธุรกิจและผู้บริหารคนไทยยุคนี้มีความสามารถสูงขึ้นมาก มีทายาทธุรกิจมากมายที่ ‘โปรไฟล์ดี จบนอก วิสัยทัศน์ไกล’ ซึ่งน่าเสียดายหากนายญี่ปุ่นมองไม่เห็นโอกาสที่จะได้สร้างสัมพันธ์และต่อยอดธุรกิจร่วมกัน

    นั่นจึงเป็นเหตุผลและที่มาที่ทำให้กันตธรเริ่มต้นโครงการ “TJRI” หรือ “Thai-Japanese Investment Research Institute” ขึ้น มุ่งหมายจะเป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจของคนไทยและคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ


    พีระมิด 5 ขั้นสร้างสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น

    กันตธรกล่าวว่า โครงการ TJRI นี้ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์ตั้งแต่รากฐาน การทำงานเพื่อส่งเสริมสัมพันธ์จึงจะต้องทำงานเป็นพีระมิด 5 ขั้น จากหน่วยเล็กไปหาหน่วยใหญ่ คือ

    1. Business Matching – จับคู่ทางธุรกิจระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน
    2. Thai Localization – ทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่เริ่มสร้างฐานในไทยแล้วสามารถปรับตัวเข้ากับเมืองไทยได้ และส่งเสริมให้คนไทยได้เลื่อนขั้นเป็นระดับผู้บริหารในองค์กรญี่ปุ่น
    3. B2B Marketing – ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์กับบริษัทญี่ปุ่นให้เลือกมาลงทุนที่เมืองไทย
    4. Exhibition & Conference – จัดสัมมนาและการประชุมในกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นเพื่อให้หันมาสนใจประเทศไทย
    5. Media Management – ส่งบทความและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในไทยไปปรากฏบนหน้าสื่อ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยและคนไทยให้กับคนญี่ปุ่น

    หลังตั้ง TJRI ขึ้น มีหลายโปรเจ็กต์ที่ได้จัดสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เช่น กิจกรรมพานักธุรกิจญี่ปุ่นทัวร์โรงงานและบริษัทไทย นำสตาร์ทอัพญี่ปุ่นเข้าร่วมเวที Talk Stage ในงาน Sustainability Expo 2023 หรือการจัดงานสัมมนาเปิดให้บริษัทไทยเล่าความต้องการทางธุรกิจและโอกาสสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชาวญี่ปุ่น เป็นต้น

    ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ มีหลายบริษัทที่มีชื่อเสียงในไทยเคยเข้าร่วมกับโครงการ TJRI เช่น PTT, C.P. Group, SCG, กลุ่มมิตรผล, อิชิตัน กรุ๊ป, เซ็นทรัลพัฒนา ส่วนบริษัทญี่ปุ่นก็มีหลายรายที่ร่วมเป็นสมาชิก TJRI แล้ว เช่น Denso, Marubeni, Misumi, Sanyo Trading Group, Itochu, Sumitomo Corporation Thailand ฯลฯ

    ด้านการสร้างรากฐานความเข้าใจคนไทยในสื่อ กันตธรกล่าวว่า TJRI ได้ลงบทความภาษาญี่ปุ่นไปแล้วมากมาย โดยส่วนใหญ่จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นที่ฮือฮา เพราะบทความที่ลงมักจะเลือกหัวข้อที่คนญี่ปุ่นมักจะ ‘ไม่กล้าพูด’ กันเอง เช่น ข่าวการจัดอันดับ Top 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่ชาวไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดปี 2024 ที่จัดโดย WorkVenture ปรากฏว่า มีบริษัทญี่ปุ่นแค่ 3 แห่งเท่านั้นในลิสต์ คือ LINE, Toyota และ Unicharm ซึ่งความจริงข้อนี้ทำให้คนญี่ปุ่นตกใจมากที่บริษัทญี่ปุ่นไม่ได้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนทำงานไทยอีกแล้ว และกลายเป็นบริษัทใหญ่ของไทยเองที่ครองใจคนรุ่นใหม่จำนวนมาก

    “เราอยากให้คนญี่ปุ่นมองไทยใหม่ว่า เราไม่ใช่แค่ฐานผลิตเฉย ๆ แต่อยากให้เขามองว่าจะมาร่วมงานกับคนไทยเพื่อสร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมใหม่ ธุรกิจใหม่ สื่อสารจุดแข็งของไทยเราว่าสามารถเป็นสปริงบอร์ดออกไปในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้ด้วย” กันตธรกล่าว “นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ประเทศไทยต่อยอดร่วมกับญี่ปุ่นได้ เช่น ด้านเกษตรกรรม ถ้าร่วมกับนวัตกรรมจากญี่ปุ่น เราอาจจะต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมไบโอเทค ยา หรืออาหารได้อีกมาก”


    “THAIBIZ” นิตยสารธุรกิจภาษาญี่ปุ่นฝีมือคนไทย

    สำหรับการสร้างฐานพีระมิดที่จะพัฒนาความเข้าใจของคนญี่ปุ่นต่อสังคมธุรกิจไทยนั้น กันตธรมองว่า แค่ลงบทความในสื่ออื่นยังไม่พอ แต่ต้องมีสื่อเป็นของตนเองด้วย ทำให้บริษัทตัดสินใจเทกโอเวอร์นิตยสารภาษาญี่ปุ่น “ArayZ” ซึ่งดำเนินการในไทยมานานถึง 10 ปี นำมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “THAIBIZ” และปรับแนวทางเป็นนิตยสารเพื่อสื่อสารเรื่องธุรกิจ-เศรษฐกิจเป็นหลัก

    โดยเรื่องราวที่ลงในนิตยสารจะมีทั้งเรื่องของบริษัท/ผู้บริหารญี่ปุ่นในไทย เช่น ผู้บริหารจาก Denso และบริษัท/ผู้บริหารไทยที่น่าสนใจ เช่น MK Restaurant Group ซึ่งคนญี่ปุ่นจะได้รู้จักและคุ้นเคยกับบริษัทไทยมากยิ่งขึ้น

    ปัจจุบัน THAIBIZ เริ่มตีพิมพ์ทุกเดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จำนวนพิมพ์ฉบับละ 12,000 เล่ม วางแจกฟรีตามสำนักงาน บริษัทญี่ปุ่นและซูเปอร์มาร์เก็ตที่คนญี่ปุ่นนิยม นอกจากนี้ บริษัทยังจัดส่งบทความรายวันทางอีเมลให้กับสมาชิก เพื่อให้คนญี่ปุ่นสามารถติดตามข่าวสารได้แม้จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือในประเทศไทย

    “กลุ่มเป้าหมายของเราคือ ผู้บริหารคนญี่ปุ่นที่ยังหนุ่มสาว ไฟแรง และอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากหาคอนเน็กชันให้มาก” กันตธรกล่าว

    ปัจจุบันเมดิเอเตอร์มีพนักงานรวมทั้งหมด 60 คน (คนไทย 50 คน และคนญี่ปุ่น 10 คน) พร้อมที่จะให้บริการช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นที่จะมาลงทุนในไทย รวมทั้งบริษัทไทยหรือญี่ปุ่นที่ต้องการรู้จัก เชื่อมสัมพันธ์ข้ามชาติ สร้างสรรค์พัฒนาไปด้วยกัน

    “KPI ของผมวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ยอดขายหรือกำไร แต่อยู่ที่เราสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเมืองไทยได้มากแค่ไหนครับ” กันตธรกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1496260
    TikTok เปิดลิสต์ ครีเอเตอร์แห่งปี ผู้สร้างปรากฏการณ์ไวรัล เข้าสู่รอบชิง TikTok Awards 2024 ตอกย้ำแพลตฟอร์มความบันเทิงชั้นนำที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แหล่งกำเนิดเทรนด์และวัฒนธรรมของชาวไทย https://positioningmag.com/1495960 Mon, 28 Oct 2024 10:38:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495960
    • เตรียมพบกับงานประกาศรางวัลสุดยอดคอนเทนต์ครีเอเตอร์แห่งปี TikTok Awards 2024 จัดเต็มรางวัลกว่า 12 สาขาครอบคลุมทุกเทรนด์และวัฒนธรรมที่ถือกำเกิดบนแพลตฟอร์ม TikTok ผ่านครีเอเตอร์ผู้เข้ารอบมากกว่า 70 รายผู้สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวไทยตลอดปี
    • ครีเอเตอร์ผู้เข้าชิงรางวัล Creator of the Year ของชาวไทยผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพอัดแน่นทั้งสาระและความบันเทิงได้แก่เบลล่า วิถีไทย (bella_bell22), เชฟกระทะยักษ์ (giantpanchef), พิซซ่ามูฟวี (pizza_movie), สยาโม (sayamo_ss), เซย์ไซน์ (saysci), วาทะลูกหนัง (watalooknungquotes)
    • เผยเพลงฮิต TikTok ฟ้ารักพ่อ(DILF), เมร่อน, วาสนาผู้ใดหนอ, Hit Me Up ฯลฯติดโผเพลงไวรัลแห่งปีสู่รอบชิง Viral Song of the Year ด้านศิลปินไทย DGERRAD, DICE, JOEY PHUWASIT, NuNew, Pixxie และ ลำไย ไหทองคำจับมือร่วมลุ้นรางวัล Artist of the Year
    • ด้านสน-ยุกต์, โม-มนชนก, ใบเฟริน- อัญชสา, ไมกี้ ปณิธาน ฯลฯ ตบเท้าเข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลสาขา Celebrity Creator of the Year
    • พร้อมดัน ไลฟ์ครีเอเตอร์ และ ครีเอเตอร์ติดตะกร้า ผ่านรางวัลสาขา TikTok Live Creator of the Year และ TikTok Shop Creator of the Year ร่วมโหวตและเป็นส่วนหนึ่งของการเฟ้นหา ‘The Inspirations of Tomorrow, Today!’ รางวัลสำหรับครีเอเตอร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวไทยได้แล้ววันนี้ถึง 30 ตุลาคม และลุ้น  ผู้ชนะพร้อมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ผ่านไลฟ์สดได้ที่ @tiktokthailand และ @iconic.iconsiam
    TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลกเผยลิสต์รายชื่อครีเอเตอร์ไทยสู่รอบชิง TikTok Awards 2024 งานประกาศรางวัลสุดยอดครีเอเตอร์ผู้สร้างคอนเทนต์ที่สุดแห่งปี ซึ่งถือเป็นเวทีแห่งการสนับสนุนทั้งครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียงและครีเอเตอร์หน้าใหม่ผู้มากความสามารถ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ นำความสุขและเสียงหัวเราะมาให้คนไทย กลับมาอีกครั้งในปีนี้! เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของบรรดาครีเอเตอร์ไทย ภายใต้คอนเซปต์ “The Inspirations of Tomorrow, Today!” สะท้อนให้เห็นถึงอิทธพลของครีเอเตอร์ที่สร้างปรากฏการณ์ไวรัลในวันนี้และเป็นแรงบันดาลใจแห่งวันพรุ่งนี้ตอกย้ำเป้าหมายของแพลตฟอร์มที่ซึ่งทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเทรนด์และปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Creator Economy) และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้กับประเทศไทย
    คุณรินทร์ลิตา อัครตุลยพัชร์ Program & Market Insight, Content Operations, TikTok ประเทศไทย เผยว่า “ความคิดสร้างสรรค์ก่อให้เกิดเทรนด์และวัฒนธรรมใหม่ๆ ในสังคม และครีเอเตอร์ของเราคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งนี้ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ที่เป็นเหมือนผืนผ้าใบแห่งการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็นหน้าต่างสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆ และสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับสิ่งที่พวกเขาสนใจเข้าไว้ด้วยกัน เราเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความสามารถ แบ่งปันมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ และเชื่อมต่อกับผู้ชมทั่วโลกได้ รางวัล ‘TikTok Awards 2024’ จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับครีเอเตอร์ที่มีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายบทสนทนาในสังคม และกำหนดอนาคตที่ยั่งยืนให้กับ Creator Economy เราภูมิใจอย่างยิ่งกับทุกๆ ความสำเร็จของครีเอเตอร์ที่เกิดขึ้นบน TikTok เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแพลตฟอร์มในฐานะผู้สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดเทรนด์ที่สังคมให้ความสนใจ พร้อมส่งต่ออิทธิพลเหล่านั้นสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้นอกแพลตฟอร์ม”
    TikTok Awards 2024 ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ TikTok จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง ยกย่อง และให้รางวัลกับครีเอเตอร์ที่มีความเป็นเลิศในการนำเสนอคอนเทนต์ได้โดนใจผู้ชมทั่วประเทศ โดยในปีนี้ TikTok Awards มาพร้อมกับคอนเซปต์ “The Inspirations of Tomorrow, Today!” ที่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิดเป็นปรากฏการณ์อันน่าจับตามอง รวมถึงกำหนด    เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม
    ในปีนี้ TikTok Awards มี 3 หมวดหมู่รางวัลที่น่าสนใจครอบคลุมทุกความหลากหลายของคอมมูนิตี้บน TikTok ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่ Judge’s Pick Awards 5 สาขารางวัลซึ่งคัดเลือกจากครีเอเตอร์ที่มีผลงานโดดเด่นในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในหลากหลายอุตสาหกรรม People’s Choice 7 สาขารางวัลคัดเลือกจากผลคะแนนโหวตของผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม โดยทั้งสองหมวดหมู่นี้มีครีเอเตอร์ผู้เข้าชิงรางวัลสาขาละ 6 ราย ตลอดจนหมวดหมู่สุดท้าย Special Awards อย่าง TikTok Changemaker of the Year เพื่อสร้างค่านิยมอันดีผ่านการมอบรางวัลให้กับครีเอเตอร์ที่ปลุกพลังในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
    Judge’s Pick Awards People’s Choice Special Awards
    1. Entertainment Creator of the Year
    2. Food Creator of the Year
    3. Beauty & Fashion Creator of the Year
    4. Education Creator of the Year
    5. Sports Creator of the Year
    1.Creator of the Year
    2. Artist of the Year
    3. Viral Song of the Year
    4. Video of the Year
    5. Celebrity Creator of the Year
    6. TikTok LIVE Creator of the Year
    7. TikTok Shop Creator of the Year
    •TikTok Changemaker of the Year
    ตลอดปีที่ผ่านมา ครีเอเตอร์ TikTok ชาวไทยได้ร่วมกันจุดประกายเทรนด์ต่างๆ มากมายบนแพลตฟอร์มที่โดนใจผู้คนนับล้านทั่วประเทศและทั่วทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่น ความงาม อาหาร และความบันเทิง ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและสร้างบทสนทนาในสังคมในวงกว้าง จนสามารถส่งต่ออิทธิพลไปยังนอกแพลตฟอร์ม ซึ่งมีจะมีเทรนด์ที่น่าสนใจ เช่น
    TikTok แฟชั่นและเมคอัพเทรนด์สู่อิทธิพลในการตัดสินใจซื้อสินค้า
    เทรนด์ความงามบน TikTok อย่าง#AsokeMakeup,#AyothayaMakeup,#ThaiMakeupคือหนึ่งในปรากฏ การณ์สำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านเมคอัพลุคที่กลายเป็นกระแสข้ามแพลตฟอร์มและในระดับนานาชาติ ได้รับความสนใจจากครีเอเตอร์ทั่วโลกมาร่วมสร้างคอนเทนต์ภายใต้แฮชแท๊กเหล่านี้อย่างล้นหลามในเวลาชั่วข้ามคืน ตลอดจนเทรนด์แฟชั่นที่ไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวันให้คนทุกเพศทุกวัยสนุกกับการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหมวดหมู่นี้ด้วย อาทิ #OOTD หรือเทรนด์ Outfit of The Day ที่มีผู้ใช้สร้างคอนเทนต์มากถึง 30.4 ล้านคลิป #FitCheck เทรนด์แฟชั่นบน TikTok ที่สร้างยอดขายให้กับสินค้าแฟชั่นบน TikTok Shop ก่อให้เกิดการสนับสนุนแบรนด์แฟชั่นหน้าใหม่ในแต่ละประเทศให้โตอย่างก้าวกระโดด ในประเทศ ไทย #คลาสแฟชั่นที่ชวนคนมามิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าชิ้นเดิมให้เป็นลุคใหม่เพื่อปลุกกระแสรักษ์โลกได้รับความสนใจจากชาวไทยอย่างต่อเนื่องกว่า 1.7 ล้านคลิป
    จากโต๊ะอาหารสู่หน้าฟีด – ร้านเด็ดเมนูดังที่เปลี่ยนทุกมื้อให้กลายเป็นไวรัล
    แฮชแท๊กอย่าง#TikTokพากิน#กินตามTikTok#เมนูดังTikTokฯลฯ นับเป็นแหล่งรวมเทรนด์อาหารยอดฮิตบนแพลตฟอร์มที่มียอดวิดีโอคอนเทนต์หลักล้าน แหล่งกำเนิดวัฒนธรรมการกินใหม่ๆ ที่สร้างสีสันให้ผู้คนมาแล้วทั่วโลก เช่น ปรากฏการณ์#Mukbangเทรนด์กินโชว์บน TikTok ที่มีคอนเทนต์มากกว่า 4.4 ล้านคลิปด้วยเสน่ห์ของคอนเทนต์ ASMR (Autonomous Sensory Meridian Response) ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดกับครีเอเตอร์จึงส่งให้กลายเป็นไวรัลได้อย่างง่ายดาย สำหรับประเทศไทยเมนูและคอนเทนต์อาหารยอดนิยมคงหนีไม่พ้นอาหารประเภท ตำ ยำ แซ่บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ต้องหลีกทางให้เมนู#ตําเส้นเล็กที่กลายเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ร้านยำต้องมี! นอกจากเป็นแหล่งรวมเมนูฮิตแล้วยังเป็นแหล่งรวมพิกัดร้านอร่อย#ปักหมุดร้านอร่อยและศูนย์รวมสูตรอาหาร#ห้องครัวTikTokส่งอิทธิพลให้ร้านอาหารและเมนูเหล่านั้นได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
    สร้างกระแสไวรัลให้กับเพลง หนัง และซีรีส์ด้วยการรีวิวสุดสร้างสรรค์
    TikTok สร้างปรากฎการณ์และส่งอิทธิพลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมความบันเทิง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดนตรีหรือเพลง ที่ทำให้หลายๆ เพลงจากศิลปินหน้าใหม่สามารถโด่งดังได้เพียงข้ามคืนด้วยการติดแฮชแท็ก#เพลงดังTikTok ที่เป็นเสมือนคลังคอนเทนต์ด้านดนตรี และเป็นแหล่งคอนเทนต์ความบันเทิงอย่าง หนัง ละคร ซีรี่ย์ ที่ครีเอเตอร์หยิบยกขึ้นมากรีวิว รีแคป วิเคราะห์ให้เห็นถึงมุมมองด้านอื่นที่น่าสนใจของเนื้อเรื่อง ตัวละคร และอื่นๆ ผ่านแฮชแท๊ก#เรื่องนี้ต้องดู#บันเทิงTikTok#TikTokพาดู#รีวิวหนัง
    สำหรับกติกาการโหวตในปีนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งาน TikTok ทุกคนโหวตให้กับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบได้ผ่านทาง #TikTokAwardsTH โหวตได้สูงสุดจำนวน 5 ครั้งต่อวัน สามารถเริ่มโหวตได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 23:59 และสามารถดูผลคะแนนสดได้จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2567 โดยจะมีการประกาศผลรางวัล    ผู้ชนะพร้อมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ณ TRUE ICON Hall ชั้น 7, ICONSIAM หรือติดตามรับชมไลฟ์สดได้ผ่านทาง @tiktokthailand และ @iconic.iconsiam ตั้งแต่เวลา 18:00-22:30 น. นอกจากนี้ ภายในงานประกาศรางวัล TikTok จะขนกองทัพศิลปินชื่อดังมากมายมาร่วมสร้างความสนุกให้กับงาน อาทิเช่น โจอี้ ภูวศิษฐ์ NuNew DICE DREAMGALS เป็นต้น รวมถึงเซอร์ไพรส์โชว์สุดพิเศษจากศิลปินต่างประเทศ พร้อมทีมพิธีกรมากความสามารถ อย่าง ดีเจอ๋อง ดีเจดาว-โอเกะ ก็อตจิ และป็อปปี้ รัชพงศ์ที่จะมาร่วมสร้างสีสันให้กับงานด้วยเช่นกัน
    เพราะมากไปกว่ารางวัลแห่งการเป็นผู้นำเทรนด์ TikTok Awards 2024 ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของครีเอเตอร์ในการกำหนดบทสนทนาในวันพรุ่งนี้ ในแต่ละวิดีโอแต่ละคอนเทนต์ที่พวกเขาสร้างขึ้นล้วนผลักดันให้คอมมูนิตี้บนแพลตฟอร์มนั้นแข็งแกร่งขึ้น TikTok จะยังคงเป็นพื้นที่ที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์และนำความสุขมาให้ชาวไทย และเชื่อว่าครีเอเตอร์ไทยมีความสามารถและศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจแห่งวันพรุ่งนี้
    รับชมและดาวน์โหลดวิดีโอ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับงาน TikTok Awards 2024 – The Inspiration of Tomorrow, Today! ได้ที่นี่
    ]]>
    1495960
    RÊVERSHARGER จับมือ Mercedes-Benz ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถ EV มอบดีลสุดพิเศษชาร์จ DC พลังแรงสูงฟรี 1 ปีเต็ม! ไม่จำกัดครั้ง ทุกสถานีทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1495384 Thu, 24 Oct 2024 11:52:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495384 “RÊVERSHARGER” ยืนหนึ่งผู้ให้บริการชาร์จ EV แบบครบวงจร ผนึกกำลัง “Mercedes-Benz” ผู้นำ ยนตรกรรมระดับโลก ตอกย้ำคุณภาพบริการเสริมทัพเครือข่ายสถานีชาร์จ EV พร้อมมอบ Exclusive Offers ชาร์จ DC ความเร็วสูงแบบ Unlimited ไม่จำกัดครั้งฟรี! 1 ปีเต็ม เฉพาะสถานีในเครือข่าย RÊVERSHARGER เอกสิทธิ์พิเศษสำหรับเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จองและรับมอบรถตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2567 นี้เท่านั้น เตรียมจัด Road Trip กรุงเทพฯ-เบตง พิสูจน์ประสิทธิภาพยานยนต์ไฟฟ้าและเครือข่ายสถานีชาร์จครอบคลุมตลอดเส้นทาง

    นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ให้บริการสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ “RÊVERSHARGER” และผู้นำ EV Ecosystem Operator ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน กล่าวว่า RÊVERSHARGER ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Mercedes-Benz Thailand ผู้นำรถยนต์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลก ในการสนับสนุนให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ทุกรุ่น เข้าถึงสถานีชาร์จสาธารณะ (Public Charge) ได้ง่ายขึ้น บนเครือข่ายของ RÊVERSHARGER ที่พร้อมให้บริการ DC Fast Charge ความเร็วสูง สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการ ด้วยหัวชาร์จที่มีความเสถียรในการจ่ายไฟฟ้า รองรับการชาร์จพลังงานได้ต่อเนื่อง ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน

    ล่าสุด RÊVERSHARGER ได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จเพียงรายเดียวที่ร่วมกับ Mercedes-Benz Thailand เพื่อมอบ Exclusive Offers ให้แก่เจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จองและรับมอบรถยนต์ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 นี้ สามารถเข้าใช้บริการชาร์จพลังงานเครื่องชาร์จความเร็วสูง (DC Charger) ซึ่งมีให้บริการสูงสุด 180 kW หรือ 360 kW ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (Unlimited DC Charging) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม ที่สถานีชาร์จเครือข่าย RÊVERSHARGER ที่มีเครื่องชาร์จ DC ความเร็วสูงทุกสถานีทั่วประเทศ อาทิ สถานีชาร์จในปั๊มบางจากและตามศูนย์การค้าชั้นนำ สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้บนแอปพลิเคชัน RÊVERSHARGER หรือดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android รวมทั้งสัมผัสประสบการณ์ชาร์จที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Plug & Charge เพียงลงทะเบียนเข้าใช้งานครั้งแรกครั้งเดียวที่สถานีชาร์จ เพื่อบันทึกข้อมูลแบรนด์และรุ่นของรถ รวมถึงช่องทางชำระเงินในฐานข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเสียบหัวชาร์จเติมพลังงานได้ทันทีในครั้งต่อไป

    ด้าน มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Mercedes-Benz Thailand กล่าวว่า Mercedes-Benz Thailand มุ่งมั่นส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การร่วมมือกับ RÊVERSHARGER ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่บริษัทตั้งใจนำเสนอประสบการณ์การชาร์จพลังงานที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ บริษัทเชื่อมั่นความโดดเด่นด้านยนตรกรรมที่มีมาอย่างยาวนานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี EV Charger กับเครือข่ายสถานีชาร์จที่กว้างขวางของ RÊVERSHARGER จะช่วยให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์ขับขี่รูปแบบใหม่ที่ล้ำสมัย เต็มประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    นอกจากนี้ Mercedes-Benz Thailand ยังเตรียมจัดกิจกรรมนอกสถานที่ เพื่อเน้นย้ำศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าและความครอบคลุมของเครือข่ายสถานีชาร์จ โดยร่วมกับ RÊVERSHARGER เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพและนวัตกรรมของยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในสถานการณ์จริง ด้วยการทดสอบเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและหัวชาร์จความเร็วสูงที่รองรับการเดินทางไกล (Road Trip) บนเส้นทางจากกรุงเทพฯ สู่เบตง จ.ยะลา รวมระยะทาง 1,202 กิโลเมตร ในระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2567 นี้ ผู้สนใจสามารถรับชม Live ผ่านทาง YouTube และ Facebook Page: ล้ำหน้าโชว์ / Tech Offside และขับรถดีดี ได้ในช่วงวันดังกล่าว

    #ชาร์จแมเนจเม้นท์ #SHARGE #RÊVERSHARGER #EV #รถยนต์ไฟฟ้า #Benz #Mercedes-Benz

    ]]>
    1495384
    “KCG” มุ่งเป้าอันดับ 1 Topping Cheese เปิดตัว “แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา” นวัตกรรมอาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ที่ผนวก Localization x Modernization https://positioningmag.com/1494075 Fri, 11 Oct 2024 09:53:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494075 บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา” ครั้งแรกของนวัตกรรมชีสแผ่นรสกะเพราจัดจ้านในประเทศ ไทย จากแบรนด์ “แดรี่โกลด์” (Dairygold) ที่สร้างสรรค์ความอร่อยโดยผสมผสานระหว่างรสชาติท้องถิ่นดั้งเดิม (Localization) และความทันสมัย (Modernization) ที่ตอบโจทย์ความสะดวก พร้อมคอนเซ็ปต์ “สนุก อร่อยเกินคาด ถึงเครื่องรสกะเพรา” เพิ่มความอร่อยนัวชีส เพียงแค่โปะบนอาหาร

    นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย กล่าวว่า “KCG มีความตั้งใจ  นำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์มาตลอด เราพบว่าเทรนด์ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ Localization ผู้คนมีความภูมิใจในอาหารท้องถิ่นบ้านเกิด ขณะเดียวกัน หากนำเสนออาหารท้องถิ่นในบริบท Modernization ที่ทันสมัยมากขึ้น และทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการบริโภคที่มีความหลากหลายได้ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมีความสุขในการรับประทานมากขึ้น แดรี่โกลด์ ในฐานะผู้นำผลิตภัณฑ์ชีสของประเทศไทย จึงนำเสนอ แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา ซึ่งนำชีสที่เป็นอาหารตะวันตกมาผสมผสานกับกะเพราที่เป็นอาหารยอดฮิตของคนไทย ที่ตอบโจทย์ทั้งความอร่อย และความสนุกที่ผู้บริโภคสามารถนำไปโปะบนอาหารเพื่อเพิ่มความอร่อยได้”

    จุดเด่นของแดรี่โกลด์ ชีสกะเพรา:

    ความอร่อยในแบบที่คุ้นชิน รสชาติกะเพราเข้มข้น ผสานกับความอร่อยของชีสคุณภาพสูงจากแดรี่โกลด์

    ความง่าย/สะดวกสบาย แค่แกะและโปะ ก็อร่อยได้ทันที

    ความสนุก/หลากหลาย โปะชีสบนสารพัดเมนูโปรด เพิ่มรสชาติอร่อยพร้อมเปลี่ยนเมนูธรรมดาให้อร่อยฟิน

    “สิ่งที่ KCG ทำมาตลอดคือ “Fusion” ตั้งแต่การนำวัตถุดิบอาหารตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย มาจนถึงการเป็น  ผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารตะวันตกในประเทศไทยสำเร็จ สิ่งที่ KCG ทำคือการ Crossover ข้ามสายพันธุ์มาตลอด แต่ Fusion ในรูปแบบของ KCG ไม่เพียงแค่การนำอาหารต่างสไตล์มาประยุกต์รวมกันเท่านั้น แต่หัวใจของการคิดค้นรูปแบบ Fusion เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่คือ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีออกมาต่อยอดในหลากหลายมิติ อย่าง แดรี่โกลด์ เรามองว่าเป็น Beyond Dairy หรือเป็นผู้สร้างนวัตกรรมการบริโภคชีสแผ่นให้แตกต่างจากชีสทั่วๆ ไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้ผลิต Topping Cheese อันดับ 1 เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องความนิยมอาหาร Fusion และ เทรนด์ Solo Economy ซึ่งทั้งหมดนี้ต่อยอดมาจากกลยุทธ์ “Fusion กินnovation” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ KCG ใช้เป็นอาวุธสำคัญในการเป็นผู้นำด้านอาหารสำหรับโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต” นายดำรงชัย กล่าว

    แดรี่โกลด์ ชีสรสกะเพรา วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ Lotus’s go fresh, Big C Mini และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ      ทั่วประเทศ

    รับชมภาพยนตร์โฆษณา “ชีสรสกะเพรา” จากแดรี่โกลด์ สนุก อร่อยเกินคาด ถึงเครื่องรสกะเพรา โปะกับอะไรก็อร่อย ได้ที่ https://youtu.be/e4iznTaEXOw

    ]]>
    1494075
    แกรนด์ ยูนิตี้ ดึง Consumer Insight ส่งแคมเปญ “#คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต” ชูจุดขายฟังก์ชันและประสบการณ์การอยู่อาศัยที่มากกว่าคอนโดพร้อมอยู่ https://positioningmag.com/1489706 Wed, 11 Sep 2024 13:18:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489706 แกรนด์ ยูนิตี้ เปิดตัวแคมเปญ “#คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต” ประกาศจุดยืนแบรนด์ที่มุ่งพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์ไตล์การอยู่อาศัยของทุกเจเนอเรชั่น สอดรับกับคอนโดมิเนียมจาก แกรนด์ ยูนิตี้ ที่ปัจจุบันสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทุกโครงการ ชู 4 แบรนด์เรือธง จาก “BLUE Series” ได้แก่ บลู (blue), เดนิม (DENIM), เซียล่า (CIELA) และแมสซารีน (MAZARINE) พร้อมไฮไลต์จุดเด่นด้านทำเลใกล้รถไฟฟ้า ที่มาพร้อมความคุ้มค่า ด้วยราคาและโปรโมชั่นสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย.67

    นายกำพล ปุญโสณี ประธานบริหาร บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY กล่าวว่า จากผลการสำรวจ The Most Powerful Real Estate Brand โดย Terra Media and Consulting ในการสำรวจ 3 ครั้งล่าสุด ตั้งแต่ปี 2564-2566 แกรนด์ ยูนิตี้ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครบ โดยมีผลคะแนนในด้านคุณลักษณะที่ตอบสนองความต้องการได้ครบ ที่โดดเด่นต่อเนื่อง

    บริษัทฯ เชื่อว่าความสำเร็จดังกล่าว เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ แกรนด์ ยูนิตี้ เป็นอย่างดี มาตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปี ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของผู้บริหารและพนักงานของ แกรนด์ ยูนิตี้ ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งด้านฟังก์ชันหรือประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่(Functional Benefit) และสามารถเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัย (Experiential Benefit) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    “ล่าสุด บริษัทฯ ได้ต่อยอดอินไซต์และความเชื่อมั่นของลูกค้า ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “#คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต” พร้อมวิดีโอโฆษณาใหม่ เพื่อบอกเล่าองค์ประกอบที่ทำให้คอนโดมิเนียมทุกโครงการจาก แกรนด์ ยูนิตี้ เป็นคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบ โดยปัจจุบัน โครงการคอนโดมิเนียมที่พัฒนาโดย แกรนด์ ยูนิตี้ สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วทั้งหมด ครอบคลุมทุก Segment ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่ย่านสาทร หรือ Real CBD ของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการระดับลักซ์ชัวรี “อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12)” ไปจนถึงโครงการระดับ Affordable จากแบรนด์ใหม่ล่าสุด “บลู (blue)” ซึ่งทยอยเปิดตัว 3 โครงการ บน 3 ทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 รวมมูลค่าโครงการกว่า 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับแคมเปญ “#คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต” แกรนด์ ยูนิตี้ ได้เลือก 4 แบรนด์เรือธง (Flagship Brand) ภายใต้ “BLUE Series” มาเป็นตัวแทนสำหรับการสื่อสารแบรนด์ในครั้งนี้ ได้แก่

    1. บลู (blue) ปัจจุบันมีจำนวน 3 โครงการที่เปิดขาย ได้แก่ บลู พหลโยธิน 35, บลู สุขุมวิท 89, และ บลู สุขุมวิท 105 มาพร้อมแนวคิด “EXPLORE YOUR AREA…ค้นพบความสุขที่ไม่ต้องไปไหนไกล”

    2. เดนิม (DENIM) ปัจจุบันมีจำนวน 1 โครงการที่เปิดขาย ได้แก่ เดนิม จตุจักร ใกล้ BTS หมอชิต และ MRT สวนจตุจักร เพียง 5 นาที โดยพัฒนาภายใต้แนวคิด “PLAN TO LIVE UNPLANNED…ไม่มีเหตุผลให้ต้องคิด กับคอนโดที่แพลนไว้ให้ครบ”

    3. เซียล่า (CIELA) ปัจจุบันมีจำนวน 2 โครงการที่เปิดขาย ได้แก่ เซียล่า จรัญฯ 13 สเตชั่น ติดสถานี MRT จรัญฯ 13 แบบ 0 เมตร และ เซียล่า เจริญนคร ใกล้สถานี BTS คลองสาน เพียง 500 เมตร ที่มีแนวคิดร่วมคือ LIFE BALANCE ชีวิตที่สมดุลจากการเดินทางที่สะดวกสบาย

    4. แมสซารีน (MAZARINE) ปัจจุบันมีจำนวน 1 โครงการที่เปิดขาย ได้แก่ แมสซารีน รัชโยธิน โครงการระดับพรีเมี่ยม ติดสถานี BTS รัชโยธิน แบบ 0 เมตร ที่โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดใจกลางรัชโยธิน และรายละเอียดของการออกแบบที่คุ้มค่าในทุกฟังก์ชัน ตามแนวคิด “FOR YOUR EXTRAORDINARY REASONS”

    ซึ่งจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ ทั้งในด้านฟังก์ชัน (Function) อาทิ Adaptive Furniture จากแบรนด์ บลู, Co-Kitchen จากแบรนด์ เดนิม และด้านประสบการณ์การอยู่อาศัย (Living Experience) อาทิ สมดุลการใช้ชีวิตที่เกิดจากการประหยัดเวลาด้วยทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าจากแบรนด์ เซียล่า และความประณีตในการออกแบบรายละเอียดที่สร้างความคุ้มค่าในระยะยาวและสะท้อนความสำเร็จของผู้อยู่อาศัยจากแบรนด์ แมสซารีน ถูกสื่อสารผ่าน 4 คาแรกเตอร์ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มลูกค้าหลักในแต่ละแบรนด์อย่าง นักสร้างคอนเทนต์ (บลู) วัยรุ่นนักศึกษา (เดนิม) พนักงานออฟฟิศ (เซียล่า) และเจ้าของธุรกิจ (แมสซารีน) ซึ่งทั้งหมดนี้จะแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ความสุขที่ได้รับจากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมจาก แกรนด์ ยูนิตี้ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุนได้อย่างครบถ้วน ด้วยราคาที่สมเหตุสมผลมากที่สุด

    บริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยความมุ่งมั่นและความทุ่มเทที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่เป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้ง คอนโดมิเนียมทุกโครงการของ แกรนด์ ยูนิตี้ จะเป็นมากกว่าคอนโดพร้อมอยู่ แต่เป็นคอนโดที่ทำให้ลูกค้าพร้อมใช้ชีวิต สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของทุกเจเนอเรชั่น พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยได้อย่างแท้จริง” นายกำพล กล่าวสรุป

    สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ Sales Gallery สำนักงานขายโครงการ พิเศษ จองภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษจากทุกโครงการ สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @GrandUnity หรือโทร. 0 2652 4000 และ www.grandunity.co.th

    ติดตามเรื่องราวของแคมเปญผ่าน #คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต และรับชมวิดีโอโฆษณาได้ที่ www.youtube.com/@GrandUnityChannel

    #แกรนด์ยูนิตี้ #มากกว่าคอนโดพร้อมอยู่ #คอนโดที่คุณพร้อมใช้ชีวิต

    #GrandUnity #MakesSense. #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

    ]]>
    1489706
    ปตท. คว้าอันดับ 1 บริษัทชั้นนำในไทยและอันดับ 2 ในอาเซียน จากนิตยสารฟอร์จูน สะท้อนผลการดำเนินงานและความสำเร็จที่เป็นเลิศในระดับสากล https://positioningmag.com/1479542 Tue, 25 Jun 2024 09:52:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479542 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า ปตท. ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทชั้นนำอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน จากนิตยสารฟอร์จูน (Fortune) ที่จัดอันดับบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 500 (Fortune Southeast Asia 500) เป็นครั้งแรก โดยประเมินจากผลการดำเนินงานด้านการเงินในปีงบประมาณ 2566 และทิศทางการเติบโตขององค์กร สะท้อนการเป็นบริษัทชั้นนำที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน

    ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ปตท. ภาคภูมิใจที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่เติบโตที่สุดในประเทศไทย และเป็นบริษัทที่เติบโตเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม และ การกำกับดูแลกิจการที่ดี บนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” สะท้อนกลยุทธ์การดำเนินงานที่เข้มแข็งในหลายมิติ ได้แก่ การสร้างการเติบโตในธุรกิจไฮโดรคาร์บอน ทั้งธุรกิจสำรวจและผลิต ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และ ธุรกิจค้าปลีก นอกจากนี้ ยังได้ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ หรือ New S-Curve ผ่านธุรกิจ EV ธุรกิจ Logistics ธุรกิจ Life Science และ ธุรกิจ Industrial AI รวมทั้งการสร้างความชัดเจนกับแนวทางความยั่งยืน ในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล สู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

    ทั้งนี้ นิตยสารฟอร์จูน เป็นนิตยสารธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเงิน ที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากทั่วโลก โดยได้เริ่มจัดอันดับบริษัทชั้นนำของโลก 500 อันดับ (Fortune Global 500) เป็นครั้งแรกในปี 2498 และจัดอันดับเฉพาะในภูมิภาคต่างๆ ในทวีปยุโรป (Fortune 500 Europe) และล่าสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จ และแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน การเติบโต และทิศทางของธุรกิจ พร้อมสร้างโอกาสในการขยายตลาด ที่จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย

    #ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน #TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD

    ]]>
    1479542